“เสร็จแล้วค่ะ” เธอหันกลับมาบอกเขาเมื่อทำทุกอย่างเสร็จ ซึ่งอีกคนก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากลุกขึ้นเดินมากระชากกระเป๋าในมือเธอไปถือไว้ให้ ก่อนที่เขาจะเดินนำลงมาชั้นล่างด้วยท่าทีเฉยชา
อันธิกาใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีสำหรับการล็อกบ้านก่อนจะเดินมาขึ้นรถที่จอดรออยู่ ตลอดการเดินทางเต็มไปด้วยความเงียบที่น่าอึดอัด แน่นอนว่าหญิงสาวไม่กล้าแม้แต่จะปริปากเอ่ยอะไรออกมาแม้ว่าใจอยากจะถามเขาเหลือเกินกว่าจะไปพาเธอไปอยู่ที่บ้านหรือคอนโด สุดท้ายเมื่อไม่กล้าจึงปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมันต่อไป ส่วนจุดหมายปลายทางที่กำลังจะไปนั้น ถึงเมื่อไหร่ก็คงรู้เอง
คุณสุวิชาที่กำลังนั่งมองรูปถ่ายของลูกที่จากไปอยู่ในห้องโถงใหญ่ของบ้านตกใจไม่น้อยกับภาพของลูกชายที่อุ้มคู่หมั้นเข้ามาในสภาพที่อีกฝ่ายไม่ได้สติ ครั้นจะถามพ่อตัวดีก็ชิงตอบมาเสียก่อน
“แค่หลับเท่านั้นครับแม่ ผมไม่อยากปลุก ก็เลยอุ้มเข้ามา” วิศรุตตอบก่อนจะก้มมองคนในอ้อมกอดอยู่ครู่หนึ่ง ด้วยพอจะรู้ดีกว่าใครว่าคนในอ้อมแขนลองได้หลับสนิท ปลุกอย่างไรก็ไม่เป็นผล
“รีบพาน้องไปพักผ่อน นี่คงจะเพลียมากถึงได้หลับไม่ได้รู้เนื้อรู้ตัวแบบนี้” ชายหนุ่มรับคำมารดาด้วยการพยักหน้าให้ท่านก่อนจะพาคนในอ้อมกอดขึ้นไปยังห้องนอนของตัวเองที่ชั้นสอง เขาจัดการวางอันธิกาลงบนเตียงก่อนจะห่มผ้าให้เธออย่างอ่อนโยน แน่นอนว่าการกระทำเหล่านี้เจ้าตัวคงไม่มีโอกาสได้เห็นก็ตาม จนเมื่อทำทุกอย่างเสร็จ จึงเดินกลับลงมาหามารดาอีกครั้งพร้อมกับความสงสัย
“ดึกป่านนี้แล้ว ทำไมยังไม่เข้านอนอีกครับคุณแม่”
“แม่นอนไม่ค่อยจะหลับ ก็เลยลงมานั่งดูรูปของยัยหนัน แม่คิดถึงน้องจังเลยรุจ คิดถึงที่สุด” คำตอบที่มาพร้อมน้ำตาของมารดาเป็นเครื่องเตือนใจให้วิศรุตรู้ว่าเขาจะต้องสงเคราะห์คนที่เป็นต้นเหตุของการตายของน้องสาวตัวเองอย่างถึงที่สุด สองคนนั้นไม่ได้พรากเพียงแต่น้องของเขาไปเท่านั้น แต่ยังพรากเอาความสุขความสดใสภายในบ้านหลังนี้ไปจนหมด ความสดใสที่มันหายไปพร้อมลมหายใจของปาหนัน นางฟ้าคนเดียวของบ้าน
“แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ ใครที่เป็นต้นเหตุทำให้ยัยหนันต้องตาย ผมไม่มีวันปล่อยให้พวกมันอยู่อย่างสงบสุขแน่!” เขาตอบมารดาก่อนจะขบกรามแน่น เมื่อคิดถึงต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดขึ้นมา
“พูดอะไรอย่างนั้นน่ะรุจ น้องตายเพราะอุบัติเหตุเราเองก็รู้ แม่ไม่โทษใครในเรื่องนี้เพราะแม่เข้าใจว่าชีวิตของเราทุกคนมีเวลาจำกัด ชาตินี้ยัยหนันของพวกเราคงทำบุญมาน้อย น้องถึงได้มาด่วนจากไปแบบนี้ อย่าไปผูกจิตกับใครเลยนะลูก” วิศรุตเห็นต่างจากผู้เป็นแม่อย่างสิ้นเชิง เขาเชื่อว่าถ้าคืนนั้นอันธิกากับไอ้ชาติไม่ทำเรื่องชั่วช้าต่อหน้าปาหนันน้องสาวของเขาคงไม่ตาย ยัยหนันอ่อนแอแค่ไหนทุกคนย่อมรู้กันดี ไม่มีทางที่น้องเขาจะทำใจยอมรับเรื่องบ้าๆ พวกนั้นได้แน่นอน
“ว่าแต่เราเถอะ แน่ใจแล้วใช่ไหมเรื่องที่จะให้แม่ไปสู่ขอหนูอันให้ แม่เองก็ไม่ได้รังเกียจน้องหรอกนะ แค่แปลกใจเท่านั้นว่าเราสองคนไปรักไปชอบกันตอนไหน” คนถูกถามยิ้มเบาๆ ก่อนที่จะเอ่ยตอบ
“ผมไม่เคยแน่ใจกับอะไรเท่านี้มาก่อนเลยครับแม่” ผู้เป็นแม่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มได้ ด้วยคิดว่าบุตรชายคงจะรักหนูอันธิกามากถึงได้ลงทุนมาขอให้นางเป็นทัพหน้าไปสู่ขอเจ้าสาวให้ถึงบ้านแบบนี้ โดยหารู้เลยไม่ว่าความจริงแล้วความรู้สึกที่วิศรุตมีต่อว่าที่เจ้าสาวแสนสวยของเขา มันช่างห่างไกลความรักอย่างที่มารดาเข้าใจโดยสิ้นเชิง
ในใจของเขามันเหลือแต่ความแค้นที่ต้องชำระเท่านั้น และนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผู้หญิงคนนั้นจะได้รับ!
วิศรุตตัดบทก่อนจะชวนมารดาขึ้นมาพักผ่อนซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมทำตามคำขอของเขาอย่างว่าง่าย ชายหนุ่มส่งมารดาเข้านอนก่อนจะวกกลับมายังห้องนอนของตัวเองอีกครั้ง เขาใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการยืนมองร่างบอบบางของคนที่เป็นต้นเหตุทำให้เขาต้องสูญเสียน้องไปด้วยความแค้นจับหัวใจ
คืนนี้จะเป็นคืนเดียวที่เขาจะยอมปล่อยให้เธอได้หลับสนิทไปกับภาพความฝันอันแสนสุข จากนั้นอันธิกาจะได้สำนึกว่าการได้มีชีวิตอยู่เหมือนคนที่ตายทั้งเป็นมันเป็นยังไง เขาจะไม่ปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้มีความสุข สิ่งเดียวที่มอบให้ คือความเจ็บที่เธอจะไม่มีวันลืม!
อันทิการู้สึกตัวในเช้าวันใหม่ก่อนจะพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งหญิงสาวรู้ได้ในทันทีว่านี่มันคือห้องนอนของวิศรุตอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะไม่ว่าจะเป็นข้าวของ เครื่องใช้ หรือแม้แต่โทนสีของห้องมันก็ล้วนเป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบแทบจะทั้งสิ้น ทุกๆ อย่างถูกจัดวางเอาไว้ได้อย่างเหมาะเจาะลงตัว และน่าอยู่ที่สุด
จะมีก็แต่บางอย่างที่มันไม่เหมาะสมซึ่งก็คือตัวเธอเอง… หญิงสาวคิดกับตัวเองอย่างน้อยใจในโชคชะตา ทุกๆ คนต่างมองว่าเธอคือผู้หญิงที่แสนจะโชคดีที่ได้เป็นคู่หมั้นของเขา แต่ใครเลยจะรู้ว่าสถานะนี้เธอจำต้องยอมรับมันเพราะไม่มีทางเลือก มันเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเธอหมดสิ้นความสุข และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหลุดพ้นไปเสียที..
หญิงสาวใช้เวลาอาบน้ำไม่นานก็ลงมาชั้นล่างก่อนจะพบกับแม่ของคู่หมั้นที่กำลังยืนทำอาหารเช้าพร้อมกับป้าแมวในครัว เมื่อก่อนเธอมีที่นี่บ่อยมาก เพราะปาหนันเสนอให้บ้านของตัวเองเป็นที่ติวหนังสือช่วงวันหยุดหรือแม้แต่ปิดเทอม จึงไม่แปลกอะไรเลยที่หญิงสาวจะรู้ ว่าเวลาไหนใครบ้างจะอยู่ส่วนไหนของบ้านหลังนี้
“ตื่นแล้วเหรอลูก หิวไหม นี่แม่กำลังทำข้าวต้มปลาของโปรดของหนูอยู่พอดี” อีกฝ่ายหันมาเห็นถึงได้เอ่ยขึ้นพร้อมส่งรอยยิ้มมาให้
“มีอะไรให้อันช่วยไหมคะคุณป้า”
“ถ้าอยากช่วย ช่วยไปดูตารุจให้แม่หน่อยได้ไหม ไม่รู้ออกไปวิ่งถึงไหน ป่านนี้ถึงยังไม่กลับเข้าบ้านอีก” คำเรียกที่เปลี่ยนไปจากเดิมทำอันธิกาแทบจะหุบยิ้มในทันที เธอไม่ชินและคงอีกนานกว่าจะชินกับคำๆ นี้ ไม่ได้นึกรังเกียจอีกฝ่ายที่เรียกแทนตัวเองว่าแม่ แต่เป็นเพราะรู้ดี ถึงเหตุผลที่ว่าทำไมลูกชายของท่านอยากจะแต่งงานด้วย
ซึ่งมันไม่ใช่ความรักอย่างที่ใครต่อใครพากันเข้าใจ ไม่ใช่เลย