หญิงสาวนั่งอยู่ก็ใช้สายตามองออกไปสำรวจบริเวณนอกบ้าน ก็เห็นพี่ชายคนโตกำลังผ่าฟืนอยู่ เธอก็มองดูเขาอยู่ครู่หนึ่งก็มีเสียงทักดังขึ้นมา
“เป็นยังไงบ้างน้องเล็ก หายดีแล้วหรือถึงออกมาเดินเล่นได้ ระวังจะไข้กลับเอานะ” เว่ยตงเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อเห็นว่าน้องคนเล็กนั้นออกมานั่งนอกบ้านได้แล้ว แต่ทว่ามือทั้งสองข้างก็ไม่ได้หยุดทำงาน เขายังคงใช้ขวานสับฟืนอย่างดุดันพร้อมกับมีร่างกายที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“ดีขึ้นแล้วค่ะ ฉันแค่อยากออกมาสูดอากาศนิดหน่อยเท่านั้นเองพี่ใหญ่” เว่ยอ้ายเหม่ยตอบกลับ แต่สายตาของเธอก็กวาดมองดูรอบ ๆ บริเวณบ้านไปด้วย
เว่ยตงหยิบฟื้นท่อนใหม่ขึ้นมา ก่อนที่จะใช้ขวานสับลงไปหนึ่งครั้งอย่างชำนาญ “ดีแล้วล่ะ ออกมาเดินเล่นบ้าง แต่ว่าอีกประเดี๋ยวก็รีบเข้าไปในบ้านนะ ยิ่งมืดลงมากเท่าไรอากาศข้างนอกมันก็ยิ่งหนาวเย็นมากเท่านั้น เราเพิ่งจะหายไข้เดี๋ยวจะไม่สบายอีก” เขาเอ่ยบอกอย่างใจดี ในใจนั้นกลัวว่าน้องสาวเพียงคนเดียวของตนจะกลับมาป่วยอีก
“ค่ะ ฉันขอเดินเล่นสักพักก็จะเข้าไปในบ้านแล้ว” เธอตอบกลับรับคำอย่างว่าง่าย
จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินไปเรื่อย ๆ จนไปถึงหลังบ้าน
ที่หลังบ้านมีบ่อน้ำอยู่หนึ่งบ่อ เป็นบ่อน้ำที่บ้านเว่ยสายรองเอาไว้กินไว้ใช้ ซึ่งบ่อน้ำนี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ก็พอจะกักเก็บน้ำเอาไว้ให้ใช้ได้จนรอดพ้นจากภัยแล้งได้
เว่ยอู่ซินกำลังชักรอกถังน้ำขึ้นจากบ่อ แล้วเทใส่อีกถังหนึ่งก่อนจะหิ้วเอาไปใส่โอ่งน้ำในครัว เมื่อเขาหันมาเห็นเว่ยอ้ายเหม่ยที่เดินมาถึงพอดีก็เอ่ยทักทายน้องสาว
“เป็นยังไงบ้างอ้ายเหม่ย ดีขึ้นแล้วเหรอถึงออกมาเดินเล่นได้”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ” เธอตอบกลับพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ให้พี่ชายคนรอง
“แล้วทำไมมาเดินอยู่ตรงนี้ล่ะ ไม่ไปรอกินข้าวอยู่ข้างในบ้าน” เว่ยอู๋ซินถามขึ้นอีกครั้ง โดยที่สองมือก็ชักรอกถังน้ำขึ้นมาจากบ่อน้ำอย่างขะมักเขม้น
“ฉันขอแม่มาเดินเล่นสักหน่อยค่ะ อยู่แต่ในห้องอุดอู้มาหลายวันแล้ว” เว่ยอ้ายเหม่ยพูดพลางก็เดินเข้าไปใกล้บ่อน้ำ เธออยากจะเห็นบ่อน้ำว่าจริง ๆ แล้วเป็นอย่างไร ชีวิตที่ผ่านมาของเธอนั้นเกิดมาก็เป็นลูกคนรวยที่บ้านไม่มีบ่อน้ำแบบนี้ อย่างมากก็ได้เห็นแต่ในละครย้อนยุคในทีวีเท่านั้น แต่นี่เป็นของจริง จึงน่าสนใจกว่า
“นี่ ๆ อย่าเข้าใกล้มาก มันอันตราย เผื่อเป็นลมแล้วตกลงไปจะทำยังไง” เว่ยอู๋ซินยื่นมือมาขวางน้องสาวเอาไว้ ฝ่ายที่ถูกห้ามจึงทำได้แค่เพียงชะโงกหน้าลงไปดูเท่านั้น
“ก็ฉันอยากดูว่าเรายังเหลือน้ำไว้ใช้เยอะหรือเปล่าเท่านั้นเอง”
“น้ำในบ่อของเรายังเหลือเพียงพอ หรือถ้าหากน้ำหมดจริง ๆ พี่กับพี่ใหญ่ก็จะเป็นคนไปแบกน้ำมาจากแม่น้ำให้อ้ายเหม่ยอาบเองแหละ ไม่ต้องห่วงนะ แต่ตอนนี้พี่ว่าเรากลับเข้าบ้านไปดีกว่า อากาศเย็นลงมากแล้ว เดี๋ยวจะไม่สบายไปอีก” เว่ยอู๋ซินเอ่ยบอกกับน้องสาวของเขา เวลานี้ฟ้าเริ่มมืดและอากาศเริ่มเย็น เขากลัวว่าน้องเล็กจะป่วยอีก
“ขอบคุณนะคะที่พี่และทุกคนเป็นห่วงฉัน แล้วฉันจะต้องหาโอกาสตอบแทนทุกคนให้ได้เลย” เว่ยอ้ายเหม่ยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำให้เว่ยอู๋ซินได้ยินคำพูดที่ไม่เคยได้ยินจากปากน้องสาวก็ชะงักไป ก่อนที่เขาจะตั้งสติได้แล้วเอ่ยบอกกับเธอ
“ได้ ๆ พี่จะรอนะให้อ้ายเหม่ยตอบแทนนะ ฮ่า ๆ แต่ตอนนี้น้องเข้าบ้านไปก่อนเถอะนะ ถือว่าพี่ชายคนนี้ขอร้องได้ไหม”
“ค่ะ” เธอยิ้มรับคำพูดของพี่ชาย ก่อนจะเดินมาทางหน้าบ้านพร้อมกับทบทวนสิ่งต่าง ๆ ไปด้วย
หลังจากที่ได้คุยกับพี่ชายทั้งสองแล้วเว่ยอ้ายเหม่ยก็สัมผัสได้ว่าพี่ชายของเธอนั้นรักเธอมาก ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาเธอจะเป็นคนที่ร้ายกาจและไม่อ่อนโยนกับคนในครอบครัวเลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่ครอบครัวเว่ยทำให้เธอตอนนี้ราวกับว่าพวกเขาไม่ได้ถือโทษโกรธเธอเลยสักนิดเดียว แถมยังช่วยดูแลเธออย่างดีเสียด้วยซ้ำ นี่สินะที่เขาบอกว่าสายเลือดตัดอย่างไรก็ไม่ขาดจากกันได้ เลือดข้นกว่าน้ำจริง ๆ
เมื่อหันมามองก็เห็นประตูหลังบ้านเปิดอยู่ เว่ยอ้ายเหม่ยจึงเดินเข้าไปทางนั้น พอเข้าไปด้านในก็พบว่าพี่สะใภ้ทั้งสองกำลังช่วยกันทำอาหารเย็นอยู่ กลิ่นของปลาต้มซีอิ๊วหอมโชยขึ้นมาเตะจมูก นั่นเป็นเพราะว่าวันนี้เว่ยตงกับเว่ยอู๋ซินเลิกงานกลับมาถึงบ้านเร็ว ก็เลยชักชวนกันไปจับปลาที่แม่น้ำและทั้งสองสามารถจับปลามาได้หลายตัว จึงนำมาทำต้มซีอิ๊วกินวันนี้ตัวหนึ่ง ที่เหลือก็เอาไว้ทำปลาแห้งกินกันอีกหลายวัน
“พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง กำลังทำอะไรคะ หอมเชียว” เว่ยอ้ายเหม่ยถามออกไปพร้อมกับทำจมูกฟุดฟิด “อ้าว เดินไหวแล้วเหรออ้ายเหม่ย” ฟางเสี่ยวหรงเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นว่าน้องสามีเหมือนจะเดินคล่องแล้ว
“ใช่ค่ะพี่สะใภ้รอง วันนี้มีอะไรกินบ้างคะ” เว่ยอ้ายเหม่ยถามออกไปพร้อมกับลูบท้องไปด้วย จู่ ๆ เสียงท้องร้องดังขึ้นจนอดที่จะหัวเราะออกมาด้วยความเขินอายไม่ได้ เพราะตั้งแต่สลบไปวันนั้นเธอก็ยังไม่ได้กินอะไรอีกเลยนอกจากน้ำเปล่ากับยา
“วันนี้พี่ทำปลาต้มซีอิ๊ว ผัดผักกาดขาวแล้วก็ผักดอง อ้ายเหม่ยหิวแล้วใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็ไปนั่งรอที่โต๊ะกับพ่อและแม่เถอะ เดี๋ยวพี่ยกกับข้าวออกไปให้”
ฟางเสี่ยวหรงเอ่ยบอกด้วยท่าทางใจดี เว่ยอ้ายเหม่ยจึงมองไปที่ข้าวหม้อใหญ่ที่กำลังเดือดปุด ๆ อยู่นั้น ที่แรกก็แปลกใจว่าจำเป็นต้องใช้หม้อใบใหญ่ขนาดนี้หุงข้าวเชียวหรือ แต่พอมานึกถึงจำนวนคนในครอบครัวอีกทีก็เข้าใจได้ เป็นเพราะว่าครอบครัวยากจน กับข้าวมีน้อยเลยต้องกินข้าวกันมากกว่าเพื่อที่จะได้ประหยัดกับข้าว
อย่างเช่นวันนี้ กับข้าวมีเพียงแค่สามอย่าง ทุกคนจึงต้องกินข้าวเยอะ ๆ เพื่อตุนเอาไว้ โดยเฉพาะพี่ชายทั้งสองที่ต้องทำงานหนักและหลาน ๆ ที่กำลังเติบโตตามวัย และนี่คือสาเหตุหนึ่งที่ข้าวไม่เพียงพอในการให้กินจนอิ่มท้องและอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ คนบ้านใหญ่มักจะมาขนเอาข้าวสารไปด้วย คิดแล้วเธอก็ยิ่งสงสารครอบครัวนี้จับใจ
“ถ้าอย่างนั้นฉันไปรอข้างในบ้านนะคะ” พูดจบเว่ยอ้ายเหม่ยก็เดินเข้าไปในห้องโถงของบ้านทันที
เธอเดินมาเรื่อย ๆ ก็พบเข้าหลานทั้งสองคนที่กำลังช่วยกันถูบานหน้าต่างกันอยู่ พอเว่ยอ้ายเหม่ยมองไปพวกเขาก็พากับหลบตาและขยับไปเช็ดหน้าต่างบานถัดไปที่ไกลจากอาสาวคนนี้ เมื่อเห็นอาการหวาดกลัวของพวกเขา จู่ ๆ ความทรงจำผุดขึ้นมาว่าหลานทั้งสองกลัวเว่ยอ้ายเหม่ยมาก
เมื่อนึกได้ดังนั้นเธอจึงยิ้มให้พวกเขาหนึ่งทีเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีขึ้นมาใหม่ นั่นทำเอาหลานทั้งสองตกใจอย่างมากจนอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ จากนั้นเธอก็เดินมานั่งรอที่โต๊ะอาหารร่วมกับเว่ยเฉียนและหลี่ฟางเจียว
“อ้ายเหม่ยมาแล้วเหรอ ไปเดินเล่นแล้วจำอะไรขึ้นมาได้มากขึ้นบ้างหรือเปล่า อาตงบอกว่าความทรงจำของลูกอาจจะขาดหายไปบ้างเพราะสมองได้รับความกระทบกระเทือน แต่อย่ากังวลไปเลยนะ เดี๋ยวก็จำได้ทั้งหมดเอง” เว่ยเฉียนถามลูกสาวขึ้นเมื่อเห็นเธอเดินมานั่งด้วยกัน เขาเองก็เข้าใจตามที่ลูกชายบอกว่าเว่ยอ้ายเหม่ยนั้นความทรงจำอาจจะไม่ครบถ้วนเพราะเกิดการกระทบกระเทือนที่ศีรษะนั่นเอง
“ฉันจำขึ้นมาได้มากขึ้นแล้วค่ะ พ่อไม่ต้องห่วงนะ” เว่ยอ้ายเหม่ยพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับมองไปรอบ ๆ บ้าน เพื่อทบทวนความทรงจำอีกครั้ง