ตอนที่1 สูญเสีย
ภายในศาลาวัดยามพลบค่ำ พิธีสวดอภิธรรมศพของคุณย่าพิสมัย อมรฤทธากูล ที่เพิ่งลาลับจากโลกใบนี้ไปเมื่อ 2 วันที่แล้ว สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับทุกคนในครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง หญิงสาวที่กำลังอุ้มท้องจวนจะคลอดยืนคอยต้อนรับแขกพร้อมด้วยคุณกฤษณะและคุณมลฤดี ลูกชายและลูกสะใภ้ของคุณย่าพิสมัย หลายครั้งหลายคราที่เขมิกาต้องหันไปมองด้านในศาลาที่ถูกประดับประดาด้วยดอกไม้สดล้อมรอบโลงศพที่คนเป็นย่ากำลังนอนหลับพักผ่อนชั่วนิจนิรันดร์ ทำให้หญิงสาวอดที่จะร้องไห้ออกมาทุกครั้งไม่ได้ สิ้นแล้วที่พึ่งหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ของเธอ คุณย่าที่เธอเคารพรักเหมือนบุพการีแท้ ๆ
แขกมากหน้าหลายตาต่างทยอยเดินทางมาร่วมพิธีอย่างต่อเนื่อง แม้ทุกคนในครอบครัวจะรู้ดีว่าต้องมีวันนี้ แต่ไม่มีใครรับได้เลยที่จะต้องเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปตลอดกาลไม่มีวันกลับ
"ยายเข็ม ถ้าเหนื่อยก็ไปนั่งพักก่อนไป ยืนนานแบบนี้เดี๋ยวก็ตะคริวกินขาเอาหรอก" คุณกฤษณะพูดกับลูกสะใภ้ด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงเป็นใย จนหญิงสาวต้องหันหน้ากลับมามองพร้อมกับส่งยิ้มให้
"เข็มไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ เข็มยังพอไหว"
"แล้วนี่เจ้าธามมันโทรมาบอกหรือเปล่าว่าจะมีไฟล์ทบินมาถึงกรุงเทพฯ เมื่อไหร่?"
"พี่ธามบอกว่าจะถึงวันนี้นะคะ สงสัยเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ที่บ้านเดี๋ยวก็คงมาแล้ว"
ไม่ทันที่เขมิกาจะพูดขาดคำ ร่างสูงของธามธารากัปตันหนุ่มสุดหล่อ สามีและพ่อของลูกก็เดินเข้ามาภายในบริเวณศาลา แต่ข้างกายของเขากลับมีหญิงสาวหน้าตาดีเดินเคียงคู่มากับเขาด้วย ทำให้ทั้งพ่อและแม่พร้อมด้วยเขมิกาต้องจ้องมองคนทั้งคู่เหมือนมีคำถามกับสิ่งที่ได้เห็น หญิงสาวคนนั้นเกาะแขนของธามธาราเหมือนเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเขา โดยไม่ได้แคร์สายตาของผู้คนที่จ้องมองอยู่เลยสักนิด
"มาถึงแล้วเหรอตาธาม พ่อนึกว่าแกจะมาไม่ทันงานเผาศพคุณย่าแกแล้ว"
"ผมเพิ่งแลกไฟล์ทบินกับนักบินคนอื่นได้น่ะพ่อ คนเยอะเหมือนกันนะครับ"
ชายหนุ่มจับจ้องมองไปโดยรอบก่อนจะปรายสายตาหันกลับมาสบตากับเขมิกา หญิงสาวจ้องมองตาปริบ ๆ ดวงตาของเธอยังคงเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำใสที่มาจากความเศร้าโศกและเสียใจจากการจากไปของคนเป็นย่า แต่ทว่าในเวลานี้ที่เธอจ้องมองพ่อของลูกยืนอยู่เคียงข้างหญิงสาวอีกคน เธอรู้สึกทำตัวไม่ถูกเลย ไม่รู้จะต้องทำหน้าตาแบบไหนหรือทักทายคนทั้งคู่ว่าอย่างไรถึงจะเหมาะสม
"พ่อครับแม่ครับ นี่มัลลิกาครับเพื่อนสนิทของผม"
"สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่"
หญิงสาวรีบยกมือพนมไหว้บุพการีของธามธาราอย่างนอบน้อม ทั้งพ่อและแม่ของธามธาราก็รับไหว้ไม่ให้เสียมารยาทเช่นกัน ก่อนที่สองสามีภรรยาจะหันไปมองหน้าซึ่งกันและกันอีกครั้ง
"ส่วนคนนั้นเขมิกา คนที่ผมเล่าให้มะลิฟังไงครับ"
เขมิกาที่รู้ว่าตัวเองอายุน้อยกว่าคนตรงหน้า เธอรีบยกมือขึ้นพนมไหว้ทำความเคารพก่อนไม่ให้เสียมารยาทเช่นกัน
"ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ เรียกเข็มก็ได้ค่ะ" หญิงสาวแนะนำตัวเองออกไปพร้อมกับยิ้มส่งให้ด้วยความเป็นมิตร แม้จะมีความรู้สึกมากมายที่บอกกับใครไม่ได้เลยก็ตาม
"พี่ชื่อมะลิค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักน้องเข็มเช่นกัน"
"เดี๋ยวผมพามะลิเข้าไปไหว้ศพคุณย่าก่อนนะครับ ไว้ค่อยคุยกันนะครับพ่อกับแม่"
ธามธาราเชื้อเชิญให้หญิงสาวที่มากับเขาได้เดินเข้าไปภายในศาลาผ่านหน้าของคนเป็นพ่อและแม่รวมถึงเขมิกา เขาไม่แม้แต่จะทักทายเธอเท่าที่ควรจะเป็นเลยสักนิด ทั้งที่สถานะของเธอและเขาก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล แม้ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจะเกิดจากความต้องการของผู้เป็นย่าก็ตาม แต่ในเวลานี้คนทั้งคู่ก็กำลังจะมีลูกด้วยกันแล้ว
เขมิการู้ตัวเองดีว่าความเมินเฉยของธามธาราที่แสดงออกเป็นอาการปกติที่เธอเองมักจะคุ้นชินมาตลอดสิบกว่าปีที่จำความได้ รู้ดีว่าระหว่างเธอและชายหนุ่มแท้จริงแล้วความสัมพันธ์เป็นแบบไหน เป็นเธอที่รู้สึกกับเขามากมายเกินกว่าที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดให้คนอื่นรับรู้ได้ แต่เงื่อนไขที่คนทั้งสองตกลงกันเอาไว้ก็ทำให้เธอต้องยอมรับชะตากรรมที่มันจะเกิดขึ้นในอนาคต เธอไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าข้าวเจ้าของชีวิตเขา แม้ว่าในเวลานี้กำลังอุ้มท้องลูกของเขาอยู่ก็ตาม เลือดเนื้อเชื้อไขของอมรฤทธากูล เป็นหนึ่งในความต้องการของคุณย่าพิสมัยที่ได้ร้องขอเอาไว้ครั้งเมื่อยังมีชีวิตอยู่
"ยายเข็มเราโอเคใช่ไหม?"
คุณมลฤดีหันไปถามหญิงสาวที่ยังคงจับจ้องมองหนุ่มสาวที่เดินเข้าไปในศาลาไม่วางตาเลย เขมิกาหันกลับมาเผชิญหน้าพร้อมกับส่งยิ้มให้และพยักหน้ารับเบา ๆ
"ตาธามนี่ก็อะไรนะ ทำไมต้องพาคนอื่นมาร่วมงานนี้ด้วย"
คุณมลฤดีพูดขึ้นอีกครั้ง รู้สึกไม่พอใจลูกชายอยู่มากแต่นางจะไปทำอะไรได้ เพราะชีวิตของธามธารานางไม่ได้เป็นเจ้าข้าวเจ้าของลูกอยู่แล้ว ถึงจะเป็นแม่ก็ตาม แต่ชีวิตของลูกก็ยังเป็นสิ่งที่ลูกเลือกทางเดินได้เองอยู่ดี
"คนรักของพี่ธามหรือเปล่าคะคุณแม่?"
"เมื่อกี้มันแนะนำว่าเพื่อนไม่ใช่เหรอ ก็คงจะเพื่อนมันนั่นแหละ"
เพื่อนสนิทที่มีสถานะมากกว่าเพื่อนหรือเปล่า ใช่ว่าเขมิกาจะไม่รู้สึกแต่หญิงสาวกลับต้องแบกความรู้สึกทั้งหมดนี้เอาไว้เพียงลำพัง พยายามสลัดความนึกคิดที่ไร้สาระนี้ออกจากหัว ก่อนจะหันกลับไปต้อนรับแขกเหรื่อที่กำลังเดินเข้ามาทักทายคนทั้งสามอยู่ที่หน้าประตูศาลาทางเข้านั้นอีกครั้ง