ตอนที่ 4|คือพรหมลิขิต ...

4335 คำ
"ทำไมรีบร้อนอย่างนี้"                                                                              นางปราณีบ่น ครั้นหลานสาวกลับมาจากคุยเรื่องงานที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งก็รีบเร่งเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋า แล้วหันมาบอกกับตนว่า...พรุ่งนี้น้ำค้างจะต้องไปทำงานแล้ว                                                                                    หลานสาวหันมาตอบผู้เป็นป้าที่นั่งบนเก้าอี้ ที่กำลังคอยดูเธอจัดเสื้อผ้าลงกระเป๋าด้วยความเป็นห่วง "เพราะคนขาด แต่ป้าไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ คุณอรุณที่เป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลท่าทางเป็นคนใจดีจ้ะ"                             ที่รีสอร์ตจะมีห้องพักสำหรับพนักงานส่วนหนึ่งไว้ให้ การที่เธอต้องย้ายไปอยู่ที่นั่นก็เพราะความสะดวกสะบายต่อการเดินทางและการทำงานตามคำแนะนำของคุณอรุุณด้วย ที่ค่อนข้างเป็นห่วงในการเดินทางมาทำงานในแต่ละวัน                                                 "น้ำค้างต้องย้ายไปอยู่ที่หอพักของพนักงาน เพื่อให้สะดวกต่อการทำงาน  ได้หยุดอาทิตย์ละหนึ่งวัน วันที่หยุดน้ำค้างจะกลับมาหาป้าจ้ะ"   เธอพูดแล้วก็พลอยหนักใจเรื่องหนึ่งขึ้นมา… "น้ำค้างห่วงแต่ป้าณีนั่นล่ะ"  หญิงสาวกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด                                                           "ห่วง...จะมาห่วงอะไรป้า" นางปราณีทำหน้าเลิ่กลั่ก ก่อนจะเอ่ยออกมาเมื่อสายตาของหลานสาวที่บอกว่าเป็นห่วง เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นไม่ไว้วางใจ "ป้าไม่ชวนใครมาเล่นไพ่หรอกน่า ไม่เอาแล้ว เลิกแล้ว เข็ดแล้ว ..."                     หญิงสาวฉีกยิ้มกว้าง พลางวางเสื้อที่กำลังพับใส่กระเป๋าลง แล้วเดินไปนั่งลงตรงหน้าผู้เป็นป้า "น้ำค้างไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นสักหน่อย "  เธอยิ้มอีกก่อนจะเฉลยความในใจออกมา "แต่ป้าณีพูดเรื่องนี้ออกมาก็ดีละ  สัญญานะว่าห้ามกลับไปเล่นไพ่อีก"                                                                                              ผู้เป็นป้ารีบพยักหน้าอย่างจริงจัง หญิงสาวเลยเฉลยความเป็นห่วงที่เธอมีต่อผู้อาวุโส "ที่น้ำค้างห่วง คือเรื่องหยูกยาของป้าต่างหากล่ะจ๊ะ พอไม่มีน้ำค้าง ก็จะไม่มีใครเคี่ยวเข็ญให้ป้ากินยา" เธอจับมือป้าขึ้นมาประสานกับมือของเธอแล้วบีบเบา ๆ ทำเอาคนจิตใจแข็งกระด้างมาตลอด อดน้ำตารื้นไม่ได้   "ป้าณีก็รู้ ...ว่าโรคของป้าต้องกินยาตลอด ชีวิตน้ำค้างมีแต่ป้านะ ถ้าป้าเป็นอะไรไป น้ำค้างก็ไม่มีญาติที่ไหนอีกแล้ว"                                                 คนน้ำตารื้นวางมือข้างหนึ่งลงบนศีรษะหลานสาว สุดท้าย แม้จะพยายามกลั้นน้ำตาสักเท่าไหร่ก็อดไม่ได้จริง ๆ น้ำตาใส ๆ จึงเริ่มรินไหลออกมาเอง สิ่งที่หลานสาวคนนี้เอ่ยและแสดงออกตรงหน้า ทำให้ตนยอกแสลงใจอย่างรุนแรง เพราะที่ผ่านมาตนก็ไม่ได้ทำดีกับหลานสาวคนนี้เท่าที่ควร แถมตอนนี้ยังทำตัวเป็นภาระชิ้นโตให้อีก                                                    นึกถึงสมัยก่อนตั้งแต่ศิศิรายังเป็นเด็ก  หลานสาวคนนี้ต้องทำงานบ้านทุกอย่าง ขณะที่ลูกสาวตนไม่ต้องทำอะไร และ...ที่เจ็บปวดที่สุด คือการให้ศิศิราออกจากโรงเรียนเพื่อทำงาน คนที่รักเรียนกลับไม่ได้เรียน ส่วนคนที่ไม่รักเรียนกลับได้เรียนหนังสือ เพราะตนลำเอียงรักลูกสาวมากกว่า แต่ศิศิราก็ไม่ปริปากสิ่งใด หรือแสดงกิริยาใด ๆ ออกมา หญิงสาวเต็มใจและเสียสละให้ นางปราณีรู้ว่า ตนทำหลายเรื่องผิดพลาดมาก และจะให้กลับไปแก้ไขอะไรก็ไม่ได้อีกแล้ว ช่วงเวลาที่เหลืออยู่  ตนจึงอยากจะทำดีให้หลานคนนี้เข้าไว้ให้มากที่สุด                                                                                           "ป้าขอโทษ" เสียงที่เอ่ยดูแหบแห้ง                                                       หญิงสาวเงยหน้าขึ้น เอื้อมมือเช็ดน้ำตาให้ป้าณี ตั้งแต่เด็กป้าณีไม่ให้เธอเห็นมุมนี้เลย                     "ป้าขอโทษที่ไม่ได้ทำดีดับเอ็งเท่าไหร่"                                                "ป้าณีไม่ต้องขอโทษหรอก น้ำค้างรู้ว่าป้าณีทำดีที่สุดแล้ว ถ้าไม่มีป้าชีวิตน้ำค้างคงแย่กว่านี้"                                เมื่อเห็นว่าบรรยากาศรอบตัวเริ่มดราม่าหนัก คนเป็นป้าจึงรีบเบรกอารมณ์ของตนและหลานสาวก่อน                                                            "พอละ ๆ ไปเก็บเสื้อผ้าต่อไป๊"                                                       หญิงสาวจึงใช้สองแขนโอบรอบเอวหนาของผู้เป็นป้าแน่น ๆ ราวกับจะซึมซับไออุ่นจากกายป้าเพื่อเป็นกำลังใจให้เธอได้ก้าวเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง  ก่อนจะจึงลุกไปจัดกระเป๋าเสื้อผ้าต่อไป...        ศิศิราทำงานที่รีสอร์ตเทียมตะวันมาได้อาทิตย์กว่า ๆ แล้ว เธอรู้สึกมีความสุขดีกับการทำงานที่นี่ ด้วยบรรยากาศที่ชื่นชอบมาตั้งแต่ได้เหยียบเท้าเข้ามา แม้ตำแหน่งที่เธอทำอยู่จะเป็นแค่แม่บ้านของรีสอร์ตก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับงานต่าง ๆ ที่เคยทำมา ถือว่าที่นี่ดีกว่ามากตรงที่ ที่นี่จะมีชุดฟอร์มของพนักงานให้ฟรีที่เป็นเสื้อโปโลสีน้ำตาลเข้ม ตรงหน้าอกจะปักโลโก้ของรีสอร์ตเอาไว้อย่างสวยงาม และนอกจากชุดทำงานที่มีให้ ก็ยังมีสวัสดิการอื่น ๆ ให้อีก เช่นมีหอพักพนักงานให้  มีอาหารมื้อเช้าและกลางวันให้อีก                และด้วยลักษณะงาน เป็นงานที่เธอทำมาตลอด จึงทำให้เธอรู้สึกว่างานนี้ไม่หนักหนาจนเกิดความเหน็ดเหนื่อยอะไร​ หญิงสาวยืนมองสภาพห้องพัก ที่สะอาดเรียบร้อยตรงหน้า พลางปัดปอยผมที่แนบแก้มตนเองออก เมื่อราว ๆ สองชั่วโมงก่อนหน้า หลังจากแขกที่เข้าพักรายล่าสุดได้เช็คเอาท์ออกไปแล้ว เธอจึงนำอุปกรณ์สำหรับทำความสะอาด พร้อมกับชุดเครื่องนอนใหม่เข้ามาทำความสะอาด แม้ว่าภายในบ้านพักจะไม่ค่อยรกเท่ากับบ้านพักหลังก่อนหน้า แต่เธอก็ใช้เวลาไม่น้อยจนจัดการให้ทุกอย่างเรียบร้อย เนื่องจากหัวหน้าแม่บ้านที่นี่จะละเอียดลออมาก หากมาตรวจตราแล้วพบแม้แต่ฝุ่นเพียงนิดเดียวเธอก็จะถูกตำหนิเอาได้                     พูดถึงบ้านพักในรีสอร์ตแห่งนี้ จะแบ่งลักษณะบ้านพักเป็นสองโซนหลักคือ  ห้องพักที่ไม่มีสระว่ายน้ำส่วนตัวกับบ้านพักที่มีสระว่ายน้ำส่วนตัว  ศิศิราจะรับผิดชอบบ้านพักที่มีสระว่ายน้ำส่วนตัว แต่บางครั้งหากที่พักตรงไหนมีงานยุ่งวุ่นวาย หรือมีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องการคนช่วย  คนในแผนกก็สามารถโยกย้ายมาช่วยงานกันได้เช่นกัน                                                              หญิงสาวปิดประตูบ้านพักลงเรียบร้อย  หันหลังกลับไปก็เจอร่างบอบบางคุ้นตาร่างหนึ่งกำลังยืนยิ้มแต้รออยู่                                    เพื่อนใหม่ที่กำลังจะกลายมาเป็นเพื่อนสนิท ...ระมิตา              "ไป ไปกินข้าวกัน"                                                                       คิ้วที่แม้ไม่ผ่านการขีดเขียนก็สวยได้รูปเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม "งานตรง ฟรอนท์ไม่ยุ่งหรือ" "ก็ยุ่งปกติแหละ แต่หิวเลยมาชวนน้ำค้างกินข้าวก่อน"                       ศิศิรายิ้มพร้อมกับพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตรงไปยังร่างบางที่มายืนรอ จากนั้นคนทั้งคู่จึงพากันเดินไปตามทางเดินด้านหลังของรีสอร์ต ที่ทอดยาวไปยังโรงอาหารของพนักงานต่อไป                                                   และขณะที่กำลังเดินอยู่บนเนินเล็ก ๆ บ้านพักหลังหนึ่งที่ถูกสร้างห่างออกไปอย่างไม่ให้ปะปนกับบ้านพักหลังอื่น ๆ ก็ค่อย ๆ ปรากฏแก่สายตาของหญิงสาวทั้งสอง ลักษณะการปลูกสร้างก็ไม่ได้แตกต่างไปจากบ้านพักหลังอื่น ๆ แต่จะมีพื้นที่กว้างกว่า มีลานจอดเครื่องบินส่วนตัวมีสระว่ายน้ำ มีโรงยิมเล็ก ๆ สำหรับออกกำลังกาย ส่วนภายในบ้านพักนั้นจะมีอะไรอีกหรือเปล่า เธอก็ไม่เคยย่างกรายเข้าไปเช่นกัน เพราะตรงบ้านพักหลังนั้นจะมีแม่บ้านที่รับผิดชอบเฉพาะเอาไว้... ซึ่งไม่ใช่เธอ     "น้ำค้างไปเถอะ...มองอะไร อ้อ! บ้านพักของคุณเทียม..."  ระมิตาเอ่ยแล้วจึงทำแววตาชวนฝันหวาน ยามเอ่ยถึงเจ้าของเทียมตะวันรีสอร์ต "...เขาไม่ค่อยกลับหรอก ได้ยินว่า เดือนหรือบางก็สองเดือนถึงจะมาสักครั้ง เพราะธุรกิจแกเยอะ ก็งี้แหละ…พวกนักธุรกิจ"                         พูดไปแล้วก็ทำหน้าครุ่นคิดต่อ "คุณเทียมเป็นคนหน้าตาดี มีฐานะ แต่เขายังไม่มีครอบครัวนะ มีแต่สาว ๆ ที่หวังอยากจะอยู่เคียงข้างเขาในฐานะคนรัก เฮ้อ! แต่คนอย่างเราก็ได้แต่ฝันหวาน เขาคงไม่มองพนักงานต๊อกต๋อยอย่างเราหรอก  ว่ามั้ย" ถามเองตอบเองเสร็จสรรพ   "น้ำค้างเคยมีแฟนมั้ย" จู่ ๆ คนช่างพูดก็หันกลับมาถามเรื่องของเธอหน้าตาเฉย                                         "อ้าว! มาสนใจเรื่องเราได้ยังไง"                                                                "ก็แค่แปลกใจ ตั้งแต่มานี่ เราไม่เคยเห็นน้ำค้างมีใครมาหา หรือโทร. หา ทั้ง ๆ ที่หน้าตาน้ำค้างก็สะสวย"  ศิศิรายิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบพร้อมกับอธิบาย  "เรายังไม่มีใครหรอก หากจะมี ก็มีแค่ป้าณี เพราะชีวิตเรามีแต่ป้า และการทำงาน" เธอพูดแล้วก็นิ่งไปเล็กน้อยยามหวนไปนึกถึงเรื่องของหัวใจ เพราะ ที่ผ่านมา จะบอกว่าหัวใจของเธอจะไม่มีใครผ่านเข้ามาเลยก็ไม่ใช่ สำหรับเธอ...ก็เคยมีคนเข้ามาทำให้หัวใจสั่นเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก็เพียงเท่านั้น เพราะเธอมองตัวเองแบบเจียมตัวมาตลอด ไม่กล้าคิดไปไกลกับใครคนนั้น …อีกประการที่สำคัญ หากเธอไม่สามารถทำให้ผู้เป็นป้าอยู่สุขสบายได้มากกว่านี้ เธอจึงไม่อยากหาความสุขให้กับตัวเองเหมือนกัน         "คุณเทียม... น้ำค้างเคยเห็นเขามั้ย"    หญิงสาวส่ายหน้า "ไม่ แม้แต่รูปยังไม่เคยเห็น เพราะเราทำแต่งาน"    "เคยได้ยินมาบ้างว่า..." ระมิตาหันซ้ายแลขวา ก่อนจะหันมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบาลง ราวกับกลัวใครจะมาได้ยิน ทั้ง ๆ ที่คนทั้งคู่ก็ยืนอยู่กันเพียงแค่สองคน "...คุณเทียมเขามีธุรกิจมืด เพราะเบื้องหลังเขาจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรน้ำค้างคิดดูสิ  ไม่เคยมีชื่อปรากฏอยู่ที่ไหนเลย   แต่ไม่กี่ปีกระโดดขึ้นมาเป็นนักธุรกิจแถวหน้าแล้ว"                                                    "จริงเหรอ"                                                                                 "ใช่ คนแถวนี้ก็พูดกันแบบนี้แหละ บางเรื่องที่เราได้ยินมา ก็แทบไม่อยากเชื่อ อย่างเรื่อง โหด ดุ ..."                              "อ้าว!    ก็วันนั้นที่สัมภาษณ์งาน  แยมเคยบอกว่าเขาท่าทางใจดีนี่"   ศิศิรารีบแย้ง                                                          "แหะ ๆ ๆ ๆ ก็เราพูดให้น้ำค้างจะได้ไม่ต้องกลัวไง" อีกฝ่ายหัวเราะแห้ง ๆ ก่อนจะเฉลยต่อ "จริง ๆ วันนั้นที่เห็น เขาค่อนข้างเคร่งขรึม เหมือนไม่น่ากลัว  แต่ก็น่าเกรงขาม"  ศิศิราหัวเราะร่วนบ้าง "โห สรุปก็ตรงกันข้ามกับที่แยมว่ามาวันนั้นหมดเลย  ทีแรกนึกว่าจะใจดี"                                                        ระมิตาหัวเราะแห้ง  ๆ  ตอบ   แล้วคนทั้งสองจึงพากันเดินต่อไป    ศิศิราก็เหลือบมองไปทางบ้านพักหลังนั้นอีกครั้ง ความจริงหลังจากที่เธอมาทำงานที่นี่ คำพูดของใครหลายคน ที่กล่าวถึงเจ้าของรีสอร์ตแห่งนี้... เธอก็เคยได้ยินมาบ้างอยู่แล้วว่า เขาอาจจะเป็นมาเฟีย หรือมีธุรกิจสีเทา ๆ อยู่เบื้องหลัง...แม้เธอไม่อยากจะเชื่อคำพูดเชิงเล่าลือนัก แต่หากได้ยินเรื่องทำนองนี้บ่อย ๆ  เข้า หัวใจก็เริ่มหวั่นไหวอยู่ไม่น้อย...    วันนี้เป็นวันหยุดของเธอ                                                              หญิงสาวหอบหิ้วข้าวของจำพวกผัก ผลไม้ เสื้อผ้าโดยเฉพาะเสื้อกันหนาวตัวใหญ่อีกสองสามตัวกลับห้องพักที่เช่าเอาไว้ เพราะเธอสังเกตว่าอากาศเย็นลงมากในช่วงนี้ ด้วยความเป็นห่วงผู้เป็นป้า เธอได้แวะซื้อเสื้อกันหนาวใหม่ ๆ เพิ่มอีก เนื่องจากตอนมา มาด้วยความรีบร้อน เสื้อผ้าบางชุดบางตัว พวกเธอก็ไม่ได้เอามาด้วย จึงทำให้เสื้อผ้าไม่พอใส่ โดยเฉพาะเสื้อกันหนาว                                                           ครั้นมาถึงห้องเช่า เธอก็ถูกผู้เป็นป้าบ่นไปอีกชุดใหญ่ในเรื่องซื้อข้าวของที่ไม่จำเป็น และบอกว่าเสื้อผ้าตนมีใช้เยอะแล้ว ศิศิราส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม ถึงแม้ผู้เป็นป้าจะบ่น แต่สองมือก็ยังรื้อเสื้อกันหนาวตัวใหม่ออกมาพลิกดูไปมาอยู่ดี  เธอจึงรีบอธิบายว่า                                                                    "น้ำค้างอยากให้ป้ามีใส่ครบ จนถึงวันที่น้ำค้างกลับอย่างไรล่ะจ๊ะ อีกอย่างที่นี่เขาว่า  บางวันอากาศมันจะหนาวมาก ป้าณีจึงต้องสวมเสื้อกันหนาวทับเอาไว้สักสองตัว"                                                               หญิงสาวเอ่ยแล้วก็กวาดสายตามองตะกร้า ที่ใส่เสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซัก "เดี๋ยวน้ำค้างจะเอาผ้าพวกนี้ไปซักให้นะ" เธอว่าแล้วลุกขึ้นไปยกตะกร้าเสื้อผ้าใบใหญ่เดินออกจากห้อง เพราะตรงหน้าหอพักจะมีเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญตั้งอยู่   เมื่อตากผ้าเสร็จแล้ว หญิงสาวก็ทำความสะอาดห้องพักต่อ ซึ่งก่อนหน้าป้าณีก็คอยทำตลอดอยู่แล้ว แต่งานบางอย่างที่เป็นงานหนัก เธอจะไม่ให้ผู้เป็นป้าทำ เพราะโรคหัวใจที่ป้าเธอเป็น จะทำให้เหนื่อยง่าย ทำงานหนักไม่ได้   ศิศิราใช้ผ้าเช็ดฝุ่นตามบานเกร็ดตรงหน้าต่างห้องพัก โดยมีนางปราณีมองด้วยความสงสารอยู่ไม่ห่าง พลางคิดว่า เมื่อไหร่ศิศิราจะสบายอย่างคนอื่นเสียที บางครั้งตนก็อยากให้หลานสาวคนนี้แต่งงานอยู่กินกับคนมีเงินที่เข้ามาติดพัน แต่ถ้าทำเช่นนั้น ตนก็ไม่แน่ใจว่า ตรงปลายทางจะมีความสุขสมหวังของชีวิต รอหลานสาวคนนี้จริงหรือไม่ เพราะผู้ชายมีเงินพวกนั้น สุดท้ายก็หวังแต่เรือนร่าง ความสวยงาม ความสาวจากหลานสาวคนนี้ด้วยกันทั้งนั้น... ไม่มีใครที่จะรักศิศิราจริง ๆ เลยสักคน เมื่อการแลกความสุขครั้งเดียวของหลานสาวคนนี้ กับการตกนรกทั้งชีวิต ตนก็ไม่อยากเห็น   เสียงโทรศัพท์มือถือหญิงสาวส่งเสียงดังขึ้น ทำให้ความคิดของนางปราณียุติลง ก่อนที่เจ้าของโทรศัพท์มือถือจะรีบวางผ้าลงเพื่อล้างมือ  แล้วเดินเดินไปกดรับ                                                                                             "ค่ะ"                                                                                                     "ได้ค่ะพี่รีย์"                                                                              "ค่ะ...น้ำค้างขอให้ลูกชายหายป่วยไว ๆ นะคะ" หญิงสาวเอ่ยแล้วก็กดวางโทรศัพท์มือถือลง จากนั้นผู้เป็นป้าที่นั่งฟังด้วยไม่ห่างก็ถามขึ้น                      "มีอะไรเหรอ น้ำค้าง"                                                                  "พี่รีย์ ที่เป็นแม่บ้านอีกคนให้น้ำค้างช่วยกลับไปทำงานแทนน่ะจ้ะ เพราะลูกชายป่วย แกเลยต้องอยู่เฝ้าลูกชายที่โรงพยาบาล"                                    หญิงสาวตอบแล้วก็ลอบถอนหายใจด้วยความเสียดาย  เพราะว่าวันนี้เป็นวันหยุดของเธอ  ทั้งที่เธอได้ตั้งใจเอาไว้ว่า จะทำกับข้าวให้ป้าและนอนค้างที่นี่ด้วยสักคืน แต่เมื่อพี่รีย์ หรือสุรีย์แม่บ้านอีกคนโทร. มาขอร้องเพื่อให้กลับไปทำงานแทน เนื่องจากลูกชายป่วย เธอจึงปฏิเสธไม่ได้ อีกอย่าง วันนี้ที่รีสอร์ตก็ยุ่งมาก เนื่องจากมีคณะทัวร์มาพัก จึงทำให้ไม่มีใครว่างอีกแล้วนอกจากเธอ                                                                             หลังจากเก็บข้าวของแล้ว  ศิศิรารีบกลับรีสอร์ตทันที ขณะที่ร่างของหลานสาวพ้นออกจากห้องพักไป โทรศัพท์มือถือของนางปราณีก็ส่งเสียงดังขึ้นมาต่อ                                                                                   "นังลูกเวร!"                                                                              นางปราณีพึมพำอย่างเดือดดาล เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของลูกสาวคนเดียวที่เหลืออยู่นั่นเองโทร.มา สาเหตุที่นางเดือดดาลเพราะลูกสาวคนนี้ไม่เคยติดต่อมาหาตนหลายปีแล้ว  ล่าสุดที่คุยกันคือ ตอนนั้น ตนและศิศิรากำลังลำบาก อยากจะให้มันช่วยส่งเงินมาให้สักสามสี่พัน แต่ลูกเนรคุณคนนี้ ก็ไม่ยอมช่วยเหลือ แถมปิดโทรศัพท์มือถือหนีอีก แม้ไม่ปิดโทรศัพท์มือถือ แต่ถ้าตนโทร. ไปหาก็ไม่เคยรับอีกเลย  เพราะคงกลัวว่าตนจะขอเงินมันอีก              นางปราณีนึกแล้วก็โกรธสารพัด ในขณะที่โทรศัพท์มือถือเครื่องนี้ก็ยังคงส่งเสียงดังอย่างต่อเนื่อง  นางปราณีเหลือบตามองอย่างขัดเคือง แต่แม้ภายในใจจะคิดอย่างนั้นอย่างนี้กับลูกสาวสารพัด ทว่าลึก ๆ ของความเป็นแม่คน ก็ยังรักและเป็นห่วงลูกสาวอยู่ไม่น้อย สุดท้ายนางปราณีก็ยอมลดทิฐิลง แล้วเดินไปรับสายทันที เพราะตนอยากรู้ขึ้นมาแล้วว่านางลูกทรพีคนนี้มันคิดยังไง ถึงได้กล้าโทร. มาหาตนได้                                                                        "มีอะไร นังลูกไม่รักดี!"                                                               "มะ...แม่ช่วยฉันด้วย! ฉันจะถูกพวกมันตัดแขนตัดขาทิ้งแล้ว...หือ ๆ" เสียงตอบกลับปนเสียงสะอึกสะอื้นจากการร้องไห้ดังขึ้นอย่างชัดเจนทีเดียว                        "อะไรนะ!         กว่าจะมาถึงรีสอร์ต ศิศิราต้องนั่งรอรถสองแถวอยู่นาน ซึ่งวันนี้เหมือนกับว่ารถจะขาดช่วงทำให้เธอต้องรอรถนานเกินปกติ เมื่อเธอมาถึงจึงเป็นเวลาโพล้เพล้ดวงอาทิตย์ใกล้จะตกเต็มที     แต่ก็ไม่น่ามีปัญหา หญิงสาวบอกกับตัวเอง เพราะบ้านพักของคุณเทียม ไม่ได้อยู่ในโซนที่เร่งด่วน เนื่องจากพี่สุรีย์บอกว่า ถ้าหากคุณเทียมกลับมาที่นี่ ทางเลขาฯส่วนตัวจะแจ้งล่วงหน้าทุกครั้ง แต่นี่...ไม่มีการแจ้ง ก็แสดงว่า เขายังไม่กลับมา ...เธอจึงแค่มาทำหน้าที่จัดการปัดกวาดเช็ดถูแทนพี่สุรีย์ตามปกติทุกวันเท่านั้น                                    ระหว่างที่เดินตามทางเดินที่พาดผ่านสนามหญ้าสีเขียวขจี เธอก็นึกถึงเรื่องเล่าลือหนึ่งขึ้นมาได้ เรื่องนั้นมีอยู่ว่า ...  'แม่บ้านบ้านพักของคุณเทียม จะถูกเลือกเฉพาะพี่สุรีย์หรือคนอื่นที่มาทำ ส่วนมากจะเป็นแม่บ้านที่อายุสี่สิบห้าขึ้น และต้องไม่ใช่ สาว ๆ โสด ๆ อย่างเด็ดขาด'                                                                                     แม่บ้านคนหนึ่งที่ฟังอยู่จึง ถามขึ้นขณะที่ช่วยกันทำความสะอาดบ้านพักหลังหนึ่ง                                                                                         'ที่เป็นแบบนี้  น้ำค้างรู้มั้ยเพราะอะไร'                                            'ไม่รู้หรอก'                                                                                  'เพราะคุณสิริ เลขาฯคุณเทียมเป็นคนจัดการ อ้างว่าอยากได้คนที่เป็นงาน เป็นผู้ใหญ่มากกว่าไปทำ แต่จริง ๆ ว่ากันว่า คุณสิริเธอหวงคุณเทียม ไม่อยากให้ผู้หญิงสวย ๆ สาว ๆ ไป ทำงานตรงนั้น'                                             'แล้วคุณสิริกับคุณเทียม เป็นคนรักกันเหรอ' เธอหันมาถามเพื่อนแม่บ้านเหมือนกันแบบซื่อ ๆ            'ไม่ แต่ใคร ๆ ก็ว่าอย่างนี้ คุณสิริเธอแอบรักคุณเทียมเลยหวงก้าง…'                    ศิศิราแค่พยักหน้ารับทราบ ไม่เอ่ยหรือแสดงความคิดเห็นเพิ่มอีก เพราะดูจากนิสัยของตัวเองแล้วก็ไม่ชอบไปยุ่งกับใครอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องทำนองชู้สาว   หลังจากวางโทรศัพท์มือถือลงแล้ว นางปราณีก็มีสีหน้าเคร่งเครียดหวาดกลัวลงอย่างเห็นได้ชัด ปัญหาใหญ่ของชีวิตนางกำลังก่อเกิดขึ้นมาอีกครั้ง และก็ครั้งนี้ก็ไม่ใช่ตนเองที่เป็นตัวสร้างปัญหา แต่เป็นนางลูกทรพีคนที่ตนเผลอกดรับสายโทรศัพท์จากมันไปเมื่อครู่นั่นเอง                         ย้อนเวลาไปไม่กี่นาทีก่อนหน้า...                                                             "อะไรนะ!"                                                                                   "พวกมันจะตัดแขน ตัดขาฉันทิ้งแล้ว แม่ หือ ๆ" ปลายสายยังเล่าพร้อมกับร้องห่มร้องไห้อย่างหนัก                                                                          "ใคร? มันจะตัดแขนตัดขา"                                                         "เจ้าหนี้ฉันน่ะสิแม่ มันให้พวกลูกน้องมาทวงหนี้ถึงบ้าน ถ้าวันนี้ไม่มีเงินให้มัน มันจะตัดแขนตัดขา ฉัน ผัวและลูกทิ้ง หือ ๆ"                             "หน็อย ทำมาเป็นแต่งเรื่อง..."                                                       "จริง ๆ นะแม่ หือ ๆ"                                                               คิ้วทั้งสองบนใบหน้านางปราณีขมวดเข้าด้วยกัน เพราะคิดว่าเรื่องนี้คงเชื่อถือไม่ได้ ลูกสาวตนอาจจะแต่งเรื่องขึ้นมาหลอกลวงเอาเงินเอาทองจากตน ทว่า ก็มีเสียงห้าว ๆ ของผู้ชายหลายคนที่เล็ดรอดผ่านเครื่องมือสื่อสารที่ตนถืออยู่เข้ามาทำนองว่า                                                     "...ตกลงจะจ่ายวันนี้ไหม"                                                                         "ขอฉันพูดกับแม่ก่อนสิ!"                                                              "ชักช้า เอามือถือมานี่!" แล้วหนึ่งในนั้นก็แย่งโทรศัพท์มือถือไปพูดเสียเอง     "นี่ป้า ลูกสาวป้าเป็นหนี้เจ้านายฉันอยู่สามแสนบาท ถ้าวันนี้ไม่มีคืนให้ ฉันจะจัดการสั่งสอนมัน ผัวของมันและหลานป้าด้วย"                                      "สามแสน  จะบ้าเรอะ! สามหมื่นฉันยังไม่มีเลย"                             "ไม่รู้ล่ะ มันบอกว่าแม่มันน่าจะมีให้ มันจึงขอโทร. หาป้านี่ล่ะ ถ้าไม่มีให้..."  "ขอฉันคุยกับแม่ฉันเองสิ  ไม่อย่างนั้นพวกแกก็จะไม่ได้เงินหรอกนะ!"              แล้วพวกนั้นก็ยื่นโทรศัพท์มือถือกลับไป                                                  "น้ำค้างไงแม่  มันต้องมีให้สิ!"                                                      "ลูกเวร!" นางปราณีด่าออกไปอีกครั้งด้วยความเหลืออด                  "สามแสนแลกกับสามชีวิตนะแม่ หือ ๆ ฉันกลัวแล้ว หือ ๆ ๆ ๆ"  "กูไม่มีให้หรอกนะ จะทำอะไรก็ทำเถอะ เชิญ!" นางเอ่ยออกมาต่อด้วยอาการปากคอสั่น ๆ "มะ ไม่ให้หรอก แกกับผัวก่อปัญหาขึ้นมาก็แก้กันไปสิ"                                                         นางปราณีนึกถึงใบหน้างามของหลานสาว ศิศิรามีเงินเก็บไม่มากหรอก แถมเป็นเงินเก็บที่หลานสาวตั้งใจจะใช้เพื่อเรียนต่ออีก เพราะการเรียนให้จบนั่นคือความฝันอันยิ่งใหญ่ของศิศิรา                                                                  "งั้นก็ตามใจ!"                                                                           เสียงห้าวที่ตะโกนแทรกขึ้นได้ปลุกสติของนางปราณีให้ตื่นอีกครั้ง                   "ถ้าไม่อย่างนั้น พรุ่งนี้ก็รอดูข่าวว่าพบศพชายหญิงถูกตัดแขนตัดขาลอยอยู่ในแม่น้ำได้เลย!" "แม่!!" แล้วเสียงร้องกรีดแหลมของแม่ลูกสาวตัวดีก็ดังเสียดแทรกขึ้นมา จากนั้นก็มีเสียงอึกอักเหมือนเสียงใครโดนทุบตีตามมาอีก                    "เดี๋ยว ๆ ๆ ๆ! พ่อคุณ!"                                                                            "ว่าไง?"                                                                                         "ถ้าจะเอาเงินตอนนี้ ฉันยังไม่มีให้หรอก ขอผัดผ่อนไปก่อนได้มั้ย หลานสาวฉันตอนนี้มันก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย คิดดี ๆ นะถ้า ถ้าฆ่ามันสองคนตอนนี้พวกแกก็ไม่ได้เงินหรอกนะ" นางปราณีพยายามเกลี้ยกล่อม  และเหมือนทางนั้นจะนิ่งงันไป ก่อนจะตอบกลับมาว่า                                                     "ก็ได้จะให้เวลา แต่...มันก็ต้องมีค่าเวลาเพิ่มขึ้นมาอีก"                            "อะไรนะ!"                                                                                             “สามแสนห้าหมื่น  ในเวลาหนึ่งเดือน ตกลงมั้ยป้า"                         "แค่สามแสนยังลำบากเลย นี่ยังต้องหาเพิ่มอีกห้าหมื่นเหรอ!"         "งั้นแค่นี้ เฮ้ย...พวกมึงจัดการ"                                                      "เดี๋ยว ๆ ตกลง! ได้...อีกหนึ่งเดือน" นางปราณีตกปากรับคำอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะความเป็นความตายของลูกสาวและหลานชายกำลังอยู่ในกำมือตน "...ขอฉันคุยกับนังลูกเวรก่อนนะ"                                                         แล้วปลายสายก็ยื่นโทรศัพท์มือถือคืน นางปราณีจึงรีบเอ่ย ด้วยอาการกล้ำกลืน แถมตอนนี้เหมือนหัวใจที่เต้นในอกกำลังบีบรัดจนทำให้นางหายใจหอบ ถี่ขึ้น...                                                                         "ฉะ...ฉันจะช่วยแกสองคนเป็นครั้งสุดท้าย"                                    "จ้ะแม่ ฉันสำนึกแล้ว หือ ๆ ๆ ๆ ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำให้แม่ลำบากอีก อย่าลืมให้น้ำค้างช่วยพวกฉันนะ ถ้าแม่พูด น้ำค้างต้องหาเงินมาจนได้ เพราะมันรักแม่มาก"                                                                                  "ใช่! มันรักกูมากกว่าลูกสาวเสียอีก" ตอบกลับพร้อมน้ำตาที่รื้นขึ้น ไม่รู้ว่าควรสงสารใครดีระหว่างลูกสาวหรือหลานสาว                              นางปราณีวางโทรศัพท์มือถือลงข้างตัว ด้วยอาการเลื่อนลอยเนื่องจากปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้น    ตนจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร    หนทางดูมืดมนแปดด้าน แต่มันต้องมีสักทางสิ ต้องมีสักทาง... ศิศิราจะต้องช่วยในเรื่องนี้ได้สิ   ความเงียบเริ่มกลืนกินบรรยากาศรอบตัว เมื่อร่างบอบบางได้เดินผ่านรั้วสีขาวของบ้านพักของเจ้าของรีสอร์ตมา ยามเดินขึ้นบันได เธอจะเห็นระเบียงกว้างที่มีไว้นั่งรับลมชมวิวท้องฟ้า ท้องนากว้างสุดลูกหูลูกตา แถมมีทิวเขาหลายลูกเป็นฉากหลังอีก                                                                        บ้านพักหลังนี้จะมีอยู่สองส่วนที่ถูกเชื่อมเอาไว้ด้วยสระว่ายน้ำ ตรงที่เธอยืนคือบ้านพัก และอีกส่วนคือโรงยิมที่ไว้ออกกำลังกาย                                                และแม้รูปแบบของบ้านหลังนี้ จะมีสไตล์เดียวกันกับบ้านพักหลัง  อื่น ๆ ของรีสอร์ต แต่ครั้นเดินล่วงเข้ามากลับพบว่า รายละเอียดต่าง ๆ แตกต่างจากบ้านพักหลังอื่นอยู่มาก โดยเฉพาะการตกแต่งภายในด้วยผนังห้องเป็นอิฐสีแด งตัดกับงานไม้สีเข้ม ชวนให้ดูเคร่งขรึม แต่ก็ถูกลดทอนโทนความเคร่งขรึมลงด้วยพื้นแบบปูนเปลือยทั้งหมด    แถมเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านก็เป็นงานไม้แทบทุก ชิ้น                                                                                  เห็นบรรยากาศภายในบ้านก็ชวนให้นึกถึงบุคลิกของเจ้าของบ้านพักที่เธอได้ยินขึ้นมาทันทีว่า                  ...ไม่น่ากลัว แต่ก็น่าเกรงขาม...                                                 ศิศิรารีบปัดความคิดกริ่งเกรงที่มีต่อเจ้าของรีสอร์ตทิ้งไป เพราะตอนนี้เธอจะต้องจัดการทำความสะอาดบ้านพักก่อน และส่วนแรกที่จะเข้าไปดูก็คือห้องนอน ซึ่งเพียงเอื้อมมือแตะประตู    เธอก็แปลกใจไม่น้อย ที่...ประตูไม่ได้ล็อคเอาไว้อย่างที่พี่สุรีย์บอกก่อนหน้า                                     หญิงสาวตัดสินใจผลักประตูและเดินเข้าไป จึงได้เห็นแผ่นหลังของร่างกำยำอันเปลือยเปล่าเฉพาะส่วนบน เขายืนตระหง่านตรงหน้า ทำให้เธอตกใจจนต้องรีบเอ่ยคำขอโทษออกไปทันที  "ขะ ขอโทษค่ะ!"                                                                                                                                               
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม