ตอนที่ 1 เดินทาง
ตอนที่ 1 เดินทาง
จวิ้นจู่ผู้งดงาม เดินทางด้วยรถม้า ขบวนใหญ่โตโอ่อ่า ตกแต่งประดับประดาอย่างหรูหรายิ่งนัก ยามนี้กำลังการเดินทางไกลครั้งแรกในชีวิตของนาง หลังจากถูกพิพากษาอย่างอยุติธรรม จากปากของอันอ๋องเหลียนเจาแห่งแคว้นเหลียน
จึงทำให้นางต้องระหกระเหินรอนแรมมาไกลนับพัน นับหมื่นลี้ เพื่ออภิเษกเป็นเจิ้งเฟยของเขา ชายผู้นี้มิได้มีดีเพียงแค่ใบหน้าที่หล่อเหลาคมคาย แต่วาจานั้นกลับคมกริบยิ่งกว่าความแหลมคมของมีดเสียอีก ยามเอ่ยถ้อยคำล้วนมีแต่คำเย้นหยันถากถาง
อีกทั้งยังมีหวังเหมยฮัว ชายารองยอดรักของอันอ๋องใส่ร้ายจนต้องตกที่นั่งลำบาก กลายเป็นหมากมีชีวิตให้แคว้นเหลียนหยิบยกมาใช้ประโยชน์ หากเหลียนเจาไม่ข่มขู่ว่าจะนำทัพยกมาทำศึกสงคราม
ซ่งฟางหรูก็ไม่มีทางเดินทางมายังแคว้นเหลียนเป็นอันขาด หากมิใช่เพราะหวาดกลัวว่าเหล่าราษฎรจะเดือดร้อน เกิดการเข่นฆ่าล้างแค้น เพียงเพราะมารยาสตรีนางหนึ่งเท่านั้น มันคุ้มค่ากันแล้วหรือ
จวิ้นจู่ผู้นี้มิเคยหวาดกลัวสิ่งใด ด้วยเพราะมีบิดาเป็นถึงชินหวาง พี่รองเป็นท่านหมอหญิงผู้เก่งกาจ มีพี่เขยเป็นแม่ทัพใหญ่ นางย่อมไม่มีเหตุผลที่จะหวาดกลัว แต่สิ่งที่นางค่อนข้างกลัดกลุ้มใจตลอดการเดินทางก็คือมารดาของนาง
ยามนี้หญิงสาวนั่งอยู่ในรถม้า แววตาเหม่อลอย ครุ่นคิดอย่างว้าวุ่นใจไม่จางหาย มิรู้ว่าป่านนี้ท่านแม่ทำใจได้แล้วหรือยัง รับอาหารได้หรือไม่ เพิ่งจะหายป่วยทางใจได้ไม่นาน ก็ต้องมาล้มป่วยอีกครั้งเพราะนางเป็นแน่
ระหว่างที่ซ่งฟางหรูครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินน้ำเสียงของชายใจร้ายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “ทำไมถึงเงียบไปเล่า ไม่พอใจอะไรกัน หรือว่าคิดถึงท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้ากันเล่า”
เหลียนเจาอันอ๋องควบม้าขนาบข้าง นั่งอยู่ในรถม้ารู้สึกปวดเมื่อย จึงสั่งหยุดพักชั่วคราว แล้วมานั่งควบม้าเพื่อที่จะได้เอ่ยสอบถามหญิงงาม ที่ถูกเขาจับมาในฐานะเชลยผู้หนึ่ง
“...” ซ่งฟางหรูคร้านพูดกับคนใจร้าย นางยังคงนั่งเงียบ ๆ ใบหน้าหาได้ยิ้มแย้มไม่ ดวงตาคู่สวยนี้หม่นหมอง เพราะการเดินทางครั้งนี้ มิอาจหวนกลับแคว้นซ่งได้อีกแล้ว
เหลียนเจาอันอ๋อง ไม่ได้ยินเสียงของนางตอบกลับ เขาเอ่ยถามขึ้นอีกหน “ข้าถามเจ้า เหตุใดไม่ตอบ ปากอมพะนำอันใดอยู่หา” ยามเมื่อเอ่ยถามนี้ น้ำเสียงจึงแข็งกระด้างและดุดัน แววตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจนางอยู่มากโข
นางตะคอกสวนกลับทันควันว่า “คร้านจะพูดกับคนจิตใจหยาบช้า เช่นเจ้าอีกอย่าง ข้าจะตอบหรือไม่ ก็ไม่เห็นจะหนักส่วนใดของหัวเจ้านี่นา หยุดพูดจาทำร้ายข้าได้แล้ว หากยังไม่ยอมหยุด อย่าหาว่าข้าร้ายก็แล้วกัน”
“ข้าก็อยากรู้นักว่า เจ้าจะร้าย ได้สักเพียงใด แต่ข้าน่ะชอบนะที่เจ้าพยศข้ายามที่อยู่ใต้ร่างของข้า” เมื่อรถม้าหยุดการเคลื่อนไหว อันอ๋องผู้สง่างามจึงเปิดม่านหน้าต่างรถม้า แล้วมองดูหญิงสาวนั่งหน้าบูดบึ้ง
“โอ๊ย...คิดทำร้ายสามีรึไง ข้าจะลงโทษเจ้า” ชายหนุ่มไม่ทันได้ตั้งตัว นางก็โจมตีด้วยการข่วนหน้าเขาจนรู้สึกเจ็บแสบ จึงอุทานเสียงดังออกมา ไม่คิดมาก่อนว่า เจ้าม้าตัวนี้ช่างพยศเสียเหลือเกิน
“หยุดนะ” ซ่งฟางหรูตะคอกเสียงดังโต้กลับ เพราะเขาจะขึ้นมาจัดการนางเสียให้ได้ ดังนั้นแล้วหญิงสาวจึงเอ่ยวาจาทั้งตักเตือนและข่มขู่ไป “หากขึ้นมาละก็ ข้าจะถีบเจ้าลงจากรถม้า คราวนี้เป็นเจ้าที่ต้องอับอาย”
ราชครูหวังเยี่ยนรีบเข้ามาห้ามทัพเสียก่อน เกรงว่าอันอ๋องจะบันดาลโทสะลงไม้ลงมือทำร้ายจวิ้นจู่จากแคว้นซ่ง ไหน ๆ นางก็มาเป็นเชลยแล้ว
นับจากนี้ก็ต้องดูแลหมากตัวนี้เอาไว้ให้ดี ภายภาคหน้า ย่อมต้องได้ใช้ประโยชน์จากนางเป็นแน่
ดังนั้นหวังเยี่ยนจึงเอ่ยชี้แนะอันอ๋องอย่างนอบน้อม แต่กลับซุกซ่อนแววตากระหายอำนาจไว้ในดวงตาคมกริบคู่นี้ “ท่านอ๋อง อย่ายั่วโทสะของจวิ้นจู่เลยพ่ะย่ะค่ะ นางเป็นสตรี จะสู้เรี่ยวแรงท่านอ๋องได้อย่างไรกัน มิสู้ให้ถึงตำหนักก่อน เข้าพิธีให้เรียบร้อยเสียก่อน ค่อยลงมือก็ยังไม่สายนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าเห็นแก่หน้าท่านราชครู ยอมให้เจ้าสักครั้ง” อันอ๋องทั้งหงุดหงิดและเสียหน้า นางคือเชลยที่เขาจงใจจับมาเพื่อแก้แค้น ตลอดการเดินทางหลายวันมานี้ พบหน้านับครั้งได้ ส่วนมากก็มักอยู่ในรถม้า
ซ่งฟางหรูถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เพราะการเดินทางด้วยรถม้า ค่อนข้างอึดอัดยิ่งนัก อีกทั้งยังปวดเมื่อยไปหมด ไม่ได้ออกไปยืดเส้นสายบ้าง อุดอู้อยู่ในที่แคบ ๆ มาช้านานก็ย่อมปวดเมื่อยเป็นธรรมดา
เช่นนั้นแล้วก็คาดว่าน่าจะเดินทางเข้าเขตแคว้นเหลียนแล้วกระมัง จึงเอ่ยสอบถามว่า “อีกนานหรือไม่จะถึงเมืองหลวงแคว้นเหลียนเสียที” น้ำเสียงของหญิงสาวผ่อนหนักผ่อนเบา แต่ก็ยังมีกลิ่นอายดุดันตามแบบฉบับของจวิ้นจู่ผู้เย่อหยิ่ง ตามที่ใคร ๆ เข้าใจ
“อีกไม่นานพ่ะย่ะค่ะ ราว ๆ สักครึ่งก้านธูปก็น่าจะถึงแล้ว ยามนี้กำลังรอขบวนต้อนรับจากวังหลวงพ่ะย่ะค่ะ” หวังเหยี่ยนกล่าวตอบเสียงนุ่ม แววตาเขากลับดูราบเรียบยิ่งนัก
ถึงแม้ว่านางถูกส่งมาอภิเษกกับอันอ๋อง แต่นางก็หาได้ยินดีไม่ อีกทั้งคนพวกนี้คิดอ่านอันใด มีหรือที่ซ่งฟางหรูจะเดาทางไม่ได้ นางคือหมากให้คนพวกนี้จับมัดเอาไว้ใช้งาน ดั่งคำที่ว่า...เสร็จศึกฆ่าขุนพล...
เมื่อเป็นเช่นนี้ มีหรือที่นางจะนั่งรอคอยความตาย หากถึงแคว้นเหลียนเมื่อไร นางถึงจะเริ่มแผนการกระชากหน้ากากของหวังเหมยฮัว อีกทั้งยังมีหวังเยี่ยนอีกคน ชายผู้นี้ภายนอกช่างดูสุขุมเยือกเย็น แต่แววตาของเขานั้นช่างดูลุ่มลึกยิ่งนัก ยากจะคาดเดาได้ว่า เขาคิดอ่านอันใดอีก
หวังเยี่ยนเห็นว่าจวิ้นจู่ไม่ตอบกลับ เขาจึงเอ่ยขึ้นอีกครา “จวิ้นจู่พ่ะย่ะค่ะ อีกหนึ่งก้านธูปพ่ะย่ะค่ะ”
ซ่างฟางหรูหลุดออกจากภวังค์จึงตอบกลับเสียงเบา “อืม เปิ่นกงรู้แล้ว เชิญท่านราชครูถอยห่างจากรถม้าของเปิ่นกงด้วย”
ตลอดการเดินทางนี้ ไม่เคยได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย กระทั่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญอย่างที่ควรจะเป็น ถึงแม้ว่านางอายุยังน้อย เพิ่งผ่านพ้นวัยปักปิ่นมาได้ไม่นาน ต้องระหกระเหินเดินทางรอนแรมนับพันนับหมื่นลี้ก็หาได้คร่ำครวญตัดพ้อสิ่งใดไม่
จึงทำให้ทั้งท่านราชครูและอันอ๋องรวมถึงเหล่าคณะทูตที่เดินทาง แปลกใจยิ่งนัก ไม่คิดว่าจวิ้นจู่จากแคว้นซ่งจะมีจิตใจเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญถึงเพียงนี้
อีกทั้งอันอ๋องยังชื่นชมเพราะนางไม่เอาแต่ใจ ไม่ร้องไห้ฟูมฟาย เขามิเคยเห็นน้ำตาจากนางสักหยด หวังเหมยฮัวก็ยังคิดผิดพลาดไป ที่จงใจใส่ร้ายซ่งฟางหรู เพื่อก่อให้เกิดสงครามระหว่างทั้งสองแคว้น
แต่กลับกลายเป็นว่า อันอ๋องนำนางกลับมา ซ้ำยังยกตำแหน่งเจิ้งเฟยให้อีกด้วย หวังเหมยฮัวเฝ้าปรารถนาตำแหน่งนี้มาสามปี แต่กลับไร้ความหมาย
“อ้อ เช่นนั้นกระหม่อมขอตัว” เป็นหนแรกที่ทำท่านราชครูหวังเสียหน้า และเป็นหนแรกที่เขาแสดงออกทางดวงตาว่าไม่พอใจนัก
“จวิ้นจู่เมื่อครู่นี้ ท่านราชครูหวังมีสีหน้าไม่ใคร่พอใจนักเพคะ” นางกำนัลที่นั่งคอยดูแลรับใช้ในรถม้า ถึงกลับกลั้นหัวเราะจนหน้าแดงทีเดียว ที่เห็นว่าสีหน้าของหวังเยี่ยนนั้นเป็นเช่นไร
“เขาคงคิดว่าข้าคือลูกไก่ในกำมือกระมัง คนพวกนี้มองข้าต่ำเกินไปแล้ว” นางมิใช่เสือกระดาษเสียหน่อย หวังเหมยฮัวมองนางผิดไปแล้ว
“จวิ้นจู่ หนทางต่อไปนี้ พวกเราจะทำเช่นไรดีเพคะ” นางกำนัลขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างกังวลใจนัก พันภูผาหมื่นวารีนี้ช่างยาวนานยิ่งนัก ยากจะรู้ว่าภายภาคหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ซ่งฟางหรูกดยิ้มเล็กน้อย แววตาดุดันกว่าครั้งไหน ๆ มั่นอกมั่นใจว่า หวังเหมยฮัวจะเพลี่ยงพล้ำกับสิ่งที่ได้กระทำลงไป อีกไม่นานเกินรอ วันเวลานั้นจะมาถึงนางในไม่ช้านี้ “ข้าจะดูนาง สาวไหมพันตนเอง”