ตอนนี้เองที่ความทรงจำหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเธอ ซึ่งเป็นภาพเหตุการณ์ที่เว่ยอ้ายเหม่ยทำตัวร้ายกาจกับคนบ้านใหญ่ และกับชาวบ้านที่คิดไม่ดีกับเธอ แล้วก็กับหลานสองคนที่กำลังซุกซน เธอจึงได้รู้ว่าที่ผ่านมาที่เด็กสาวคนนี้ทำตัวเป็นคนร้ายกาจอย่างนั้น ก็เพื่อที่จะปกป้องตัวเองและคนครอบครัว แต่อาจจะเป็นเพราะว่าอายุของเธอยังเด็กอยู่มาก จึงไม่มีความยับยั้งชั่งใจ เลยทำให้ทุกคนมองเด็กสาวคนนี้ไปในทิศทางที่เลวร้ายอย่างไรล่ะ
ตอนนี้เมื่อเธอกลายเป็นเว่ยอ้ายเหม่ยคนใหม่แล้ว ดังนั้นเธอก็จะเป็นคนที่ดีขึ้นกับทุกคนในครอบครัว แต่ก็ยังคงทิ้งความร้ายกาจของร่างนี้จากชาวบ้านคนอื่น ๆ ไปไม่ได้ เพราะยังไงก็ต้องทำเหมือนเดิมเพื่อปกป้องครอบครัวของเธอไม่ให้ใครมารังแกได้เช่นกัน
“กับข้าวมาแล้วค่ะ”
สะใภ้ทั้งสองคนของบ้านรองเว่ยช่วยกันยกกับข้าวออกมา อาหารทั้งสามอย่างถูกเอามาวางตรงหน้า พี่สะใภ้ตักข้าวมาให้ทุกคน พี่ชายทั้งสองที่ทำงานอยู่ข้างนอกก็วางมือแล้ว ตอนนี้คนบ้านเว่ยก็มาล้อมวงกินข้าวกันอย่างอบอุ่น
นี่เป็นอาหารราคาไม่แพงครั้งแรกที่เฉินชิวเยว่ในร่างของเว่ยอ้ายเหม่ยได้กิน แต่เมื่อได้กินกับคนที่อยู่ตรงหน้านี้แล้วก็อร่อยไม่แพ้อาหารราคาแพงที่เธอเคยกินจากโลกที่จากมาเลยทีเดียว
พี่ชายและหลานทั้งสองของเว่ยอ้ายเหม่ยก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างเอาเป็นเอาตายนั้นคงเป็นเพราะว่าพวกเขาหิวมาก เนื่องจากทั้งสองต่างก็ทำงานหนัก ที่คอมมูนพวกเขานอกจากทั้งสองจะทำงานในทุ่งนาแล้ว พวกเขายังมีหน้าที่ทำการก่อสร้างและซ่อมแซมอาคารต่าง ๆ ของภาครัฐที่ได้รับมอบหมายเลยใช้แรงค่อนข้างเยอะและคงจะเหนื่อยน่าดู
ส่วนหลานชายกับหลานสาวกำลังอยู่ในวัยกำลังเติบโตจึงกินได้มาก เห็นแล้วก็คิดว่าคงต้องหาอะไรมาไว้ให้พวกเขากินเพิ่มเพื่อบำรุงทั้งสองให้มีรูปร่างสมวัย ไม่อย่างนั้นร่างกายก็จะเจริญเติบโตไม่เต็มที่อย่างที่เห็นแน่นอน
หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ทุกคนก็วางตะเกียบลงและเริ่มพูดคุยกันตามประสาครอบครัว อีกทั้งวันนี้เป็นวันแรกของเดือนและเป็นวันที่เว่ยเฉียนต้องเอาเงินที่ทำงานได้ในแต่ละเดือนของคนบ้านรองไปให้บ้านใหญ่เพื่อเป็นกองกลาง
“อาตง อาซิน เงินของเดือนที่แล้วพวกเราได้กันเท่าไหร่” เว่ยเฉียนเอ่ยถามลูกชายทั้งสองคน
“ถ้ารับรวมของผม พี่ใหญ่ พี่สะใภ้และภรรยาแล้ว ทั้งหมดก็สิบหยวนครับ ของพ่อกับแม่อีกสามหยวนรวมเป็นสิบสามหยวน” เว่ยอู๋ซินตอบกลับผู้เป็นพ่อ
ปกติแล้วเว่ยอู๋ซินเป็นคนที่ดูแลเรื่องการเงินของบ้านเพราะว่าเขาเป็นคนฉลาด คิดเลขเร็วและทันคนอื่น วันนี้เขาเลยแจกแจงทุกอย่างออกมาได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
“เอามาให้พ่อเถอะ จะได้เอาไปให้บ้านใหญ่ตอนนี้” เว่ยเฉียนเอ่ยบอกลูกชาย
“ครับ” เว่ยอู๋ซินรับคำ ก่อนจะยื่นเงินทั้งหมดให้กับผู้เป็นพ่อ
คนในบ้านรองเว่ยต่างก็มองเงินจำนวนนั้นกันตาปริบ ๆ เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นทุกเดือนคล้ายกับเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว พวกเขาเองก็ไม่ได้พอใจหรอกนะที่เวลาได้เงินมาแล้วจะต้องเอาไปเข้ากองกลางที่บ้านใหญ่
เพราะเงินจำนวนนี้พวกเขาหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงแท้ ๆ กว่าจะได้แต่ละเหมามันยากลำบากขนาดไหน แต่พอสิ้นเดือนบ้านใหญ่ก็มาเอาไปดื้อ ๆ โดยที่ไม่ทำอะไรอย่างนั้นหรือ และพอถึงเวลาที่บ้านรองเดือดร้อนแล้วจะต้องใช้เงิน บ้านใหญ่ก็ไม่เห็นจะช่วยเหลือบ้านรองเลย
“เมื่อไหร่พวกเราจะมีเงินเก็บกันเสียที แม่อยากให้พวกเรามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้บ้าง” หลี่ฟางเจียวพูดขึ้นเบา ๆ น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นบ่งบอกถึงความท้อใจอย่างเห็นได้ชัด นี่ขนาดแยกบ้านออกมาแล้วยังต้องส่งเงินเข้ากองกลางอีก หากให้น้อย ๆ จะไม่ว่าเลยสักคำ แต่นี่เงินในบ้านแทบไม่มีเหลือ จะไม่ให้น้อยใจเลยคงไม่ได้
“อดทนอีกนิดนะคะแม่ เดี๋ยวต่อไปพออะไร ๆ ดีขึ้น พวกเราก็คงจะลืมตาอ้าปากได้แล้ว” ฟางเสี่ยวหรงเอ่ยปลอบใจแม่สามี หลี่ฟางเจียวเองก็พยักหน้าให้กับลูกสะใภ้อย่างคนที่ทำอะไรได้ไม่ได้มากนัก
เว่ยอ้ายเหม่ยเมื่อรู้ว่าเว่ยเฉียนจะต้องเอาเงินทั้งหมดที่หามาได้ไปให้บ้านใหญ่ ในใจก็รู้สึกไม่เห็นด้วยขึ้นมา ด้วยความที่เธอเป็นนักธุรกิจมาก่อน จึงมองว่ากฎบ้าบอของคนสมัยนี้มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย โดยเฉพาะบ้านรองที่ต้องยอมให้บ้านใหญ่กดขี่ข่มเหงมาตลอด
ทำงานหาเงินมาได้ก็ต้องเอาไปเข้ากองกลางหรือในสมัยของเธอในโลกที่จากมาเรียกว่ากงสี ข้าวของที่รัฐแจกมาให้ก็ต้องเข้ากองกลาง พอเวลาต้องแบ่งสันปันส่วน บ้านใหญ่เองก็แบ่งมาให้บ้านรองเพียงน้อยนิด มิหนำซ้ำยังมาเอากลับคืนไปอีก
สำหรับเธอแล้วการกระทำแบบนี้ยอมไม่ได้เด็ดขาด!!
เมื่อคิดบางอย่างได้แล้วเว่ยอ้ายเหม่ยก็ลุกขึ้นมากลางวงกินข้าว แล้วพูดโพล่งขึ้นมาเหมือนคนร้ายกาจคนเก่าไม่ผิดเพี้ยน
“พ่อไม่ต้องเอาเงินไปให้พวกบ้านใหญ่แล้วล่ะ พวกเราทำเรื่องตัดขาดกันเถอะนะ”
เจอคำพูดนี้ของเว่ยอ้ายเหม่ยเข้าไปทำเอาคนทั้งบ้านสะดุ้งขึ้นมาด้วยความตกใจทันที เพราะว่าที่ผ่านมาแม้จะมีการแยกบ้านแล้ว แต่ยังไม่เคยมีใครพูดขึ้นมาว่าจะขอตัดขาดเลยสักครั้งเดียว แต่ครั้งนี้เว่ยอ้ายเหม่ยเหมือนกับจุดประกายให้ทุกคนในบ้านได้ฉุกคิด และต่างก็มองหน้ากันไปคล้ายกับปรึกษากัน
เวลานี้สีหน้าของเว่ยเฉียนเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด นิสัยของเขาแต่เดิมคือเป็นคนหัวอ่อนและยอมคน อีกทั้งเป็นคนที่มีความกตัญญูเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นที่ผ่านมาจึงได้ยอมให้บ้านใหญ่เอาเปรียบอยู่ตลอด และเขาก็มีความคิดเห็นขัดแย้งกับสิ่งที่ลูกสาวพูดอยู่เล็กน้อย
“ถ้าถึงขั้นตัดขาด พ่อว่ามันไม่หนักหนาเกินไปหน่อยเหรอ ถ้าพวกบ้านใหญ่ไม่พอใจขึ้นมาจะทำยังไง” เว่ยเฉียนถามขึ้นมาด้วยสีหน้ากังวลใจ
“ไม่พอใจก็ช่างพวกเขาสิคะ พวกเราต้องการความเป็นอิสระ พวกเราจะไม่ยอมให้พวกเขากดขี่ข่มเหงอีกต่อไป จริงไหมคะพี่ใหญ่ พี่รอง” เว่ยอ้ายเหม่ยพูดขึ้นด้วยท่าทางฮึกเหิมพร้อมกับมองพี่ชายทั้งสองคนอย่างหาเสียงสนับสนุน
“จริงด้วยนะครับพ่อ ผมเห็นด้วยกับน้องเล็ก” เว่ยตงพูดขึ้นมาบ้าง ที่จริงในใจลึก ๆ แล้วเขาก็เคยคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่ว่าไม่กล้าพูดออกมาเพราะเกรงใจพ่อที่เป็นหัวหน้าครอบครัวนั่นเอง
“ถ้าบ้านเราตัดขาดจากบ้านใหญ่ พวกเขาจะมองว่าพวกเราอกตัญญูหรือเปล่า อีกอย่างที่บ้านใหญ่ก็ยังมีปู่กับย่าอยู่ด้วย” เว่ยเฉียนยังคงพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวลเหมือนเดิม
“พ่อครับ อย่าว่าพวกเราไม่กตัญญูเลยต่อปู่กับย่าเลย ที่ผ่านมาพวกเราทำเพื่อบ้านใหญ่ไปก็ไม่น้อยแล้วนะครับ พวกเราให้พวกเขาจนแทบจะไม่เหลืออะไรกินแล้วนะครับ ส่วนของปู่กับย่าเราค่อยส่งให้เป็นครั้งคราวก็น่าจะได้นะครับ แต่การกระทำที่ผ่านมา เราไม่เพียงแค่ดูแลปู่กับย่า แต่เราดูแลบ้านใหญ่ทั้งครอบครัวนะครับ” เว่ยอู๋ซินเสนอแนวทางแก้ไขออกมา พร้อมกับบอกว่าที่ผ่านมานั้นบ้านรองดูแลบ้านใหญ่ทุกคนต่างหาก ไม่ใช่เพียงแค่ปู่กับย่าเท่านั้น
สิ่งที่ลูกชายทั้งสองพูดขึ้นมานั้นก็เป็นความจริงทุกประการ บ้านรองของเขามีอะไรก็ให้บ้านใหญ่ไปหมด จนตัวเองไม่เหลืออะไรจริง ๆ และนี่ก็ถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณไปแล้ว แต่ด้วยความที่ยังคงมีจิตใจที่กตัญญูต่อพ่อแม่ที่แก่เฒ่า จึงได้เสนอกลับไป ทว่าเสียงที่ตอบมานั้นดูลังเลอยู่ไม่น้อย
“ตอนนี้ปู่กับย่ายังมีชีวิตอยู่ พ่อคิดว่าบ้านเราไม่สมควรทำอย่างนั้น พ่อกลัวว่าท่านทั้งสองจะเสียใจ รอให้พวกท่านไม่อยู่แล้วพวกเราค่อยตัดขาดก็ได้”
“ถ้าทำอย่างนั้น แล้วเมื่อไหร่พวกเราจะลืมตาอ้าปากได้กันล่ะคะ หากว่าปู่กับย่ายังอยู่ต่ออีกสิบปียี่สิบปี แล้วพวกเราจะเป็นยังไง พ่อเคยมองจุดนี้บ้างไหม”