ตอนที่ 4
“ไม่รู้เหมือนกัน คงต้องรออีกสามวันถึงจะรู้ผลนะ” ปิ่นปักตอบด้วยปกปิดความดีใจเอาไว้ไม่มิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ฟันธงว่าผ่านแน่ เพราะคำตอบไม่ได้อยู่ที่เธอ แต่เป็นการตัดสินใจของคนที่สัมภาษณ์
หญิงสาวนำกระเป๋าไปวางไว้ด้านล่างของโต๊ะวางทีวีแล้วเดินไปตักน้ำจากโอ่งเล็กๆ ในครัวมาให้ธวัชชัยและตัวเองได้ดื่มแก้อาการกระหายจากอากาศที่ร้อนอบอ้าว
“ถ้าเป็นแบบนั้น ปิ่นมีสิทธิ์ได้งานนี้ล่ะ เพราะเท่าที่รู้มา คนที่ไปสมัครส่วนใหญ่ต้องรอให้เขาเรียกสัมภาษณ์เอง บางรายต้องรอเป็นเดือนๆ เลยนะ ถึงเขาจะประกาศรับสมัครก็เถอะ” ธวัชชัยบอกและอยากจะแสดงความยินดีกับปิ่นปักล่วงหน้าด้วยการจับมือนุ่ม แต่ก็ไม่กล้า
เขาสนใจปิ่นปักตั้งแต่แรกเห็นเมื่อสามปีก่อน ตอนที่เธอก้าวลงจากรถสองแถว สาวน้อยแสนสวยสดใส ยิ้มหวานจนหัวใจหนุ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ยิ่งเธอพูดดีด้วย ให้ความสนิทสนมเป็นกันเอง ก็ยิ่งทำให้เผลอใจรักไปอย่างง่ายดาย แต่ติดที่ตัวคนถูกรัก ไม่เคยสัมผัสได้ ดูไม่ออก เขาคิดเกินเลยไปแค่ไหน เป็นเพื่อนหรืออยากได้เป็นคนรู้ใจ
นานวันเข้า...ก็รู้ หญิงสาวไม่ได้มีใจให้ แต่เป็นที่เขาไม่อาจตัดเธอออกไปจากใจได้ คงจะทำได้เพียงอย่างเดียว ต้องหมั่นไปมาหาสู่ เพื่อจะมีสักวัน ปิ่นปักเปลี่ยนใจ เห็นถึงความรักที่เขามีให้และหันมารับรัก
“เป็นอย่างนั้นก็ดีนะสิ ปิ่นเกรงใจวัชจะแย่อยู่แล้ว ทั้งคอยดูแลช่วยเหลือในทุก ๆ เรื่อง จนปิ่นไม่รู้จะตอบแทนยังไงดีแล้ว”
น้ำเสียงหวานใสดังจากปากสีแดงอมชมพูและอวบอิ่มยามที่ยามขยับขึ้นขยับลง ทำเอาหัวใจธวัชชัยถึงกับอ่อนยวบในพริบตา
“อยู่ทานข้าวเย็นกับปิ่นก่อนนะวัช” ปิ่นปักเอ่ยชวน ทั้งที่รู้ว่าความใกล้ชิดเพียงนิดหน่อย จะยิ่งทำให้ธวัชชัยตัดใจจากตัวเองได้ยากขึ้น ไม่ใช่ไม่เคยคิดมองอีกฝ่ายให้เป็นมากไปกว่าเพื่อนที่หวังดี ทว่าใจเธอคิดไกลกว่านั้นไม่ได้ คนในครอบครัวของธวัชชัยเองก็ไม่อยากต้อนรับเธอเข้าเป็นสมาชิก คอยพูดจากระแนะกระแหนทุกครั้งที่เจอกัน
เธอควรอยู่กับความจริงที่ยังไงก็ห่างไกลกันอยู่แล้ว ไอ้ที่จะมีหนุ่มรูปหล่อหน้าตาดี มีหน้าและฐานะเข้าขั้นเศรษฐีมารักมาชอบดั่งเช่นนางเอกในนิยายนะหรือ คงเป็นได้แค่เพียงความฝันเท่านั้น
“วันก่อนเห็นวัชบ่นอยากทานน้ำพริกมะขาม วันนี้ปิ่นไปตลาดมา เจอมะขามอ่อนกำลังน่ากินเลย ว่าจะทำแกงจืดตำลึงกับหมูสับใส่เต้าหู้ด้วย” หญิงสาวบอกเสียงหวานและยังจะยิ้มหวานๆ ไปให้ธวัชชัยอย่างลืมไปว่า ยิ่งเธอเอื้ออาทรไปมากเท่าไหร่ ที่จะให้อีกฝ่ายตัดใจเลิกรักก็จะยิ่งทำได้ยากขึ้น
“เสียดายจัง วันนี้แม่กำชับให้รีบไปกลับบ้านเสียด้วยซิ อดกินอาหารฝีมือปิ่นเลย” ไม่เพียงน้ำเสียงเท่านั้น ใบหน้าธวัชชัยก็แสดงออกถึงความเสียดายอย่างสุดๆ
“ท่าทางคงจะมีธุระสำคัญมาก ถึงได้สั่งแบบเด็ดขาด ชนิดที่วัชไม่กล้าปฏิเสธ” ปิ่นปักเอ่ยกระเซ้าน้ำเสียงเหมือนจะหัวเราะกลายๆ ให้เธอเดา คงจะเป็นการนัดไปพบใครสักคนที่มารดาธวัชชัยมองแล้วว่าคู่ควรและเหมาะสมที่จะเป็นลูกสะใภ้เหมือนเช่นทุกครั้ง
“เปล่า...ไม่ใช่อย่างที่ปิ่นคิด มันเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งที่ลูกชายควรทำให้พ่อแม่ได้ชื่นใจนะ”
“ปิ่นยังไม่ได้ว่าอะไรเลย ชัยร้อนตัวไปแล้วนะ” เธอจะยินดีมากๆ หากธวัชชัยได้เจอหญิงสาวที่ถูกใจ แต่งงานและสร้างครอบครัวที่แสนสุข
ธวัชชัยแอบเบือนหน้าน้อยใจไปอีกฝั่ง ทั้งที่เขาแสดงออกทุกอย่าง เพียรปลูกต้นรักษ์มานานปี แต่ปิ่นปักก็ยังใจแข็ง ให้ได้แค่ความเป็นเพื่อน เป็นพี่น้องเท่านั้นเอง
“ในเมื่อไม่ใช่เรื่องนั้น แล้ววัชก็บอกว่าเป็นเรื่องสำคัญของผู้ชายด้วย หมายความว่า...” เธอเอ่ยด้วยความยินดี อีกทั้งธวัชชัยก็จะได้ไม่น้อยใจมากนัก ยังไงก็เพื่อนกัน เผื่อมีอะไรร้อนใจแม้จะช่วยไม่ได้ แต่ก็ยังพอจะรับฟังได้อยู่หรอก
ธวัชชัยยิ้มออก รีบบอกให้ปิ่นปักได้รู้เรื่องราวโดยเร็วไว
“แม่จะพาไปวัดนะ บอกปัดมาหลายปีแล้ว คราวนี้เห็นทีจะต้องทำตามคำพูดแล้วล่ะ” เหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะสีหน้าและแววตาของแม่ที่เต็มไปด้วยความหวัง ตอนได้เห็นผ้าเหลือของลูกชายคนข้างบ้าน ทำให้เขาอยากทำอะไรให้แม่ได้ภูมิใจบ้าง ทุกวันนี้เขาขัดแม่หลายอย่าง ทำให้แม่เสียใจเสียน้ำตาก็หลายครั้งหลายหน
อีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ก็เป็นหญิงสาวตรงหน้านี่แหละที่ทำให้เขาตัดสินใจทำตามคำขอของมารดา หวังว่าท่านจะได้เห็นความดีของปิ่นปักและยอมรับในตัวเธอมากขึ้น มากพอที่จะเรียนรู้และยอมรับ ไม่ขัดขวางหากเขาเลือกหญิงสาวมาเป็นคู่ครอง
“หือ...” คิ้วสวยเลิกขึ้นอย่างสงสัย ไหนธวัชชัยเคยบอกไว้ จะบวชให้พ่อกับแม่ก็เมื่อมีแฟนเป็นกิจจะลักษณะเท่านั้น แสดงว่า...เจอคนที่ใช่แล้วซินะ ถึงได้คิดทำอย่างที่เคยเปรยไว้จริงๆ
“ไม่ใช่อย่างที่ปิ่นคิด เห็นแม่ขอมาหลายครั้งแล้ว เลยคิดว่าทำให้เสร็จไป ดีกว่าปล่อยให้คาราคาซัง หลังจากนี้จะทำอะไรก็จะได้ไม่ติดขัด” หากวันหนึ่งความพยายามเป็นผล ทำให้ปิ่นปักตอบรับรักได้ เขาก็จะได้สมรักสมรสกับเธอโดยไม่ต้องคิดกังวลใดๆ อีก ส่วนแม่...สุดท้ายแล้ว เขาเชื่อว่าท่านจะเลือกความสุขของลูกมากกว่าสิ่งอื่นใด
“นึกว่าเจอสาวที่ถูกใจแล้ว วัชถึงได้ตัดสินใจบวชก่อนจะเบียด” ปิ่นปักกระเซ้าเสียงใส พลางเมินหน้าหนีดวงตาที่ฉายแววอ่อนโยนและรักใคร่ด้วยความรู้สึกผิดที่เกาะกุมใจ
‘ขอโทษด้วย ปิ่นไม่คู่ควรสำหรับผู้ชายแสนดีอย่างวัชจริง’
“นี่ก็เย็นมากแล้ว ยังไงขอตัวกลับบ้านก่อนนะปิ่น” ธวัชชัยลุกขึ้นจากพื้นที่นั่งเดินไปที่ประตู ก่อนจะหันกลับมาอีกครั้งเมื่อนึกขึ้นได้
“นัดสัมภาษณ์วันไหนบอกด้วยน่ะ จะลางานไปส่ง”
“ไม่ต้องหรอก คิดว่าปิ่นไปเองน่าจะดีกว่า แค่นี้ปิ่นก็รบกวนวัชมากแล้ว” ปิ่นปักตอบปฏิเสธแววตาสดใส “พอสัมภาษณ์เสร็จ จะรีบโทรบอกให้วัชรู้คนแรกเลย”
“ฮื่อ...เอาอย่างนั้นก็ได้” ธวัชชัยพยักหน้ารับและหักใจลาหญิงสาวด้วยการเดินออกไปที่รถกระบะตอนครึ่งกลางเก่ากลางใหม่ซึ่งจอดทิ้งไว้ริมถนนข้างประตูรั้วบ้านปิ่นปัก ก่อนจะขึ้นรถชายหนุ่มก็ไม่วายหันไปมองคนในบ้าน อยากเห็นว่าหญิงสาวมาส่งหรือเปล่า ซึ่งเขาก็ได้แต่หน้าเศร้า เมื่อไม่เห็นร่างคุ้นเคยมายืนโบกมือให้อย่างที่หวัง
เอกราชนั่งมองจอมขวัญเดินออกจากร้านเสริมสวย ในมือเธอมีถุงกระดาษหลายใบเดินตรงไปที่รถเก๋งคันหรูที่จอดอยู่เยื้อง ๆ กับร้านเสริมสวยนั่นเอง
เขารีบเดินไปดักหน้าไว้ก่อนที่หญิงสาวจะถึงที่หมาย เพราะอาจจะทำให้สิ่งที่คิดทำนั้นล้มเหลว ด้วยพี่ชายจอมขวัญส่งคนมาคอยเฝ้าดูแลสาวเจ้าไม่ยอมห่าง
หลังจากได้รับคำขอจากเมฆา เขาก็เฝ้าตามดูจอมขวัญเท่าที่จะทำได้ รู้ว่าวันหนึ่ง ๆ เธอแทบไม่มีเวลาเป็นส่วนตัวเลย ต่างจากวันนี้ที่แม่นกน้อยใช้เล่ห์เหลี่ยมหลุดออกมาจากกรงที่ขัง
“สวัสดีน้องงิ้ว วันนี้ทำไมมาคนเดียวล่ะจ๊ะ” เอกราชทักพร้อมกับกวาดสายตามองไปทั่วร่างงามอย่างถือสิทธิ์
“ว้าย! ตาเถรตกใต้ถุน” จอมขวัญร้องอุทานด้วยความตกใจ สะดุ้งกับเสียงทักทายแบบจิกกัด ที่ได้ฟังแล้วนอกจากต่อมโมโหพุ่งปรี๊ดขึ้นมา เธอยังอยากจะปล่อยของในมือทิ้งลงพื้นแล้วตบใบหน้าทะลึ่งทะเล้นที่ยื่นมาสักสี่ห้าที
“ให้ฉันช่วยเก็บคืนให้ไหมขวัญ”