ตอนที่ 6
“คิดอยู่ว่าจะหนีไปจากเงื้อมมือฉันได้ยังไงใช่ไหม เลิกคิดดีกว่านะ เพราะฉันไม่คิดปล่อยเธอไปง่าย ๆ อยู่แล้ว อีกอย่างถ้าทำให้ฉันโกรธมาก ๆ จนระงับอารมณ์ไว้ไม่ไหว เผลอทำร้ายขึ้นมา ก็จะหาว่าเป็นยักเป็นมารรังแกผู้หญิงอีก”
“ฮื่อ...” ขอขวัญพยายามพูดว่าใช่ เขาเป็นอย่างนั้นจริง ๆ คนดีที่ไหนจะมาจับตัวเธอเอาไว้แบบนี้กันล่ะ แล้วนี่มันยังไง เส้นทางสายนี้ก็ไม่ใช่จะปลอดผู้คนสักหน่อย แต่ทำไมวันนี้ถึงไม่มีคนผ่านมาเลยสักคน เคราะห์หามยามร้ายของเธอจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย
“ฉันว่าเรารีบไปกันดีกว่า ถ้ามีคนเห็นเราสองคนใกล้ชิดกันจนแทบจะสิงร่างกันแบบนี้ เธอคงถูกเอาไปพูดในทางไม่ดี” เอกราชไม่รอช้า เขาโอบแขนรอบกายอรชรพร้อมกับกวาดสายตามองหากระเป๋าใส่ของ จนพบว่ามันตกอยู่ที่พื้นใกล้กับใต้ท้องรถ ก็เลยรีบคว้ามันขึ้นมาหากุญแจส่งให้จ้อนขับไปตามคำสั่ง ขณะตัวเองก็รีบพายายตัวแสบที่กลายพันธ์เป็นหมาน้อย กัดแทะมือเขาไม่ยอมหยุดไปที่รถของตัวเอง
เอกราชกลอกตาไปมาอย่างเอือมระอา “หิวมากขนาดกัดแทะมือฉันไม่ยอมหยุดแบบนี้ เดี๋ยวไปถึงบ้านฉันจะรีบซาวข้าวให้กินสักโคมโต ๆ เลย เอาไหม...หมาขวัญ”
“...” จอมขวัญกรีดร้องด้วยความคั่งแค้น เกิดเป็นแรงฮึด กล้าที่จะออกแรงสะบัดตัวออกจากแขนกำยำที่จับร่างอรชรของเธอขึ้นไปนั่งบนตักได้โดยง่ายราวกับร่างนี้ไร้น้ำหนัก
“อื้อ...อื้อ...” เมื่อมือถูกผูกมัดด้วยบางอย่างจนไร้อิสระ ก็เหลือเพียงเท้า
“เฮ้อ...เธอนี่นะขวัญ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมหมดฤทธิ์หมดเดชอีก” แม้กระทั่งขึ้นมานั่งอยู่บนรถแล้ว เท้าเล็กก็ยังไม่หยุดที่จะทำร้ายเขา
“เอาเถอะ อยากทำอะไรก็ทำ แต่เธอจะมาโอดครวญทีหลังว่าฉันใจร้ายไม่ได้นะ เพราะฉันจะจูบทุกครั้งที่เธอทำร้ายฉันได้”
ตอนนี้จอมขวัญไม่คิดฟังอะไรทั้งสิ้น ในหูอื้ออึงไปด้วยลมโทสะที่โหมกระหน่ำ กว่าจะรู้สึกตัวว่าพลาดก็เมื่อจุมพิตร้อนผ่าวนาบลงมาบนเรียวปากอิ่ม บดคลึงอย่างหนักหน่วงก่อนจะสอดแทรกเรียวลิ้นอุ่นชื้นไปกวาดไล้ลิ้มชิมรสหวานละมุนในโพรงปากนุ่ม ขณะที่มือหนาก็สอดเข้าไปฟอนเฟ้นทรวงอกด้วยย่ามใจ และไฟปรารถนาก็ยังทำให้สาวไม่มือชายเช่นเธอหลงเพลิดไปด้วย
แม้จะเป็นอิสระจาก...จูบ! ราวกับจะสูบเอาวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว แต่จอมขวัญก็ยังรู้สึกเหมือนยังมีไฟนาบอยู่บนริมฝีปากที่เห่อบวมอยู่เลย
“ชอบเธอตอนนี้ชะมัดเลยขวัญ” ปลายนิ้วยาวลากไล้ไปบนแก้มใสซับสีเลือดฝาด “รู้ไหม ถ้าเธอไม่ดื้อ พูดจาหวานหู...และไม่แต่งหน้าจัดอย่างกับงิ้ว เธอจะเป็นสาวที่น่ารักคนหนึ่งเลยทีเดียวเลยนะขวัญ”
“ไม่อยากน่ารักกับคนอย่างนาย” หญิงสาวโต้กลับไปเสียงสั่น อยากพาตัวเองออกจากอ้อมแขนแกร่ง แต่ทุกครั้งที่ขยับตัว เอกราชก็จะรัดแน่นขึ้นจนเธอไม่กล้าที่จะหายใจ เพราะกลัวความใกล้ชิดที่ทำให้รู้สึกแปลก ๆ
“เอาไว้ฉันจะรอดู ใกล้ชิดกันทุกวัน เธอจะสามารถต้านทานเสน่ห์ฉันได้แค่ไหน” เอกราชเอ่ยน้ำเสียงเหมือนจะหัวเราะ แต่ถ้าฟังให้ดีจะแฝงความเศร้าเอาไว้ ไม่แพ้สีหน้าและแววตาที่ต้องซ่อนความชอกช้ำเอาไว้ให้มิดชิดที่สุด
“ตอนนี้...เราไปกันดีกว่า ฉันมีอะไรให้เธอแปลกใจอีกเยอะเลยล่ะ”
เอกราชพยักหน้าให้นนท์ลูกน้องอีกคน ที่เขาพามาเป็นพลขับ พาเขาและจอมขวัญไปยังจุดหมายปลายทาง
จ้อนและนนท์เป็นเด็กกำพร้าเหมือนเขา แต่ทั้งคู่โชคร้ายกว่า ที่ไม่เพียงกำพร้า แต่ยังพิการพูดไม่ได้ ตอนที่เจอนั้น สองพี่น้องถูกอันธพาลกลุ่มหนึ่งรุมทำร้าย เขาเลยรับทั้งคู่มาอยู่ด้วย ให้ทำงานในไร่รวมถึงใช้งานเล็กๆ น้อย ถึงจ้อนและนนท์จะพิการ แต่ทั้งคู่กลับเป็นคนเก่ง
จ้อนซ่อมเครื่องยนต์เพียงแค่ดูจากหนังสือเพียงครั้งเดียว ส่วนนนท์เองก็มือเย็น ปลูกอะไรก็งามและให้ผลผลิตสูง ซึ่งความบกพร่องของทั้งคู่ เป็นผลดีกับงานนี้ เพราะไม่ต้องกลัวว่าความลับจะถูกเปิดเผย
รถกระบะสองตอนคันใหญ่วิ่งห่างไปจากตัวเมืองอย่างรวดเร็วจนฝุ่นบนท้องถนนกระจาย จอมขวัญเหลียวไปมองด้านหลังก่อนจะหันมามองหน้าเอกราชที่ตอนนี้หลับตาลงวางศีรษะบนบ่ากว้าง ส่วนด้านหน้า นนท์ก็ทำหน้าที่คนขับต่อไปโดยไม่วอกแวกใด ๆ มีเพียงแววตาเท่านั้นที่เหลียวมองเธอด้วยความสะใจ
จอมขวัญสลัดความกลัวทิ้งไป คิดหาทางหนีทีไล่จากยักษ์ใหญ่ใจร้ายให้ได้ภายในเวลารวดเร็ว ก่อนข่าวคาวจะทำให้เธอพลาดรักจากชายซึ่งได้ครอบครองดวงใจตั้งแต่แรกโตเป็นสาวน้อย
ปิ่นปักมองดูตัวเองในกระจกบานใหญ่อีกครั้ง เธอเตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์งานในวันนี้ด้วยการซื้อชุดใหม่ที่คิดว่าเรียบร้อยและดูดี ที่สำคัญคือราคาไม่แพง จำได้ว่าตอนที่เจอกับชายหนุ่มแปลกหน้า เขาคนนั้นหาว่าเธอแต่งตัวเฉิ่มและเชยจนไม่มีใครอยากได้เข้าไปร่วมงานด้วย แต่เธอคิดต่าง การแต่งกายไม่ได้วัดความสามารถที่มีสักหน่อย
บางครั้งคนแต่งตัวดี อาจทำงานไม่เก่ง เช่นเดียวกับคนที่เรียนเก่งใช่ว่าจะทำงานเก่งทุกคนไปและตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะไปสนใจผู้ชายที่ไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจว่าจะรับเธอเข้าทำงานหรือเปล่า เพราะสิ่งสำคัญคือทำวันนี้ให้ดีที่สุดต่างหากล่ะ
ปิ่นปักหมุนตัวตรวจความเรียบร้อยในกระจกบานใหญ่อีกครั้ง ก่อนใบหน้าหวานจะเปื้อนยิ้ม เมื่อเห็นว่าแต่งตัวได้เรียบร้อยและเหมาะสม
“สู้ตาย!” ปิ่นปักบอกตัวเอง พร้อมก้มลงหยิบสัมภาระเพื่อเดินทางไปยังจุดหมาย...บริษัทเมฆินทร์การยาง
หญิงสาวเดินออกจากบ้านไปรอสารถีจำเป็นที่จะเป็นคนพาเธอไปส่งยังบริษัทเมฆินทร์การยาง คนที่ไม่ว่าจะถูกห้ามปรามเท่าไหร่ก็ไม่เคยฟัง ยังยืนยันว่าจะพาเธอไปส่งที่หน้าบริษัทให้ได้
เพียงได้เห็นปิ่นปักเดินมา หัวใจของธวัชชัยก็เต้นแรงเร็ว ยิ่งเมื่อได้เห็นใบหน้าขาวเนียนเนียน พวงแก้มอิ่มเต็มสีชมพูระเรื่อ ดวงตากลมโตสีดำสนิทล้อมกรอบด้วยขนตายาวงอน ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีชมพูอ่อนก็ยิ่งทำให้อยากที่จะมีเธอเป็นคู่ครองที่มาพร้อมกับความเสียดายที่เอ่อล้นท่วมใจ เพราะหญิงสาวไม่ยอมมองเขาในฐานะนั้นเลย
“ทำไมมองปิ่นอย่างนั้นละชัย มัน...ไม่ดีเหรอ” ปิ่นปักถามเสียงแผ่วเบาด้วยเริ่มขาดความมั่นใจจนต้องรีบก้มลงมองชุดตัวที่เองใส่
“ไม่ ๆ ดูดีที่สุดต่างหากล่ะ” สำหรับเขา ไม่ว่าชุดไหน หากอยู่บนตัวปิ่นปักแล้วล่ะก็...ทำให้เธอดูดีหมดนั่นแหละ
“ก็ชัยมองจนปิ่นนึกว่าดูไม่ได้เสียอีก”
ธวัชชัยได้แต่ยิ้ม มองอีกฝ่ายตาปรอย “ปิ่นแต่งยังไงก็น่ารักหมดแหละ”
“ถูกต้องที่สุดเลย” เมื่อมั่นใจ ปิ่นปักก็สามารถพูดได้เต็มปาก รอยยิ้มของหญิงสาวกระจ่างเต็มใบหน้า
“ปิ่นรู้ตัวว่าน่ารักไง ขนาดชัยยังมองจนตะลึงงันเลย แล้วคนที่สัมภาษณ์ปิ่น เขาจะไม่ตกตะลึงได้ไง ใช่ไหมล่ะ” ปิ่นปักถามน้ำเสียงล้อเลียน ขณะก้าวเท้าเดินตามร่างหนาไป ไม่ลืมหยุดรอให้เขาปิดประตูก่อนจะยื่นกุญแจมาคืน
“เฮ้อ...ปิ่นล่ะก็ ไม่หลงตัวเองเลยนะ”
ปิ่นปักหัวเราะคิกคักขณะเดินเคียงคู่ธวัชชัยไปขึ้นรถเก๋งสีน้ำตาลแดงที่จอดอยู่หน้าบ้าน
ปกติแล้วธวัชชัยจะพารถกระบะตอนครึ่งไปทำงานทุกครั้ง แต่วันนี้เขาคงเห็นว่าเป็นวันสำคัญของเธอ เลยเลือกที่จะเอารถเก๋งที่มารดาซื้อให้ในวันรับปริญญามาใช้
ธวัชชัยขับรถออกไปจากบ้านหลังเล็ก สายตาก็คอยเหลือบมองคนที่นั่งเคียงข้างอยู่บ่อยๆ จนหญิงสาวแปลกใจ
“มีอะไรหรือวัช”