รองเท้าคัทชูสีดำคู่หนึ่ง ได้เหยียบเดินอยู่บนทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหินอันทอดยาวไปสู่สำนักงานที่อยู่ทางด้านหลังของรีสอร์ตแห่งนี้ เพียงแค่ได้เดินเข้ามาไม่กี่ก้าว เจ้าของรองเท้าคู่ดังกล่าวก็รู้สึกชื่นชอบบรรยากาศของที่นี่เสียแล้ว พลางคิดว่า หากเธอได้ปักหลักทำงานที่นี่ พร้อมกับได้ดูแลผู้เป็นป้าไปด้วยก็จะดีไม่น้อย
หญิงสาวในชุดทำงานสุภาพ ได้กวาดสายตาดูคนวัยหนุ่มสาวจำนวนหนึ่ง ที่กำลังนั่งรอเป็นแถวตรงมุมรับแขกในส่วนของห้องทำงานตรงหน้า ใบหน้า การแต่งกายแต่ละคนก็ไม่ได้แตกต่างจากเธอมากนัก ที่จะเน้นความสุภาพเรียบร้อยเป็นหลัก ที่สำคัญทุกคนล้วนแต่มาที่นี่ด้วยความมุ่งหวังกันทั้งสิ้น
ขณะที่ศิศิรากำลังมองหาที่ว่าง ๆ ในมุมรับแขก แล้วสายตาก็ไปจรดเข้ากับหญิงสาวอีกคนที่มีอายุอานามใกล้กันกับเธอ ข้างกายหญิงสาวผู้นั้นมีที่ว่าง ๆ พอที่จะให้เธอนั่ง
ศิศิราจึงรีบเดินเข้าไปนั่งทันที จากนั้นหญิงสาวคนดังกล่าวก็ยิ้มให้กับเธอเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าก้มตาง่วนอยู่กับเอกสารหลายแผ่นในมือตัวเองต่อ
ศิศิราเองจึงรีบจัดการเอกสารที่เตรียมมาเช่นกัน เธอหยิบใบสมัครที่กรอกรายละเอียดบางส่วนไว้แล้วออกมาจากกระเป๋า เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกที
“เราส่งใบสมัครทางอินเทอร์เน็ตมาก่อนหน้าแล้วล่ะ... ตอนบ่ายจะได้สัมภาษณ์งานต่อ” ศิ
ศิราเงยหน้าจากแผ่นกระดาษในมือ มองหญิงสาวคนนั้นที่จ้องเธออยู่ก่อนแล้วด้วยสายตาแห่งความเป็นมิตร
เธอคนนี้เอ่ยไปอีกว่า “ตื่นเต้นจัง...บ่ายนี้เจ้าของรีสอร์ตจะสัมภาษณ์งานเองอีกด้วย”
ศิศิราไม่ได้สนใจ หรือตื่นเต้นเท่ากับอีกฝ่ายด้วยมากนัก หากเจ้าของรีสอร์ตจะเป็นคนที่สัมภาษณ์งานผู้ที่มาสมัครงานเอง แต่…
“ได้ยินมาว่า คุณเทียมน่ะ...เขาให้โอกาสคน...ดูคนที่ความสามารถ ตั้งใจจะทำงานจริง ๆ”
คำว่า ‘ให้โอกาส’ นั่นเอง...คือคำเดียวที่ทำให้ศิศิราใช้ดวงตาคู่งามสบตากับหญิงสาวตรงหน้าอย่างตั้งใจฟัง รู้สึกว่าความหวังกำลังเอ่อท่วมท้นขึ้นมาอยู่ในหัวใจอีกครั้ง หญิงสาวก้มมองดูวุฒิการศึกษาที่ตัวเองนำมาสมัคร ถ้าเทียบกับคนอื่น ๆ ที่อยู่รายรอบเธอแล้ว ของเธอดูด้อยกว่ามากนัก...แต่คำว่าให้โอกาสคนนี่แหละ ที่พอจะทำให้หัวใจเธอชุ่มชื้นขึ้นมา
“แล้วนี่...สมัครในตำแหน่งอะไรล่ะ”
“ก็...พนักงานต้อนรับค่ะ”
“เหมือนกันเลย!”
อีกฝ่ายพูดออกมาอย่างตื่นเต้นอีก จากนั้นศิศิราก็พูดคุยกับหญิงสาวคนนี้ต่อคร่าว ๆ จึงรู้ว่าเธอคนนี้จบการศึกษาระดับปวส. หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงสาขาการโรงแรมและท่องเที่ยว และก่อนหน้าก็ได้เที่ยวสมัครงานมาบ้างแล้วหลายที่ แต่ที่นี่เรียกสัมภาษณ์ก่อน จึงมาสัมภาษณ์วันนี้ในตอนบ่าย
เมื่อจัดการเอกสารเสร็จแล้ว ศิศิราจึงจะไปยื่นใบสมัครให้กับเจ้าหน้าที่ของรีสอร์ต เธอลุกขึ้นยืนแต่ ไม่ทันระวังจึงชนเข้ากับร่างใครบางคน เอกสารในมือจึงตกและกระจายไปตามพื้น
ศิศิราก้มลงเก็บเอกสารของเธอที่ตกไปตามพื้น ก่อนจะถึงแผ่นสุดท้าย...ก็มีมือของใครคนหนึ่งหยิบมันขึ้นมาถือให้พอดี หญิงสาวยืดตัวขึ้น สบตากับเจ้าของมือข้างนั้น...
วิมลสิริก้มมองแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งในมือ ก่อนจะเงยหน้ามองเจ้าของที่กำลังเดินตรงมาหา เธอมีความรู้สึกชนิดหนึ่งกับหญิงสาวคนนี้ขึ้นมาอย่างทันใด เป็นความรู้สึกในด้านลบเสียด้วย ซึ่งแม้ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนเลยสักครั้งก็ตาม แต่วิมลสิริก็หาเหตุผลไม่ได้เหมือนกันว่า
ทำไมถึงเป็นความรู้สึกในด้านนี้เมื่อแรกพบกับหญิงสาวที่กำลังยืนส่งสายตาปริบ ๆ ตรงหน้า กว่าหญิงสาวคนนี้จะเดินมาถึง เธอก็ก้มอ่านข้อความในกระดาษแผ่นนี้อีกครั้งคร่าว ๆ พอจับใจความได้ว่า เธอก็เป็นหนึ่งในหลาย ๆ คนที่จะมาสมัครงานที่นี่ ในตำแหน่ง รีเซพชั่น หรือพนักงานต้อนรับ
“เอ่อ...ขอกระดาษคืนด้วยค่ะ”
เสียงหวานใสดังขึ้น ปลุกให้วิมลสิริรู้สึกตัว เธอช้อนตาขึ้นมาสบกับดวงตาคู่หวานตรงหน้า ก่อนจะยื่นแผ่นกระดาษในมือคืนให้ด้วยรอยยิ้มหวานที่เสแสร้ง
“นี่ค่ะ”
หญิงสาวคนนั้น ยื่นมือมารับกระดาษกลับไป แล้วกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้มสว่างใสเจือความหวานชนิดหนึ่งกลับมา “ขอบคุณค่ะ”
วิมลสิริยิ้มน้อย ๆ แล้วถาม “มาสมัครงานที่นี่หรือคะ”
“ค่ะ”
“ขอให้โชคดีนะ...” อวยพรแล้วก็เดินจากไป อย่างไม่มองดูรอยยิ้มแห่งความยินดีที่อีกฝ่ายมีให้มา
ศิศิราเหลียวมองตามร่างระหง ในชุดแซคยีนส์แขนกุดเข้ารูปด้วยความนึกชื่นชมในหลาย ๆ อย่าง ทั้งความสวย ท่วงท่าเดินที่สง่าอันบ่งบอกถึงบุคลิกที่มั่นใจในตัวเองอย่างสูง เธอไม่ทราบหรอกว่า อีกฝ่ายเป็นใครที่
รีสอร์ตแห่งนี้ แต่ดูท่วงท่าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ การพูดทักทายพนักงานด้วยกันขอวที่นี่ ก็ทำให้ทราบว่า คงเป็นคนที่มีความสำคัญกับรีสอร์ตแห่งนี้ไม่น้อย
ศิศิรารีบปัดความคิดที่ว่า เธอคนนั้นคือใครออกจากหัวไปทันที เมื่อร่างระหงนั้นผลักประตูห้องทำงานห้องหนึ่งแล้วเดินหายลับเข้าไป เธอจึงเดินไปยื่นเอกสารสมัครงานต่อเจ้าหน้าที่ ใช้เวลาไม่นานอีกฝ่ายก็แจ้งเธอว่า เธอจะได้สัมภาษณ์งานตอนบ่ายนี้ หญิงสาวจึงกล่าวขอบคุณ แล้วผุดลุกขึ้นด้วยรอยยิ้มเพื่อกลับมานั่งรอที่เดิมด้วยความตื่นเต้นที่จะได้สัมภาษณ์งานต่อไป
หลังพักเที่ยง เธอรวมไปถึงคนที่มีนัดสัมภาษณ์งานในตอนบ่ายก็กลับมานั่งรอตามลำดับ บนม้านั่งหน้าห้องทำงานของผู้จัดการฝ่ายบุคคล โดยภายในห้องนั้นนอกจากเจ้าของห้องแล้ว ยังมีเจ้าของ
รีสอร์ตที่มาสัมภาษณ์งานเองด้วย ศิศิราไม่ทันพบเขา ตอนที่เขาเดินผ่านตรงม้านั่งนี้เหมือนใครคนอื่น เธอและเพื่อนใหม่ไปทานมื้อเที่ยงพอกลับมาเขาก็อยู่ในห้องทำงานนี้แล้ว
พอพูดถึงเพื่อนใหม่คนนี้ ต่างคนก็ทราบชื่อเล่นของกันละกัน แล้ว หญิงสาวคนนี้ได้เล่าเรื่องของตนเองให้เธอฟังบ้าง ส่วนศิศิราก็เล่าเรื่องของเธอให้อีกฝ่ายฟังคร่าว ๆ กระทั่งประตูห้องที่มีการสัมภาษณ์เปิดออก หญิงสาววัยกลางคนแต่งกายด้วยกางเกงผ้าสีดำ สวมเสื้อโปโลสีน้ำตาลเข้ม ปักตรารีสอร์ตตรงกระเป๋าเสื้อบนหน้าอก ได้เรียกชื่อจริงของใครคนหนึ่งขึ้น แล้วเพื่อนใหม่คนนี้ ก็ผุดลุกด้วยความตื่นเต้นตามทันที
“เราเข้าไปก่อนนะน้ำค้าง” เธอคนนี้เอ่ย
ศิศิราก็ไม่ลืมที่จะอวยพรให้ “โชคดีนะ แยม”
จากนั้นราว ๆ สิบนาทีได้ เพื่อนใหม่คนเดิมก็เปิดประตูเดินออกมาด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าโล่งอกที่สุด แล้วเดินตรงมาที่เธอนั่งรอต่อ “ตื่นเต้นมาก คุณเทียมเจ้าของรีสอร์ตสัมภาษณ์เอง ท่าทางเขาเป็นคนสุขุม สุภาพมาก น้ำค้างไม่ต้องกังวลนะ”
เพื่อนใหม่พยายามให้กำลังใจ เพราะลำดับถัดไปจะเป็นทีของศิศิราที่ต้องเข้าไปต่อ ตอนนี้เธอแค่รอให้หญิงวัยกลางคนเดิมนั้นเปิดประตูและเรียกเธอเข้าไป…
เทียมตะวันกำลังจะใช้ความคิด เพราะการประเมินหลังสัมภาษณ์งานเรียบร้อยแล้ว เขาจะใช้เวลาอยู่ราว ๆ ห้านาที เพื่อลงความเห็น ครั้นเรียบร้อย ชายหนุ่มจะให้สัญญาณให้คุณอรุณเรียกคนที่จะสัมภาษณ์ลำดับถัดไปเข้ามาได้ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นกำลังจะพยักหน้าให้คุณอรุณ ทว่า เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ใกล้มือได้ดังขึ้นมาก่อน เขาจึงกดรับ เพราะคนที่โทร. เข้ามาคือคนสนิท ซึ่งก็คือบิดาของวิมลสิรินั่นเอง
“ว่าไง…”
“ผมจะรายงานคุณเทียมว่า เจอร่องรอยของเธอคนนั้นแล้ว เธออยู่ในอำเภอเมืองนี่เอง”
“จริงหรือ!” น้ำเสียงของชายหนุ่มดูตื่นเต้นขึ้น เธอคนนั้นที่เขาตามหาอยู่ในจังหวัดนี้! และห่างออกไปเพียงไม่กี่สิบกิโลเมตรนี่เอง!
“ครับ”เทียมตะวันเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ แล้วหันไปทางผู้จัดการ พลางเรียก “คุณอรุณ เดี๋ยวสัมภาษณ์แทนผมที”
“ได้ค่ะ คุณเทียม”
มอบหมายงานแล้ว ชายหนุ่มลุกขึ้นด้วยความดีใจ เขากำลังจะผลักประตูห้องออกไป แต่นึกได้ว่าถ้าผ่านตรงโถงรับแขกของสำนักงาน จะทำให้คนที่นั่งอยู่ด้านนอกตื่นตกใจเปล่า ๆ เขาจึงเปลี่ยนใจ กลับมาใช้ประตูอีกประตูที่อยู่ด้านหลังของห้องทำงานแทน โดยมีสายตาของผู้จัดการฝ่ายบุคคลมองตามอย่างสนใจ
คุณเทียมดูเร่งรีบและตื่นเต้น …คงมีเรื่องสำคัญจริง ๆ สำหรับเขาแทรกขึ้นมา ผู้จัดการฝ่ายบุคคลปัดความคิดนั้นออก ก่อนจะเดินไปเปิดประตูเพื่อเรียกคนที่จะสัมภาษณ์ถัดไปเข้ามา…
“คุณศิศิรา เชิญค่ะ”
"ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ น้ำค้าง งานอื่นที่นี่ยังมีอีกเยอะ โชคดีที่อำเภอนี้เป็นอำเภอท่องเที่ยวของจังหวัด โรงแรม รีสอร์ตอื่น ๆ ก็ยังมีอีก"
ระมิตา...เพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันไปเมื่อไม่กี่วันก่อนได้โทร. มาถาม เรื่องงานที่ศิศิราได้ไปสัมภาษณ์วันนั้น ทีแรกอีกฝ่ายโทร. มาด้วยน้ำเสียงแห่งความยินดี ที่ได้รับการแจ้งกลับจากรีสอร์ตเทียมตะวันว่า ตัวเองผ่านการสัมภาษณ์งานทำให้ได้งานที่นั่นแล้ว จึงรีบโทร. มาถามศิศิราว่า อีกฝ่ายจะได้รับข่าวดีเหมือนกันหรือไม่ ทว่า...ศิศิราไม่ได้รับการแจ้งกลับใด ๆ จากทางรีสอร์ต จึงเป็นอันเข้าใจได้เองว่า ศิศิราไม่ได้งานจากที่นั่น
ถึงแม้รมิตาจะให้กำลังใจเธออย่างท่วมท้น... ซึ่งคงคิดว่าเธอนั้นจะต้องผิดหวังกับเรื่องนี้ แต่ศิศิรากลับไม่ได้รู้สึกผิดหวังอย่างที่อีกฝ่ายคิดนัก จริงอยู่เธออยากจะได้งานเร็ว ๆ เพื่อจะได้เริ่มต้นชีวิตได้เร็วขึ้น แถมบรรยากาศของ รีสอร์ตก็เป็นที่ที่เธอชื่นชอบเป็นพิเศษอีก แต่...เธอมักจะฝึกทำใจให้รับกับความผิดหวังที่เข้ามาในชีวิตได้อยู่แล้ว
ศิศิรา...ย้อนกลับไปนึกถึงเหตุการณ์ครั้งที่เธอนั่งสัมภาษณ์งาน ซึ่งหลังจากที่คุณเทียมมีธุระสำคัญแทรกขึ้นมา จากนั้นคุณอรุณก็ได้สัมภาษณ์เธอเอง
หลังจบการสัมภาษณ์ คุณอรุณยังกล่าวชมเธอในเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษที่ดีกว่าอีกหลายคนที่มาสมัครในวันนั้น มันจึงทำให้เธอมีความหวังขึ้นมาอีกนิด แต่แล้วก็ไม่เป็นอย่างที่หวัง เธอคิดว่าทางรีสอร์ตอาจจะมีเหตุผลในการรับเลือกคนในตำแหน่งนี้ นอกจากการใช้ภาษาอังกฤษได้ดีมาก เพราะหลายคนที่สมัครก็จบจากสาขาด้านนี้โดยตรง ทำให้พวกเขามีประสบการณ์และโอกาสมากกว่าเธอที่จบเพียง ม.6 ก็เป็นไปได้
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเรียกความหวังและกำลังใจให้ตัวเองอีกครั้ง ว่าชีวิตก็ยังต้องก้าวต่อไปข้างหน้าเสมอ...อย่ามัวแต่มาผิดหวังกับเรื่องเพียงแค่นี้จะดีกว่า
ดังนั้น ...หลังจากจัดการมื้อเช้าและเตรียมยาให้กับผู้เป็นป้า หญิงสาวก็ออกจากห้องพัก เพื่อตระเวนหางานใหม่ตามรีสอร์ต โรงแรมที่อยู่บริเวณนี้ ขณะกลับ เธอบังเอิญเจอป้ายรับสมัครพนักงานขายที่ร้านขายของที่ระลึกชื่อดังของอำเภอ ศิศิราจึงสอบถามรายละเอียดพร้อมกับให้เบอร์โทร. ติดต่อทิ้งเอาไว้ จากนั้นก็กลับห้องพักทันที
"อ้าว! น้ำค้างมาพอดีเลย ทำไม่ไม่พกโทรศัพท์นะ"
คำพูดแรกหลังจากที่หญิงสาวเปิดประตูห้องพัก ผู้เป็นป้านั่นเองที่นั่งรอเธออยู่โดยมีท่าทางกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด
"น้ำค้างไปถามเรื่องงานที่ร้านขายของที่ระลึกแค่นี้ เลยคิดว่าไม่พกจ้ะ ว่าแต่..."
"เมื่อกี้คนที่รีสอร์ตอะไรนะ เขาโทร. มานี่ บอกว่าให้น้ำค้างโทร. กลับเขาด่วน"
หญิงสาวทำหน้าฉงน เพราะคิดว่าเธอพลาดตำแหน่งงานที่ไปสมัครไว้เสียอีก ครั้นยื่นมือรับโทรศัพท์มือถือจากผู้เป็นป้าแล้วจึงโทร. กลับทันที
"ค่ะ"
"ค่ะ"
"ค่ะ...ตกลงค่ะ..."
นางปราณีมองบทสนทนาของหลานสาวที่มีเพียงเท่านี้ ก่อนอีกฝ่ายจะหันมาสบตากับผู้เป็นป้าด้วยสีหน้าเรียบ ๆ "มีอะไรล่ะน้ำค้าง..."
"ทางรีสอร์ตที่น้ำค้างไปสมัครและสัมภาษณ์งาน เมื่อหลายวัน ก่อนเขาโทร. กลับ ถามว่าอยากร่วมงานกับเขาไหม?"
"อ้าว ก็ดีสิ..."
"แต่ไม่ใช่ตำแหน่งที่น้ำค้างไปสมัครไว้นะจ๊ะป้า พอดีทางรีสอร์ต ขาดแม่บ้านห้องพักกะทันหัน เลยโทร. มาถามว่าหากสนใจให้น้ำค้างกลับไปคุยรายละเอียดภายในวันนี้"
"อ้าว แล้วน้ำค้างทำอย่างไร...อยากกลับไปทำงานกับเขาเหรอ"
"ก็ถ้าให้เลือก ...น้ำค้างเห็นเงินเดือนที่ทางนั้นเสนอให้ก็มากกว่าร้านขายของที่ระลึกใกล้ ๆ แถมสวัสดิการก็ดีกว่าด้วย"
"แต่งานแม่บ้านมันหนักนะ" นางปราณีแสดงความเห็นอย่างสงสารหลานสาว
"น้ำค้างไม่เลือกงาน" ศิศิราพูดพลางส่ายหน้า "...หนักกว่านี้ก็เคยทำมาแล้วนี่ ถ้าทำแล้วได้เงินพอใช้สำหรับเราสองคน และเมื่อมันเหลือ... น้ำค้างจะเก็บเพื่อจะใช้เรียนต่อ"
หญิงสาวคิดเช่นนี้ ผู้เป็นป้าเลยได้แต่อึ้ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง "ถ้าป้าไม่เป็นภาระเอ็ง..."
"โธ่...ป้าณี คิดอะไรอย่างนั้นล่ะจ๊ะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวน้ำค้างไปคุยรายละเอียดงานแล้วจะรีบกลับนะ เพราะเขาให้เวลาภายในตอนบ่ายนี้เท่านั้น"
"ทำไมรีบอย่างนี้"
"ทางรีสอร์ตคงต้องการคนทำในตำแหน่งนี้โดยเร็วล่ะจ้ะ..."
หญิงสาวเอ่ย... ก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าถือจัดการกับสภาพตัวเอง ด้วยการเปลี่ยนชุดและแต่งหน้าอ่อน ๆ เพิ่มเสียหน่อย แล้วจึงเดินออกจากห้องพักไป ท่ามกลางสายตาของผู้เป็นป้าที่ทอดมองหลานสาวด้วยความรักและสงสารเป็นอย่างยิ่ง...