“หนูอัน เป็นอะไรรึเปล่าลูก”
“ปะ…เปล่าคะคุณป้า เอ่อ…คุณแม่ ถ้างั้นเดี๋ยวอันออกไปดูพี่รุจให้นะคะ” อันธิกาเอ่ยบอกก่อนจะรีบพาตัวเองเดินกลับออกมา ที่แรกที่เธอมาคือสนามหญ้าบริเวณหลังบ้าน หญิงสาวเฝ้ามองหาอยู่ไม่นานก็พบร่างสูงโปร่งของคนที่กำลังตามหา ซึ่งตอนนี้เขากำลังยืนมองแปลงกุหลาบ ที่เธอและปาหนันเคยช่วยกันปลูกเพียงลำพัง
“พี่รุจคะ…” วิศรุตซึ่งกำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่ตามลำพังหันไปมองเจ้าของเสียงที่ร้องเรียกก่อนสีหน้าของชายหนุ่มจะเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นมาทันที ที่เห็นว่าใครเป็นเจ้าของเสียงเรียกเมื่อสักครู่
“มีอะไร!”
“คุณแม่ให้อันมาตามพี่รุจไปทานข้าวค่ะ” อันธิกาเอ่ยบอกถึงจุดประสงค์ของตัวเองด้วยน้ำเสียงที่เบาบาง เธอรู้ว่าเขากำลังคิดถึงปาหนัน ซึ่งเธอเองก็ไม่มีเลยสักวันที่จะไม่คิดถึงเพื่อนรักที่จากไปไกล
“หึ! เรียกแม่ฉันว่าแม่ได้เต็มปากเต็มคำแบบนี้ ดูท่าเธอคงจะนับวันที่จะได้เป็นเจ้าสาวของฉันแล้วสิท่า!”
“อันเรียกเพราะคุณป้าขอให้เรียกค่ะ แต่ถ้าพี่ไม่ชอบอันจะไม่เรียกอีก...” หญิงสาวแก้ต่างให้ตัวเองก่อนจะก้มหน้านิ่งเมื่ออีกคนตวัดสายตามามองกันเหมือนไม่พอใจ ไม่ว่าเธอจะพูดแบบไหน ยังไงสุดท้ายแล้วมันก็ไม่เคยเป็นที่พอใจสำหรับเขาเลยสักครั้ง ต่อให้จะดีกว่านี้สักกี่เท่า สุดท้ายเธอก็เป็นได้แค่ผู้หญิงสารเลวในสายตาของเขา คนที่เขาเกลียดและอยากจะทำลายให้ย่อยยับไปต่อหน้าต่อตา
“พูดเรื่องแต่งงานขึ้นมาก็ดี เตรียมตัวเอาไว้ให้พร้อม เพราะว่าอีกไม่นานฉันจะให้คุณแม่เข้าไปคุยกับพ่อแม่เธอ ส่วนเรื่องงานก็ทำอยู่ ก็เตรียมตัวไปลาออกได้เลย!” คนที่ไม่ทันได้เตรียมรับถึงคำสั่งบางอย่างตกใจไม่น้อยที่ได้ยิน
“อันไม่ลาออกนะคะ!” อันธิการ้องบอกก่อนที่อีกคนจะได้ทันหมุนตัวเดินจากกันไป เขาไม่มีสิทธิ์มาบังคับเธอในเรื่องนี้ กว่าจะเข้าไปทำงานที่บริษัทนั้นได้เขาไม่รู้หรอกว่ามันยากแค่ไหน จู่ๆ จะให้ลาออกเธอทำไม่ได้ ต่อให้เขาจะบีบบังคับกันยังไงเธอก็จะไม่ลาออก!
“ทำไม! หรืออาลัยไอ้เพื่อนชายนั่นอยู่!”
“อันกับปราณเป็นเพื่อนกัน เมื่อไหร่พี่รุจจะยอมเชื่ออันคะ!” เธอไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขาคิดว่าเธอกับปราณเป็นอย่างอื่นที่มากกว่าคำว่าเพื่อน เพราะตลอดเวลา เธอสองคนไม่เคยทำเรื่องเสียหายเลยสักครั้ง อีกอย่างปราณเองเขาก็มีคนรักอยู่แล้ว ไม่มีทางที่จะมาคิดอะไรแบบนั้นกับเธออย่างแน่นอน
“ฉันเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นมากกว่า! เลือกเอาว่าเธอจะไปลาออกเองดีๆ หรือว่าจะให้ฉันจัดการให้!” แน่นอนว่าถ้าเธอเลือกอย่างหลัง รับรองได้เลยว่าจากน้ำแคงไม่มีบริษัทไหนกล้ารับเธอเข้าทำงานอีกแน่ หญิงสาวคิดอย่างสะท้อนใจ เธอไม่อยากลาออกจากงานที่ทำอยู่ ไม่อยากต้องอยู่เป็นภาระให้ใครต้องเลี้ยงดู โดยเฉพาะคนตรงหน้า
คนใจร้ายที่ไม่เคยมองเห็นค่ากันเลยสักครั้ง
“อันขอร้อง อย่าให้อันลาออกจากงานเลยนะคะ อันรักงานนี้มาก จะให้อันไหว้ก็ได้” วิศรุตไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายเลยสักนิดเมื่อได้ยิน คำสั่งของเขาถือเป็นเด็ดขาดและอันธิกาจะต้องทำตามห้ามขัด!
“ดี! ยิ่งรู้ว่าเธอรักมันมาก ฉันก็ยิ่งอยากเห็นเธอลาออกไวๆ อะไรที่มันเป็นความต้องการของเธอ อย่าหวังเลยว่าฉันจะปล่อยผ่าน! ไปลาออกซะ แล้วเตรียมตัวเข้าไปทำงานในบริษัทกับฉัน!” นั่นคือประโยคที่คนใจร้ายทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนที่ตัวเขาจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน ไม่แม้แต่จะหันมาสนใจอันธิกาที่กำลังยืนน้ำตารินอีกเลย
อันธิกาต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะพาตัวเองกลับเข้ามาในบ้านโดยไม่มีน้ำตาได้ หญิงสาวส่งยิ้มให้คุณสุวิชาก่อนจะเดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ วิศรุต ที่ยังพอมีน้ำใจ เว้นที่ว่างเอาไว้ให้เธออยู่บ้าง
“มาครบแล้วก็ทานกันเถอะ หนูอันทานเยอะๆ นะจ๊ะ แม่ทำแต่ของโปรดของหนูทั้งนั้นเลย” คุณสุวิชาเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะได้รับรอยยิ้มที่อ่อนหวานกลับมาจากลูกสะใภ้คนสวย นางเองยอมรับว่าชอบในตัวของหนูอันธิกาคนนี้มานานมากแล้ว พอลูกชายมาบอกว่าอยากจะแต่งงานด้วยก็ยิ่งรู้สึกดีไปกันใหญ่ มันทำให้นึกถึงลูกสาวอย่างปาหนันขึ้นมาไม่ได้ หากรายนั้นยังอยู่คงมีความสุขมากกว่าใครๆ เพราะเธอเคยพูดเอาไว้ว่าถ้าพี่สะใภ้ไม่ใช่เพื่อนรักอย่างอันธิกาก็จะไม่ยอมยกพี่ชายของตัวเองให้กับผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น
“แม่ครับ…” วิศรุตเอ่ยเรียกมารดาเมื่อหันไปเห็นว่าท่านกำลังนั่งมองหน้าอันธิกาทั้งน้ำตานองหน้า
“แม่ขอโทษจ๊ะ พอดีแม่เห็นหนูอันเลยเผลอคิดถึงยัยหนันขึ้นมา รายนั้นถ้ายังอยู่คงจะดีใจที่ได้เห็นเราสองคนกำลังจะแต่งงานกัน” อันธิกาเริ่มรู้สึกว่าน้ำตาที่อุตส่าห์กลั้นไว้กำลังจะไหลรินเข้าอีกครั้ง เธอเองก็คิดถึงปาหนันมากเหลือเกิน อยากให้เพื่อนรักยังอยู่ตรงนี้ มันคงเป็นอะไรที่ดีไม่น้อยหากย้อนเวลากลับไปในค่ำคืนนั้นได้
“อันขอโทษค่ะคุณแม่…”
“ไม่เอาลูก มันไม่ใช่ความผิดของหนู ทุกอย่างมันคืออุบัติเหตุ ไม่ร้องไห้นะจ๊ะ” สุดท้ายการรับประทานอาหารเช้าก็เต็มไปด้วยน้ำตาของคนสองคนที่ผลัดกันร้องผลัดกันปลอบโยนซึ่งกันและกันไป
“แล้วอันจะแวะมาหาคุณแม่อีกนะคะ” อันธิกาเอ่ยลาเมื่อถึงเวลาที่เธอต้องกลับบ้านโดยมีวิศรุตขับรถไปส่ง โชคดีที่พ่อและแม่เธอกลับมาเร็วกว่ากำหนดการ เธอจึงไม่ต้องอยู่ค้างที่บ้านเขานานมากไปกว่านี้ หากเป็นเมื่อก่อนมันคงไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอเท่านั้น
แต่ตอนนี้เมื่ออะไรๆ มันได้เปลี่ยนไปแล้ว ความรู้สึกของเธอก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเช่นกัน บ้านหลังใหญ่โตที่แต่ก่อนนั้นเคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสุข ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว