ตอนที่ 7

1547 คำ
ตอนที่ 7 “เปล่าหรอก” ชายหนุ่มตอบกลับพลางเคาะนิ้วกับพวงมาลัยรถสองสามครั้ง “ปิ่นมั่นใจแค่ไหนสำหรับการสัมภาษณ์งานวันนี้” ปิ่นปักหัวเราะแก้เก้อ หันไปส่งยิ้มหวานให้ธวัชชัย ก่อนจะส่ายหน้า แต่ดวงตาเป็นประกายแวววาว “ไม่มั่นใจเลยสักนิด แต่รู้ว่าจะต้องทำให้ดีที่สุด” ปิ่นปักบอกพร้อมกับก้าวลงจากรถ เมื่อชายหนุ่มจอดให้เธอลงหน้าบริษัทเมฆินทร์การยาง ระยะทางจากบ้านหลังน้อยของเธอมาถึงบริษัทเมฆินทร์การยาง ถ้านั่งรถสองแถวก็จะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง แต่นั่งรถส่วนตัวเช่นนี้จะใช้เวลาเพียงแค่สิบถึงสิบห้านาทีเท่านั้น “ขอบใจนะวัช” ปิ่นปักบอกก่อนจะรีบถอยหลังไปยืนบนริมฟุตบาทและยกมือโบกให้กับคนที่ยังรีรอไม่เต็มใจไป “สัมภาษณ์คงไม่นาน” “ไม่เป็นไร ปิ่นกลับเองดีกว่า วัชรอฟังข่าวดีที่บ้านดีกว่านะ” ปิ่นปักรีบดักคอ อีกอย่าง หากยังยืนคุยกันไม่จบอย่างนี้ เธอจะเข้ารับการสัมภาษณ์สายด้วย เมื่อธวัชชัยออกรถไปแล้ว ปิ่นปักก็รีบเหลียวมองหาที่มาของความรู้สึกแปลก ๆ เหมือนถูก...เฝ้ามอง! แต่ก็เห็นเพียงความว่างเปล่า สงสัยว่าเธอคิดมากไปเอง ไหล่กว้างเลิกขึ้นเล็กน้อย พลางดึงสติกลับมา ตั้งมั่นในสิ่งที่จะทำ เธอเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ พร้อมความมั่นใจ...น้อยนิดที่พกมา ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง เธอจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้! ชายหนุ่มร่างหนายืนอิงกระจกใสจากชั้นสามของห้องทำงานสองมือล้วงกระเป๋ากางเกง สายตาคมกริบมองตามร่างสูงโปร่งที่เดินลงจากรถเก๋งสีน้ำตาลแดงด้วยใจร้อนรุ่มอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งที่รอบกายมีผู้หญิงให้ความสนใจเสมอ แต่ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทำไมถึงได้มาสะดุดกับเธอคนที่หน้าตาบ้าน ๆ ท่าทางเอ๋อ ๆ ใส่แว่นและแต่งตัวอย่างกับคุณป้าเพิ่งหลุดออกมาจากป่าไพร ชายหนุ่มขบกัดฟันกรามจนแก้มตอบนูนเด่น ดวงตาแวววาวราวกับพยัคฆ์จ้องเหยื่อ ซึ่งถ้าคนที่ทำให้เขามีโทสะมาเห็นเข้าล่ะก็...เธอคงจะหนาวยะเยือก หาทางถอยหนีในเร็วเชียวล่ะ แต่เพราะไม่รู้ ก็เลยนั่งรอด้วยใจที่เต้นตุ่ม ๆ ต่อม ๆ ด้วยความหวังจะได้งาน “เหลือคุณปิ่นปักคนเดียวแล้วครับ เจ้านายจะให้ผมทำยังไงต่อ” สิ้นเสียงโทรศัพท์ภายในก็ตามมาด้วยเสียงถามของหัวหน้าฝ่ายบุคคล “พาเธอมาพบฉันที่ห้อง” เมื่อบอกเสร็จเขาก็เดินไปยืนที่ริมหน้าต่างบานใหญ่ สองมือสอดเอาไว้ในกระเป๋ากางเกง รอคอยหัวหน้าฝ่ายบุคคลนำปิ่นปักมาพบ ที่ไม่นานเสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น “เชิญ” น้ำเสียงที่ดังออกมา เต็มไปด้วยพลังอำนาจทำให้ปิ่นปักหวาดผวาอยู่ลึก ๆ ฟันซี่เล็กขบกัดกลีบปากอย่างคนที่ความมั่นใจขาดหายไป นับตั้งแต่เห็นผู้มารับการสัมภาษณ์งาน นับรวมถึงตัวเธอก็เป็นห้าคน ไหนจะสายตาที่แสดงออกถึงความไม่ชอบใจของผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่ตวัดมองบ่อย ๆ ก็ทำให้ปิ่นปักอดคิดไม่ได้ เธอแต่งกายไม่ดีพอ วุฒิการศึกษาที่ยื่นไปคงจะต่ำจนไม่น่าสนใจ อาจจะพลาดงานในครั้งนี้ก็ได้ เพราะมัวแต่คิดกังวลทำให้ปิ่นปักไม่ทันจะได้มองป้ายชื่อและตำแหน่งที่ติดเอาไว้ อีกทั้งในใจก็คิดเพียงว่า ต้องสู้และทำให้ดีที่สุด ผลจะออกมาเป็นยังไง เธอก็ไม่เสียใจแล้วล่ะ ปิ่นปักสูดลมหายใจเข้าปอดเรียกความมั่นใจอีกครั้ง ก่อนก้าวเดินขาสั่นตามผู้จัดการฝ่ายบุคคลร่างป้อมเข้าไปในห้องใหญ่ เสียงหัวใจของเธอเต้นกระหน่ำ ด้วยความตื่นเต้นหวาดหวั่นและความคาดหวังว่าจะได้งานในวันนี้ หากเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ริมกระจกหน้าต่างที่เหลียวหน้ามาก็ทำให้ใจปิ่นปักแป้วลงทันที เธอจำคนที่เอ่ยเรื่องของชุดที่เธอใส่มาในวันมาสมัครงานได้ดี แล้วเขามาทำอะไรที่นี่กันล่ะ คิ้วโก่งได้รูปขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความสงสัย ก่อนจะอ้าปากค้างเมื่อคิดขึ้นมาได้ ชายตรงหน้าอาจจะเป็นคนที่จะสัมภาษณ์งานเธอ ยิ่งเมื่อได้เห็นป้ายที่ตั้งอยู่บนโต๊ะบอกชื่อผู้เป็นเจ้าของ นาม... ‘เมฆา ปรุระวงศ์’ ก็ทำให้ปิ่นปักตกใจจนร้องอุทานออกมาเบา ๆ ที่มาพร้อมกับเสียดาย เพราะดูท่าทางแล้วเธอคงจะไม่ได้งานในวันนี้แน่นอน “คุณปิ่นปัก...คุณปิ่นปัก!” “อุ้ย! ขอโทษคะ ฉันเผลอคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปหน่อย” ปิ่นปักเอ่ยเสียงเบาหวิวและส่งยิ้มแหย ๆ ให้กับผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่ตอนนี้ส่งสายตาหมิ่นแคลนมาอย่างชัดเจน ทำให้เธอรู้สึกเอือมระอา เกิดความรู้สึกไม่อยากทำงานที่นี่ขึ้นมา เพราะขนาดยังไม่ได้งาน ก็มีคนเกลียดขี้หน้าเสียแล้ว หากว่าได้จริงๆ คงมีเรื่องปวดหัวไม่ใช่น้อยเชียวแหละ แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องนั้น ด้วยมีอย่างอื่นให้ต้องกังวลใจมากกว่า ใบหน้าเข้มคล้ายจะมีรอยยิ้มแต้มอยู่บนมุมปากและสายตาเข้มดุที่มองมาอย่างมีเลศนัยอีกเล่า ฟันขาวขบกัดบนกลีบปากอิ่ม ‘เธอเป็นเพียงพนักงานบัญชีเล็ก ๆ ทำไมเจ้าของบริษัทถึงได้ลงมาสัมภาษณ์เอง หรือมีอะไรลึกลับซับซ้อนมากกว่าที่เห็น’ คิ้วโก่งได้รูปขมวดมุ่นเข้าหากัน “เชิญนั่งซิคุณปิ่นปัก” “เอ่อ...ค่ะ ขอบคุณค่ะ” ปิ่นปักฉีกยิ้มแหย ๆ แค่ใบหน้าและดวงตาดุ ๆ ก็ทำให้สั่นได้แล้ว เจอน้ำเสียงห้าวแฝงไว้ด้วยอำนาจเธอก็สั่นจนอยากจะหันหลังกลับเสียเดียวนี้เลย “มีอะไรหรือเปล่าคุณปิ่นปัก” เมฆาถามพลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แค่มอง...ลึกเข้าไปในดวงตากลมโตก็รู้ว่าหญิงสาวกำลังหวั่นไหวตื่นกลัว จนเขาอดยิ้มไม่ได้ “เอ่อ...เปล่าค่ะ...เปล่า ไม่มีอะไร” ทางเดียวที่ช่วยได้ในตอนนี้คือเธอต้องรีบนั่งให้เร็วที่สุดก่อนขาที่สั่นอยู่จะอ่อนแรงจนยืนไม่ไหว ปิ่นปักคว้าพนักเก้าอี้ดึงเพื่อจะนั่ง นั่นยิ่งทำให้ตัวเองอับอายจากเสียงของขาเก้าอี้ที่ครูดไปกับพื้น “สวัสดีปิ่นปัก ดีใจนะที่ได้เจอคุณอีกครั้ง” เมฆาลุกขึ้นเดินไปหยุดอยู่ด้านหลังปิ่นปัก เท้าแขนคร่อมร่าง วางคางบนบ่ากว้าง พลางหายใจรินรดต้นคอระหง มือข้างหนึ่งวางทับบนมือเรียวกดไว้บนขาเสลา อีกข้างก็ดึงแว่นออกจากใบหน้านวลที่ทำให้เขามั่นใจว่า...ใช่! คนที่อยากเจอมาก เพราะความซนเป็นเหตุ ทำให้ปลายฝนได้รับบาดเจ็บจนต้องไปโรงพยาบาล ตอนที่เขาจอดรถไม่ทันจะเสร็จดี ปลายฝนเห็นว่ามีรถขายไอศกรีมก็รีบเปิดประตูรถออกไปโดยที่เขาห้ามไม่ทัน หากไม่ได้ปิ่นปักวิ่งเข้ามาช่วยโดยไม่สนใจว่าตนเองจะบาดเจ็บ ปลายฝนคงจะต้องถูกรถมอเตอร์ไซด์ที่ขับเข้ามาชนจนได้รับบาดเจ็บซ้ำ ดูเหมือนว่าในวันนั้นปิ่นปักที่ถือแว่นตาซึ่งขาข้างหนึ่งหักจนใส่ไม่ได้จะพูดอะไรบางอย่างกับปลายฝน ทำให้เด็กหญิงที่ตกใจจนร้องไห้จ้าเงียบเสียงลงและรีบเดินมาหาเขาโดยเร็ว ก่อนจะเอ่ยคำขอโทษทั้งที่ยังคงสะอึกสะอื้นอยู่ ความประทับใจในการเจอครั้งแรกชวนให้เกิดความสนใจแล้ว ในวันเดียวกันเขายังพบว่าปิ่นปักเป็นเด็กสาวที่นิสัยดีมาก เธอไม่สนใจว่าคนที่ให้การช่วยเหลือไปจะเป็นคนชราที่แต่งกายสกปรก ใบหน้าที่ปราศจากแว่นตาคันโตแย้มยิ้มหวานชวนมองชวนให้อยากเข้าใกล้ชิด “ตามประวัติ เธอยังเป็นโสด ไม่มีครอบครัวและยังไม่มีแฟนด้วย ฉันเข้าใจถูกใช่ไหมปิ่นปัก” เสียงแหบพร่าและปากอุ่นที่ดังเกือบจะแนบชิดกับผิวแก้มนุ่ม ทำให้สติสะตังปิ่นปักกระเจิดกระเจิง จนไม่รู้ว่าตัวเองตอบคำถามนั้นไปว่ายังไง “คุณ...คุณก็ได้รู้ประวัติฉันจากเอกสารสมัครงานแล้วนี่คะ” ปิ่นปักรีบตอบเมื่อรู้สึกตัว “อีกอย่าง ฉันจะมีแฟน...เป็นโสด มีสามีแล้วหรือเปล่า ไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับการทำงานในตำแหน่งนี้นะคะ” ปิ่นปักข่มกลั้นความกลัวและกังวลตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่พอเปล่งออกจากปาก มันกลับสั่นพร่า พาให้หงุดหงิดใจ “คุณ...กรุณาปล่อยมือและหน้าคุณออกไปไกล ๆ หน้าฉันด้วยค่ะคุณเมฆา”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม