บทที่ 11 หมดห่วงเสียที

1791 คำ
“อ้ายเหม่ย นี่พ่อเองนะลูก จำพ่อได้ไหม” เว่ยเฉียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างมากเมื่อเห็นลูกสาวตัวน้อยนั่งนิ่ง ๆ “นี่ก็แม่เองนะลูก อ้ายเหม่ย ” หลี่ฟางเจียวพูดเองก็พูดขึ้นมาบ้างด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไม่ต่างกันกับสามี “พ่อ แม่ เหรอคะ” สุดท้ายเฉินชิวเยว่ในร่างของเว่ยอ้ายเหม่ยก็พูดขึ้นมาเป็นประโยคแรกตั้งแต่หมดสติไป “ใช่ลูก นี่พ่อเว่ยเฉียนและแม่หลี่ฟางเจียวของลูกเอง” หลี่ฟางเจียวพูดออกมาพร้อมน้ำตา เมื่อลูกสาวเรียกเธอกับสามีว่าพ่อ แม่ ทุกคนเหมือนจะดีใจอย่างมากที่เว่ยอ้ายเหม่ยฟื้นขึ้นมา แต่ก็ยังมีเรื่องที่วางใจไม่ได้ นั่นก็คือเมื่อเธอฟื้นขึ้นมาแล้วกลับทำเหมือนกับว่าจำอะไรไม่ได้เลย พวกเขากลัวว่าเธอจะได้รับความกระทบกระเทือนที่สมองจนความจำเสื่อมจริง ๆ จึงช่วยกันรื้อฟื้นความทรงจำให้ “อ้ายเหม่ย ฟังนะ ลองคิดดูดี ๆ ว่าน้องจำพวกเราได้ไหม นี่พ่อกับแม่ พี่อาตง พี่สะใภ้ใหญ่จางอิง พี่สะใภ้รองฟางเสี่ยวหรง นี่ก็หลาน ๆ ของเธอ แล้วก็พี่รองของเธอไง เธอจำพวกเราได้ไหม” เว่ยอู๋ซินไล่เรียงรายชื่อทุกคนในบ้านให้เว่ยอ้ายเหม่ยฟังช้า ๆ และใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยน “แน่นอนว่าฉันต้องจำทุกคนได้อยู่แล้วสิ” ในที่สุดหญิงสาวก็ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเช่นกัน “โอ้ ดีมากเลยอ้ายเหม่ยจำได้แล้ว ทุกคนครับน้องเล็กจำพวกเราได้แล้ว” เว่ยตงพูดขึ้นด้วยความดีใจที่รู้ว่าน้องสาวจำทุกคนในครอบครัวได้แล้ว “ใช่ ๆ นี่มันดีจริง ๆ อ้ายเหม่ยจำพวกเราได้แล้ว” หลี่ฟางเจียวพูดออกมาพร้อมน้ำตาแห่งความดีใจ ที่ในที่สุดลูกสาวของเธอก็มีสติกลับมาแล้ว อ้ายเหม่ยจำพวกเราได้แล้ว “อย่างนี้เราควรทำอาหารเลี้ยงฉลองดีไหมคะ” จางอิงพี่สะใภ้ใหญ่พูดขึ้นด้วยความดีใจ “ดี ๆ ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปช่วยพี่จางอิงทำกับข้าวเอง” ฟางเสี่ยวหรงพูดขึ้นบ้าง คนทั้งบ้านดีใจกันยกใหญ่ที่เด็กสาวฟื้นขึ้นมาและตอนนี้ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว จากก่อนหน้านี้พากันใจหายใจคว่ำไปหมด กลัวว่าเว่ยอ้ายเหม่ยจะเป็นอะไรไป แต่ตอนนี้ทั้งบ้านดีใจจนถึงขนาดจะมีงานเลี้ยงฉลองขึ้นมา เฉินชิวเยว่มองภาพความดีใจของทุกคนก่อนจะยกมือข้างหนึ่งมากุมศีรษะข้างที่บาดเจ็บแล้วร้องออกมาอย่างเจ็บปวด “โอ้ยปวดหัว ปวดหัวมากเลย” เธอไม่เพียงแค่ร้องออกมาเท่านั้นแต่ยังบิดไปบิดมาอย่างทรมานอีกด้วย ฟางเสี่ยวหรงรีบเข้าประคองเธอไว้ในอก ส่วนเว่ยตงก็รีบไปหยิบยาแก้ปวดที่ได้มาจากหมอเหลียงมาให้น้องสาวทันที “อะนี่ยาแก้ปวด กินเสียสิ” เว่ยตงยื่นยาแก้ปวดพร้อมกับน้ำหนึ่งแก้วไปให้น้องสาวที่นั่งพิงร่างภรรยาของเขาอยู่ หญิงสาวรับมาแล้วกลืนยาลงอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจที่ไปที่มาของยาแม้แต่น้อยว่า ‘นี่มันยาพารานี่นา’ “เอ่อ..ฉันปวดหัวมากเลย ขอฉันพักผ่อนสักหน่อยเถอะ” เฉินชิวเยว่ส่งแก้วน้ำคืนให้พี่ชายของร่างนี้พร้อมกับบอกความต้องการของตัวเองออกไป เธอต้องการเวลาเพื่อทบทวนบางสิ่งบางอย่างอีกครั้ง “ได้ ไป ๆ พวกเราออกไปจากห้องนี้ก่อน ให้อ้ายเหม่ยได้พักผ่อนก่อนเถอะ อย่าเพิ่งไปเค้นถามอะไรมากนักเลย” เว่ยเฉียนได้ยินลูกสาวพูดประโยคยาว ๆ ออกมาครั้งแรกก็รีบพยักหน้ารับทันที ก่อนจะชักชวนให้ทุกคนออกไปจากห้องนอนของลูกสาว “อย่างนั้นนอนพักผ่อนนะ เดี๋ยวพี่กับสะใภ้รองจะไปทำอาหารที่อ้ายเหม่ยชอบกินเตรียมไว้ให้” จางอิงพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน อีกทั้งยังขันอาสาว่าจะเอาไปเตรียมอาหารที่ชอบไว้ให้ “ค่ะ” เฉินชิวเยว่พยักหน้ารับและยิ้มให้ทุกคน คนบ้านรองเว่ยเห็นว่าเธอคงต้องการการพักผ่อนจริง ๆ จึงพากันแยกย้ายกันไป เหลือเพียงแต่หลี่ฟางเจียวที่อยู่ดูแลลูกสาวเท่านั้น เฉินชิวเยว่ข่มตาหลับอีกครั้ง เธออยากหลับไปเพราะคิดว่านี่คือความฝัน เผื่อว่าตื่นมาแล้วจะกลับไปนอนอยู่บนเตียงที่บ้านหลังใหญ่ของเธอตามเดิม สะใภ้ทั้งสองพากันเข้าครัวไปเตรียมอาหารเช้าให้กับทุกคน ส่วนเว่ยเฉียนกับพี่ชายทั้งสองก็แยกย้ายกันไปเตรียมตัวเพื่อที่จะไปทำงานในคอมมูน วันนี้หลี่ฟางเจียวกับพี่สะใภ้ทั้งสองจำเป็นต้องอยู่ดูแลอ้ายเหม่ยที่นี่ จึงไม่ได้ไปทำงานที่คอมมูนด้วย ฟางเสี่ยวหรงทำกับข้าวเสร็จแล้วก็ยกเอาอาหารเข้ามาให้แม่ของสามีทันที “แม่กินข้าวก่อนเถอะค่ะ กินแล้วก็ไปนอนพักผ่อนสักหน่อยเมื่อคืนแม่ก็นั่งเฝ้าน้องเล็กทั้งคืน เดี๋ยวฉันจะอยู่ดูแลอ้ายเหม่ยให้เอง” ฟางเสี่ยวหรงเอ่ยบอกขึ้นมาเมื่อเห็นสีหน้าของแม่สามีอิดโรยเต็มที “ขอบใจนะสะใภ้รอง” หลี่ฟางเจียวรับชามข้าวนั้นมาแล้วลงมือกินทันที เช้าวันนี้หลี่ฟางเจียวกินข้าวได้มากขึ้นต่างจากเมื่อคืนที่กินอะไรไม่ลงเลย เพราะเป็นห่วงกลัวว่าลูกสาวจะตาย ทุกคนต่างก็แอบมองเว่ยอ้ายเหม่ยที่หลับไปแล้ว ก่อนจะถอนหายใจพร้อมกันอย่างโล่งอก ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะยังไม่หายดี และอาจจะมีหลง ๆ ลืม ๆ ไปบ้าง แต่ก็สบายใจได้แล้วว่ายังไงก็รอดพ้นจากความตายแล้วแน่นอน ที่เหลือก็ค่อย ๆ รักษากันไปหวังว่าอีกไม่นานเธอก็คงจะดีขึ้น โดยทุกคนไม่รู้เลยว่าคนที่คิดว่าหลับอยู่นั้น กำลังจะต่อรองกับใครบางคนที่ส่งเธอมาที่นี่อยู่ในความฝัน แสงสีขาวปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของเฉินชิวเยว่ในตอนที่เธอกำลังเดินอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง แสงนั้นที่ส่องมามันจ้าเสียจนเธอต้องหรี่ตาลงและยกมือขึ้นกั้นแสงที่สาดส่องมา กว่าหญิงสาวจะลืมตาได้ก็ผ่านไปหลายวินาที ทว่ามองดูแล้วแสงสีขาวนั้นทอดเป็นทางยาวจากด้านหน้ามาถึงเท้าของเธอ เส้นทางของแสงสีขาวนั้นเหมือนกับว่ากำลังเชื้อเชิญให้เธอเดินเข้าไปหา เฉินชิวเยว่ตัดสินใจเดินตามแสงที่นำทางไปอย่างช้า ๆ เดินมาสักพักหนึ่งก็เดินมาถึงหน้าบ้านหลังใหญ่ของตนเองในหมู่บ้านคนรวยที่เฉิงตู ใช่แล้ว..เธอมั่นใจว่าที่นี่คือบ้านของเธอ เพียงแต่ว่าที่หน้าบ้านมีการตกแต่งด้วยผูกผ้าสีขาวไว้ตามรั้วบ้าน เดินเข้าไปอีกหนึ่งก็เห็นมีโลงศพที่เป็นหีบจำปาทำจากไม้สักแกะสลักอย่างประณีตสวยงาม แต่ที่ทำให้เธอตกตะลึงก็คือด้านหน้าของโลงศพนั้นมีรูปภาพของเธอวางอยู่ “นี่ฉันตายจริงๆ แล้วใช่ไหม” เฉินชิวเยว่เห็นอย่างนั้นก็พูดขึ้นเบาๆ เธอหันไปมองรอบ ๆ ก็เห็นพ่อ แม่ พี่ชาย พี่สะใภ้และหลานชายคนเดียวของเธอ รวมถึงป้าหลี่อยู่ตรงนั้น ทุกคนอยู่ในชุดสีขาวและกำลังร้องไห้อย่างเศร้าเสียใจอยู่ที่ด้านข้างของโลงศพที่น่าจะมีร่างของเธอนอนอยู่ในนั้น ผู้คนมากมายทั้งบรรดาญาติ หุ้นส่วนธุรกิจและพนักงานในบริษัทของเธอ ต่างก็มาเคารพศพกันไม่ขาดสาย คนเหล่านั้นดูจะเสียใจกับการจากไปของเธออยู่ไม่น้อย พิธีศพของเธอจัดแบบจีนดั้งเดิม คือจะทำพิธีศพที่บ้านแล้วพาร่างไปฝังยังสุสานของตระกูล สุสานของตระกูลอยู่ที่นอกเมืองเฉิงตู ดังนั้นจึงมีรถคันหนึ่งมาจอดรออยู่ที่หน้าบ้านสหายเพื่อขนย้ายโลงศพนั้น เมื่อนาฬิกาตีบอกว่าถึงเวลาแล้ว ญาติ ๆ ต่างก็ช่วยกันยกโลงศพของเธอไปขึ้นรถคันนั้น จากนั้นทุกคนก็ขับรถของตัวเองตามออกไปที่สุสานนอกเมืองทันที ที่สุสานสกุลเฉิน คนเฝ้าสุสานได้ทำการเตรียมหลุมศพของเฉินชิวเยว่ไว้ข้าง ๆ กับหลุมศพของปู่กับย่า พื้นที่ของสกุลเฉินในสุสานนั้นค่อนข้างกว้างเมื่อเทียบกับของสกุลอื่น แต่ว่าพ่อกับแม่ของเฉินชิวเยว่ไม่อยากให้เธอรู้สึกว้าเหว่จนเกินไป เลยฝังเธอไว้ข้าง ๆ ปู่กับย่าแทน “แม่ครับ อาชิวเยว่จะนอนอยู่ที่เหรอครับ” เสียงเฉินเสี่ยวเป่าเอ่ยถามแม่ของเขาดังขึ้นในห้วงฝันของเฉินชิวเยว่ “ใช่ครับ อาชิวเยว่จะนอนที่นี่” เสียงพี่สะใภ้ตอบกลับลูกชายของเธอ “อาชิวเยว่จะไม่กลับไปนอนที่บ้านแล้วเหรอครับ เสี่ยวเป่าไม่อยากให้อาซิวเยว่อยู่คนเดียวเลย เสี่ยวเป่าคิดถึง” เฉินเสี่ยวเป่าถามขึ้นอีกด้วยน้ำเสียงหงอย ๆ เพราะเขาติดอาสาวมาก “ไม่แล้วครับ อาซิวเยว่จะอยู่ที่นี่กับท่านทวดทั้งสอง แต่พวกเราจะมาเยี่ยมอาชิวเยว่ที่นี่ทุกปี ดีไหม” พี่สะใภ้บอกกับลูกชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ครับ” เฉินเสี่ยวเป่ารับคำและมองไปที่พิธีการเงียบ ๆ เมื่อเสร็จพิธีการทุกอย่าง แล้วโลงศพของเฉินชิวเยว่ก็ถูกวางลงในหลุมและกลบฝัง ท่ามกลางความเสียใจของทุกคน แม่เฉินร้องไห้ปานจะขาดใจอยู่ตรงนั้น และเหมือนกับทุกคนในที่นั้นจะไม่เห็นเฉินชิวเยว่เลยสักคน ทั้ง ๆ ที่เธอยืนอยู่ข้าง ๆ หลุมศพของตัวเองแท้ ๆ ดังนั้นเธอจึงเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ลาก่อนนะคะทุกคน” จากนั้นเธอก็เดินจากมาทั้งน้ำตาโดยเธอตามแสงสีขาวที่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม