เทียมตะวันนั่งมองดูรูปถ่ายที่ได้มาจากที่แห่งหนึ่งบนฝ่ามือ ดวงตาคมนั้นมีแววเศร้าซึมลงอย่างเห็นได้ชัด จนคนสนิทยังไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมารบกวนห้วงอารมณ์นั้นของเขา นอกจากคำขอโทษที่มาจากใจจริง ๆ เท่านั้น "ผมขอโทษครับ น่าจะให้ลูกน้องเช็คให้ดีกว่านี้ ก่อนจะรายงานคุณเทียมให้ทราบ"
ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาโบกไหว ๆ ทำนองว่าไม่เป็นไร และไม่ได้ถือโทษอีกฝ่ายมาก เขาเข้าใจว่า อีกฝ่ายตื่นเต้นยินดีเพราะ 'ใคร' ที่เขาตามหามานานจะอยู่ใกล้กันเพียงเท่านี้
"ถ้าคุณเทียมไม่มีอะไรแล้วผม..."
ชายหนุ่มพยักหน้า พลางสะบัดข้อมืออีกครั้งก่อนที่คนสนิทพูดจบ แล้ว...จึงถอยหลังออกไป ทิ้งให้เขานั่งอยู่ตามลำพังในบ้านพัก พอรอบ ๆ ตัวเริ่มเงียบ ...เทียมตะวันจึงนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงกลางวัน หลังจากที่เขาหุนหันออกไป ...
ชายหนุ่มกำลังยืนมองดูบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้ตรงหน้า บัดนี้ว่างเปล่าไร้เงาเจ้าของเดิมเพราะ ‘เธอ’ ได้ย้ายออกไปเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านั้น
"เธอเพิ่งย้ายไปได้ไม่กี่วันเองค่ะ" เจ้าของบ้านเช่าเอ่ย แล้วเธอก็ ปรารถเรื่องหนึ่งขึ้นมา "ตัวเด็กน่ะ...ดี๊ดี แต่ป้าน่ะไม่ไหว...เที่ยวกู้หนี้ยืมสิน เล่นไพ่บ่อย ๆ" แล้วลงท้ายด้วยเสียงถอนหายใจอย่างดัง "เฮ้อ!"
เทียมตะวันรับฟังเจ้าของบ้านเช่าเงียบ ๆ ขณะสองขายังก้าวเข้าไปภายในบ้าน แม้จะร้างเจ้าของไปไม่กี่วัน แต่กลิ่นอายบางอย่างที่บ่งบอกว่าเป็น 'เธอ' ยังแทรกซึมไปทุกอณูของอากาศที่ยังร่องลอยอยู่รอบตัวเขา
"ดูคุณจะรู้จัก และสนิทสนมกับเธอดีนะ" แล้วเขาก็หันมาถามเจ้าของบ้านเช่าที่มีร่างอวบอั๋นด้วยความสนใจ
"หนูน้ำค้างเหรอคะ...อ้อ รู้จักค่ะ! แกเป็นเด็กดีมาก ๆ"
เขารู้...ว่าเธอเป็นคนดี เพราะสมัยก่อนเธอยังหยิบยื่นอาหารและเงินจำนวนหนึ่งให้กับผู้ชายที่คนไร้ค่า เป็นคนบ้า และคนจรจัดอยู่ในสายตาคนอื่น ๆ แต่กิริยาที่เธอมีให้ผู้ชายคนนั้นได้ปราศจากอาการรังเกียจหรือความลังเลใด ๆ ... และนั่นเองก็คือความประทับใจแรกพบของผู้ชายคนนั้นที่มีต่อเธอ...
"...หนูน้ำค้างแกมีน้ำใจ บางทีก็ยังไปช่วยทำความสะอาดบ้าน ช่วยทำงานบ่อย ๆ หนูน้ำค้างนิสัยดีมาก แต่ป้าน่ะแย่ นี่ถ้าไม่ติดหนี้เขานะ หนูน้ำค้างก็ไม่ต้องลำบาก เพราะเจ้าหนี้จะเอาหนูน้ำค้างไปทำเมีย..."
ดวงตาคู่คมมีประกายกร้าวขึ้น... จนเจ้าของบ้านเช่าตกใจว่าเธอพูดอะไรผิด...แต่ที่แน่ ๆ เหมือนเขาจะไม่พอใจคำพูดที่ตนจะใช้ เสียงพูดต่อมาของเจ้าของบ้านเช่าจึงกระท่อนกระแท่นไม่น้อย เพราะเกรงกลัวกับสายตาของเขา "...เอ่อ...แกถูกบังคับให้แต่งงานกับเจ้าหนี้อายุคราวพ่อ... แก เอ่อ จึงหนีไปอยู่ที่อื่น"
"แล้วเธอบอกคุณไหมว่า จะพากันไปอยู่ที่ไหน" เจ้าของบ้านเช่าส่ายหน้า "แกไม่ได้บอก สงสัย แกไม่อยากให้ฉันลำบากใจ เวลาเสี่ยมนตรีไปคาดคั้น ว่าแกไปอยู่ที่ไหน"
เทียมตะวันพยักหน้าอย่างรับรู้ พลางหมุนกายเดินเข้าไปภายในบ้านครึ่งไม้ครึ่งปูนตรงหน้าอีก...ชั่วครู่ จึงตัดสินใจออกมา เพื่อเดินตรงไปยังรถยนต์คันโตที่จอดอยู่หน้าบ้าน แล้วหยุดเดินอีกครั้ง เมื่อนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ "คุณพอจะมีรูปถ่ายเธอบ้างมั้ย"
เจ้าของบ้านตรงหน้า ส่ายหน้า "ไม่มีเลยค่ะ"
เขาพยักหน้าอย่างผิดหวัง ทว่า เสียงที่เปล่งออกมาอย่างยินดีของเจ้าของบ้านเช่า ได้ทำให้เขามีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
"เอ๊ะ! เหมือนจะมีอยู่ นึกได้แล้วค่ะ! มีครั้งหนึ่งที่บ้านมีงานเลี้ยง หนูน้ำค้างได้ไปช่วยงานอยู่ น่าจะมีรูปแกอยู่ในงานด้วย"
เจ้าของบ้านเช่า นึกแล้วก็หยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าถือขึ้นมาเปิดโหมดคลังรูปภาพ แล้วเลื่อนนิ้วไปหลาย ๆ รูป ก่อนจะอุทานออกมาอย่างยินดี
"นี่ค่ะ!...เจอแล้ว เดี๋ยวจะส่งให้คุณทางมือถือนะคะ"
แล้วบัดนี้... รูปถ่ายจำนวนหลายรูปของเธอคนนี้ จึงถูกเก็บบันทึกเอาไว้ในโทรศัพท์มือถือเครื่องที่อยู่ในมือของเขานั่นเอง
เทียมตะวันมองโทรศัพท์เครื่องนี้ในมืออีกครั้ง ขยับนิ้วเลื่อน...ซูมบนหน้าจอเพื่อจะดูใบหน้าหวานให้ชัดขึ้น...ใกล้ชิดขึ้น ดวงตาคู่หวานมีประกายแววสุกสดใสเสมอ จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากแดงระเรื่อได้รูป ใบหน้ารูปไข่นั้น ก็ล้อมกรอบไปด้วยเส้นผมสีดำสยายคลอเคลียอยู่บนบ่าที่เปลือยหัวไหล่สองข้าง เพราะชุดเดรสเปิดไหล่สีแดงตามธีมของงานเลี้ยงที่เธออยู่ ตอนแรก ความรู้สึกที่เขามีต่อเธอก็เป็นเพียงความประทับใจแรกพบ...ทว่า ใบหน้าหวานที่อยู่ตรงหน้า ทำให้ก่อเกิดความรู้สึกที่มากกว่านั้นขึ้นมาภายในใจของเขาเงียบ ๆ เป็นความรู้สึกหวามไหวอันดิ่งลึกลงไปในจิตใจ ที่มีทั้งความห่วงและหวง...
"...เอ่อ...แกถูกบังคับให้แต่งงานกับเจ้าหนี้อายุคราวพ่อ... แก เอ่อ จึงหนีไปอยู่ที่อื่น"
"...ก็สวย...ขนาดนี้" เขาพึมพำด้วยความหนักใจ เมื่อคิดว่าต้องเร่งให้ลูกน้องหาตัวเธอให้พบ ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นกับเธออีก ครั้งแรก ครั้งที่สอง เธอสามารถเอาตัวรอดไปได้ แต่ถ้าครั้งต่อไปไม่เป็นเช่นนี้เล่า
เทียมตะวันเม้มริมฝีปากหยักได้รูปเข้าไว้ด้วยกัน ปัดความคิดร้าย ๆ ที่อาจจะเกิดกับเธอออกไปสิ้น ...และพยายามกลับไปนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เขาเกิดความประทับใจแรกพบกับเธอ... เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกเป็นห่วงตัวเธอออกไป
เมื่อหลายปีก่อน หลังจากที่ชายหนุ่มเร่ร่อนได้เงินและอาหารจากมือของหญิงสาวที่จิตใจดีคนนั้น เขาเดินจากมาด้วยอาการเลื่อนลอยไปอีกสักระยะ ความคิดเริ่มวิ่งวนกับตัวเอง จากที่เคยปล่อยให้ชีวิตไหลไปตามกระแสความผิดหวัง ความล้มเหลวและความสูญเสีย ชายคนนั้นจึงเริ่มตระหนักว่า เขาจะปล่อยให้ชีวิตตัวเองเป็นอย่างนี้อีกต่อไปหรือ เขาเดินและนอนพักไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมายปลายทางมากี่วันแล้ว ซึ่งกว่าจะรู้สึกตัวจริง ๆ ก็มาอยู่ที่จังหวัดนี้เสียแล้ว
ชายผู้นั้นเหลียวกลับไปมองเธอคนนั้นตรงแผงขายกับข้าว เธอยังดิ้นรนต่อสู้ชีวิตไปด้วยรอยยิ้ม ท่าทางร่าเริงและกระฉับเฉงท่ามกลางอากาศที่เหน็บหนาว แม้จะถูกดุ ด่าจากผู้หญิงวัยกลางคนอีกคน แต่หญิงสาวก็ทำงาน ทำหน้าที่ของตัวเองด้วยรอยยิ้มอย่างสุขใจ ส่งสายตาสุกสกาวใสให้กับลูกค้าทุกคนที่อยู่รายรอบ
และนั่น...เป็นสิ่งสำคัญ อันเป็นแรงผลักดันให้เขาได้คิดทบทวนว่า ควรกลับไปเริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที ดังนั้น เขาจึงกลับไปตั้งหลักตั้งต้นความคิดและจิตใจเสียใหม่ โดยการหาที่พักซึ่งเป็นวัดอยู่แถวนั้น อาศัยข้าวก้นบาตรจากพระท่าน หน้าตาก็โกนหนวดเคราทิ้ง ก่อนที่จะจากไปเขาได้กลับไปแอบยืนดูเธออยู่ห่าง ๆ พยายามที่จะจดจำใบหน้างดงามพร้อม ความดีงามของเธอเอาไว้ให้มากที่สุด และตั้งใจด้วยความแน่วแน่เอาไว้ว่า หากเขาประสบความสำเร็จ ...
และเส้นทางชีวิตระหว่างเขาและเธอ มีโอกาสได้ประสานเส้นทางระหว่างกันอีกครั้ง...เขาสัญญาว่าจะกลับมาเพื่อตอบแทนในสิ่งที่เธอมอบให้เขาอย่างแน่นอน
ด้วยความเครียด ความเมื่อยล้าจากการนั่งทำงานมาหลายชั่วโมง ทำให้ร่างโปร่งบางได้ลุกจากโต๊ะทำงาน แล้วเปิดประตูออกมายืนผ่อนคลายความเมื่อยล้าตรงระเบียงบ้านพักสไตล์โมเดิร์นลอฟท์หลังหนึ่ง
การงานร่วมกับชายหนุ่มที่ชื่อเทียมตะวัน นอกจากจะได้อยู่ใกล้ชายหนุ่มที่เธอแอบรักแล้ว ก็ดีตรงนี้...ตรงที่ได้ติดตามเขามาทำงานที่นี่ เธอก็จะได้รับสิทธิ์พักที่บ้านพักในรีสอร์ตด้วย จึงเป็นทั้งการทำงานและพักผ่อนท่องเที่ยวไปในคราวเดียวกันอีก และก่อนหน้า เธอเพิ่งถ่ายภาพการทำงาน และพักผ่อนที่นี่ลงอินสตาแกรมส่วนตัวไปหยก ๆ ท่ามกลางคำชื่นชม และอิจฉาในชีวิตดี ๆ ของเธอจากเพื่อน ๆ
ตอนนี้...บรรยากาศช่วงยามเย็นจะเป็นภาพที่สบายตา เพราะรอบ ๆ รีสอร์ตเทียมตะวัน นอกจากจะมีภาพทิวเขาที่อยู่เรียงรายตรงหน้าแล้ว ก็ยังมีทุ่งนา ที่บัดนี้ สีเขียวของท้องทุ่งกำลังเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีทองไปบ้างแล้ว และทุ่งนาเหล่านี้ส่วนหนึ่งก็เป็นที่ที่คุณเทียมได้ซื้อเอาไว้ พร้อมกับแบ่งปันจัดสรรให้ชาวนาที่ยากไร้ได้ทำนาด้วย โดยมีข้อแม้ว่า พวกเขาจะต้องปลูกแบบไร้สารพิษเท่านั้น แถมชายหนุ่มยังช่วยซื้อผลผลิตเพื่อนำมาใช้ใน รีสอร์ตในราคาที่เป็นธรรมอีกด้วย
ด้วยมุมมอง ทัศนคติและพื้นฐานทางด้านจิตใจของเขา ยิ่งนานวันก็ยิ่งทำให้เธอชื่นชม จนเกิดเป็นความรักที่มีต่อเขาอย่างถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้วและ แม้ชีวิตการเป็นเลขาฯ ส่วนตัวให้กับนักธุรกิจพันล้านจะดีอยู่แล้ว แต่เธอยังมีอีกความปรารถนา...อันเป็นความปรารถนาเดียวที่มีอยู่ในตอนนี้ คือ เธออยากเปลี่ยนจากเลขาฯ ส่วนตัวไปเป็นผู้หญิงของเขา
แม้คุณเทียมจะไม่เคยแสดงท่าทีอื่นใดให้เธอเห็น นอกจากความเป็นเจ้านายกับลูกน้อง แต่เธอก็ไม่ลดละความหวัง เพราะหญิงสาวยังเชื่อเสมอว่า การได้อยู่ใกล้ชิดกับเขาบ่อย ๆ สักวันเขาก็ต้องมองเห็นความรักและภักดีของเธอบ้าง วิมลสิริรู้ว่า บางครั้งความรัก ความเทิดทูนที่เธอมีต่อเขาจะทำให้เธอกลายเป็นคนไม่มีเหตุผล บางทีก็เผลอหึงหวงเขา ทั้ง ๆ ที่ตนเอง ไม่มีสิทธิ์
เมื่อคิดไปก็ปวดปร่าในใจเปล่า ๆ และด้วยบรรยากาศที่สวยงาม ในตอนนี้ วิมลสิริจึงคิดจะเดินลงจากบ้านพัก เพื่อเดินเล่นรอบ ๆ บริเวณนี้อีกสักรอบ เนื่องจากเย็น ๆ วันนี้ เทียมตะวันมีงานที่กรุงเทพฯ หญิงสาวจึงต้องติดตามเขาไปด้วย ขณะที่กำลังเดินผ่านสระน้ำขนาดเล็ก ที่อยู่ด้านข้างบ้านพัก ...จะว่าตัวเองตาฝาดไปหรือไม่ เธอเห็นหญิงสาวหน้าหวานคนนั้นกำลังเดินผ่านพุ่มไม้ตรงนั้น
ธะ...เธอมาทำอะไรที่นี่อีก! ก็ไหน... วิมลสิริรีบเดินปรี่จากที่พัก แล้วทำทีเดินสวนทางหญิงสาวคนนั้นที่กำลังเดินตรงมา เมื่ออีกฝ่ายเห็นเธอจึงชะงักไป
"เธอ..."
ศิศิราใช้ดวงตาคู่งามมองร่างโปร่งบางตรงหน้า วันนี้หญิงสาวที่เธอนึกชื่นชมในวันนั้น เธอสวมเสื้อโปโลสีน้ำตาลเข้ม หน้าอกปักตรารีสอร์ตชัดเจน จึงทำให้แน่ชัดว่า หญิงสาวผู้นี้ทำงานที่นี่แน่นอน
ศิศิรายกมือไหว้อีกฝ่าย เพราะพรุ่งนี้เธอจะได้เริ่มงานที่นี่แล้ว ก่อนจะเดินผ่านไปอย่างช้า ๆ ทิ้งให้วิมลสิริหันหลังมองกลับไปด้วยความตะลึงและสงสัยอย่างหนัก
เสียงเคาะเบา ๆ ตรงประตูห้องทำงานดังขึ้น สักครู่ร่างโปร่งบางของวิมลสิริ ก็เปิดประตูเดินเข้ามา
"อ้าว! น้องสิริ พี่นึกว่ากลับแล้ว" ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเอ่ยทักเจ้าของร่างโปร่งบางตรงหน้า ขณะที่สองมือกำลังง่วนอยู่กับงานในคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กตรงหน้า
"ยังค่ะ พอดีคุณเทียมเลื่อนเวลาเดินทางเป็นหกโมงเย็น" เธอตอบแล้วก็หยุดเอาไว้ ไม่แน่ใจว่าจะถามถึงสิ่งที่กำลังอยากรู้เกี่ยวกับหญิงสาวคนเมื่อครู่ดีหรือไม่ แต่เพราะความร้อนรุ่มที่ซ่อนอยู่ภายในใจ ทำให้เธอต้องเอ่ยเรื่องนี้กับเจ้าของห้องทำงานนี้ออกมา "เอ่อ เมื่อกี้สิริเห็นผู้หญิงคนหนึ่งออกมาจากห้องทำงานของพี่รุณ"
"อ้อ...น้ำค้าง พี่เรียกมาคุยเรื่องงานเพิ่ม" ตอบขณะที่สองมือกำลังพิมพ์งานตรงหน้า
"งาน...งานอะไรคะพี่รุณ ก็ไหนตอนนั้น เราคุยกันว่าอีกคนเหมาะสมที่จะได้งานมากกว่า..." วิมลสิริเอ่ยถึงเกณฑ์การคัดเลือกพนักงานในตำแหน่งพนักงานต้อนรับตรงเคาน์เตอร์ฟร้อนท์ที่เธอเป็นคนแนะนำคนตรงหน้าไปเมื่อหลายวันก่อน
ใช่...เธอเองนี่แหละที่เป็นคนแนะนำให้ผู้จัดการฝ่ายบุคคลนี้ เพราะวันนั้นเธอได้เข้ามาที่ห้องนี้ ขณะที่อีกฝ่ายกำลังใคร่ครวญบางเรื่องอยู่ วิมลสิริจึงถามขึ้นด้วยความสนใจ และคุณอรุณจึงเล่าว่า มีผู้ที่มาสมัครสองคนที่เธอกำลังลังเล ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะคัดเลือกใคร วิมลสิริจึงขอดูข้อมูลคนทั้งสอง เผื่อว่าเธอจะสามารถช่วยเหลืออีกฝ่ายได้ ไม่มากก็น้อย
แต่ใครเลยจะคิด...ว่าหนึ่งในสองคนที่วิมลสิริได้ช่วยเลือก คือหญิงสาวที่เธอไม่ถูกชะตาเพียงแรกพบ!
วิมลสิริจึงรีบให้เหตุผลต่อผู้จัดการฝ่ายบุคคลนี้ว่า "ภาษาอังกฤษดีอย่างเดียวก็ไม่เหมาะหรอกค่ะ พี่รุณ เพราะอีกคน การใช้ภาษาแม้ไม่ดีเท่า แต่เกณฑ์ก็สามารถสื่อสารได้ แถมจบด้านการโรงแรมและท่องเที่ยวมาโดยตรง ก็น่าจะเหมาะสมกว่าเธอคนนี้ ที่จบเพียงแค่ม.6..."
ตอนนั้น วิมลสิริพยายามจะโน้มน้าวอรุณเพราะ อีกฝ่ายกำลังโน้มเอียงไปหาเธอคนนั้น เพียงเพราะความสามารถใช้ทักษะทางด้านภาษาที่ดีกว่า
"น้องสิริคิดอย่างนั้นหรือ"
"ค่ะ" วิมลสิริพยักหน้า พยายามเก็บสีหน้าแห่งความพอใจเอาไว้ให้มิด
นั่นเอง...ที่วิมลสิริจึงแน่ใจแล้วว่าหญิงสาวที่ชื่อ น้ำค้างอะไรนี่ไม่ได้งานจากตรงนี้แล้วแน่นอน แต่ทว่า เมื่อสักครู่...พอเธอมาเจอเธอคนนั้นอีกครั้ง ความรู้สึกของวิมลสิริจึงเหมือนโดนผีหลอกอย่างไรอย่างนั้น
"อื่ม... พี่ไม่ได้ให้เธอทำในตำแหน่งพนักงานต้อนรับในตอนนี้ แต่ให้ทำในตำแหน่งแม่บ้านไปก่อน เพราะแม่บ้านอีกคนลาออกกะทันหันทำให้คนในส่วนนี้ขาด"
"พี่รุณก็เลยเรียกเธอมาทำในตำแหน่งนี้แทนคนเก่า"
"จ้ะ"
ใบหน้าของวิมลสิริฉายแววครุ่นคิดอย่างหนัก อรุณเลยขยายความเข้าใจ
"พี่เสียดาย เพราะไม่ได้ตำแหน่งรีเซพชั่น แต่น้ำค้างก็ไม่เลือกงาน ถ้าตำแหน่งพนักงานต้อนรับว่าง พี่จะพิจารณาให้เธอใหม่"
วิมลสิริยังคงไม่เข้าใจในเหตุผลอีกฝ่าย หญิงสาวถอนหายใจด้วยความขัดเคือง ในเมื่อคนตรงหน้า ได้ทำตามคำแนะนำจากตนเองแล้ว สุดท้ายก็แอบเรียกผู้หญิงคนนี้มาอีก เพื่อให้มารอทำในตำแหน่งนี้ เธอจึงเหมือนโดนอีกฝ่ายหักหน้ากลาย ๆ อย่างไรไม่รู้
"ดูเหมือนน้องสิริจะไม่...พอใจอะไรในสิ่งที่พี่ทำหรือเปล่า" อรุณถามตรง ๆ ในสิ่งที่ตนเห็นตรงหน้า เพราะใบหน้างามของรุ่นน้องสาวคนนี้ กำลังฉายความหงุดหงิดออกมาให้เห็นอยู่
"ปะ...เปล่าค่ะ" วิมลสิริรีบปฏิเสธ พร้อมกับส่ายหน้า "สิริแค่แปลกใจอะไรนิดหน่อย...งั้นสิริไปเก็บของดีกว่า นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาเดินทางละ" เธอเอ่ย พร้อมกับกล่าวลาอีกฝ่ายไปในตัว ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องนี้ไป พอห้องทั้งห้องได้ตกอยู่ในความเงียบแล้ว อรุณก็ตวัดแขนทั้งสองข้างขึ้นมากอดอก เริ่มฉุกคิดถึงท่าทีของรุ่นน้องสาวคนนี้ทันที
แปลกดี ที่วิมลสิริดูจะสนใจผู้หญิงที่ชื่อ ‘น้ำค้าง’ เป็นพิเศษจู่ ๆ ก็มาหาที่ห้องนี้ทันที หลังจากหญิงสาวคนนั้นกลับไป ก่อนหน้าก็ทำทีมาช่วยตนเองให้ความเห็นเพื่อตัดสินใจในการเลือกคนเข้ามาทำงาน...
นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้วล่ะ หรือจะเกี่ยวกับ คุณเทียม เพราะตนเองเป็นผู้หญิง ซึ่งย่อมมองปฏิกิริยาระหว่างผู้หญิงด้วยกันออก
หลายครั้งแล้ว ที่วิมลสิริเข้ามากันท่าหญิงสาวแสนสวยหลายคนให้ออกห่างจากคุณเทียม แต่...กับเด็กคนนี้มีอะไรให้วิมลสิริรู้สึกเช่นนี้ ถึงขั้นต้องรีบกันให้ออกห่างจากคุณเทียม เพราะถ้าเทียบกันแล้วอีกฝ่ายก็สู้วิมลสิริไม่ได้สักอย่าง ยกเว้นเรื่องหน้าตา เพราะถ้าจับหญิงสาวคนนี้ให้แต่งหน้าแต่งตาให้ดีกว่านี้...ก็ไม่แน่
อรุณพยายามเลิกคิดเรื่องนี้ไป เพื่อจะดึงสมาธิให้กลับมาจดจ่อกับงานตรงหน้าต่อไป เพราะจะมัวมานั่งหาคำตอบในเรื่องปฏิกิริยาของวิมลสิริมีต่อหญิงสาวอีกคนในตอนนี้คงไม่มีให้แน่ ถ้าจะทำได้ ตนก็แค่ต้องรอจับตาดูเท่านั้น...