ตอนที่ 2| น้ำค้าง...

3701 คำ
หลังจากเสร็จสิ้นงานเปิดเส้นทางบินใหม่แล้ว  เทียมตะวันก็ต้องเดินทางไปประชุมต่อที่แม่ฮ่องสอน ด้วยเครื่องบินส่วนตัว เวลานั้นวิมลสิริกำลังนั่งอ่านงานเอกสารต่าง ๆ แทนเจ้านายตรงที่นั่งตรงกันข้าม ที่โดยเจ้านายหนุ่มนั่งทอดสายตามองผ่านหน้าต่างของเครื่อง ส่วนงานที่เธอจะต้องอ่าน ก็รวมไปถึงอีเมล์จากการแจ้งปัญหาของสายการบินที่ส่งตรงมาจากลูกค้าเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ คุณเทียมอยากทราบปัญหาด้วยตัวเองให้มากที่สุด หากเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเจ้าหน้าที่พอแก้ไขได้ เขาจะปล่อยให้ลูกน้องจัดการแก้ไขไปตามหน้าที่ ตามสถานการณ์ แต่หากเป็นเรื่องใหญ่เขาจะไปจัดการด้วยตนเอง   วิมลสิริเงยหน้าจากอีเมล์ฉบับล่าสุดขึ้นมา แล้วเผลอมองใบหน้าของเจ้านายหนุ่มที่กอดอกทอดสายตามองดูแผ่นฟ้าเบื้องล่าง อันมีก้อนเมฆสีขาวจับตัวกันเป็นแผ่นใหญ่กระจายอยู่ตรงหน้า                                                หญิงสาวมองเจ้านายตนเองด้วยความรู้สึกหวั่นไหว …                   ไม่มีใครไม่หวั่นไหวหรอกนะ กับการได้อยู่ใกล้ชิดชายหนุ่มที่เก่ง หน้าตาหล่อเหลาคมเข้มเกือบตลอดเวลาเช่นเธอ แต่เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเวลาเขาอยู่ใกล้ผู้หญิง ทำไมเขาไม่เคยแสดงความหวั่นไหวใด ๆ ออกมา โดยเฉพาะอยู่กับเลขาฯที่ยังสาว สวย แถมเก่งอย่างเธอ นี่ถ้าเป็นผู้ชายที่อยู่ในวัยนี้ แล้วได้ทำงานอยู่ใกล้ชิดกับหญิงสาวเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงเช่นนี้ ป่านนี้คงถึงไหนต่อไหนกันแล้ว ใบหน้าของวิมลสิริร้อนวูบวาบกับความคิดนั้น เลยไม่ทันได้สังเกตว่า ผู้เป็นเจ้านายได้ละสายตาจากกรอบหน้าต่างของตัวเครื่อง เพื่อหันมามองใบหน้าของเธอนิด  ก่อนจะเอ่ยถามบางอย่างขึ้นมา                                                “คุณไม่มีแฟนหรือสิริ”                                                                 เสียงทุ้มที่ถามขึ้น ได้ทำลายความเงียบและความคิดอันเตลิดของเธอเสียสิ้น  วิมลสิริจึงตอบรับอย่างไม่ทันตั้งตัว  “คะ?” ตอบแล้วก็เห็นคิ้วเข้มทั้งคู่นั้นขมวดด้วยกันน้อย ๆ อย่างสงสัย เขาไม่รู้จริง ๆ หรือ ว่า…เธอทำงานให้เขาเกือบตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แทบไม่มีเวลาไปรู้จักใครคนอื่นอีก นอกจากเขา แต่เขายังถามเธออีกหรือ อีกทั้งเธอก็เคยแสดงความหวั่นไหว ยามที่อยู่ใกล้ชิดให้เขาเห็นมาหลายครั้งแล้ว มันน่าน้อยใจจริง ๆ !                                                                                              “มะ ไม่ค่ะ” ตอบแบบเสียงสั่นเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้อยใจเขาหรือเปล่า                                                                                              ขณะที่รู้สึกน้อยใจอยู่กับตัวเอง เสียงทุ้มนั้นก็ดังขึ้นมาอีก “ไม่มีจริง ๆ หรือ ไม่อยากจะเชื่อ…” “ไม่ค่ะ สิริยังไม่มีเวลาให้ใครในตอนนี้ เพราะชอบทำงาน  โดยเฉพาะ…ได้ทำงานกับคุณเทียม…” ตอบแล้วไม่วายที่จะเปิดเผยความในใจกลาย ๆ ต่อเขาด้วย    แต่อีกฝ่ายกลับหันไปมองวิวด้านนอกหน้าต่างแทน       ขณะที่เมฆยังจับตัวเป็นแผ่นสีขาวแผ่นใหญ่ตรงหน้า เขาได้เอ่ยเรื่องหนึ่งขึ้นมา เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยจะปริปากต่อเลขาฯคนนี้มาก่อนเลย        “ผมก็เคยมีลูกเมีย”                                                                                        วิมลสิริดูตกใจไปไม่น้อย เธอจ้องหน้าผู้เป็นนายด้วยความเคร่งเครียด เพราะเธอไม่เคยรู้ เธอทราบแต่ว่าเขาตัวคนเดียว เนื่องจากประวัติของเขาไม่แน่ชัด                                                                               หญิงสาวค่อย ๆ ถามเสียงเบา จนเกือบจะไม่ได้ยินด้วยซ้ำหากไม่ตั้งใจฟังดี ๆ “ละ...แล้วตอนนี้พวกเขา…”                   “ตายไปหมดแล้ว” เสียงตอบนั้นทุ้มลึก แววตาราวกับได้สะท้อนความเจ็บปวดให้กับคนที่นั่งตรงกันข้ามได้เห็น แต่ชายหนุ่มจะเจ็บปวดเพราะอะไร หรือเป็นเพราะการตายของพวกเขาหรือ เธอไม่อาจจะทราบได้                       เทียมตะวันหันหน้ามามองเลขาฯสาว พลางขยายความอีกนิด “ลูกสาว ตายเพราะป่วยหนัก…ส่วนเมีย…” เสียงทุ้มได้เงียบหายไปในลำคอ ใบหน้าคมเข้มก้มมองสองมือ พลันเสียงปืนในวันนั้นก็ดังก้องขึ้นมาในสองหู เขาเผลอกำมือแน่นขึ้นมาจนเส้นเลือดตามหลังมือปูดโปน วิมลสิริมองดูกิริยาของชายหนุ่ม ตอนพูดถึงเรื่องในครอบครัวกับลูกเขาดูเจ็บปวด แต่กับภรรยาเขาดูทั้งเจ็บปวดและแค้นอยู่ไม่น้อย หวังว่าการตายของเธอคนนั้น  คงไม่ใช่การตายแบบผิดธรรมชาติหรอกนะ!         ศิศิราล้างจานตรงอ่างล้าง ที่อยู่ระเบียงหลังห้องของห้องพัก พร้อมกับเหลียวมองผู้เป็นป้าที่กำลังหลับอย่างสนิทบนเตียงนอนในห้อง หลังจากกินข้าวและกินยาแล้ว อีกฝ่ายก็นอนพักด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางด้วยรถประจำทางมาหลายชั่วโมง  หญิงสาวถอนหายใจ พลางนึกถึงอดีตที่ผ่านมา ตั้งแต่ต้นจนถึงป่านนี้ เธอมีป้าปราณี หรือ ‘ป้าณี’ เป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะเธอกำพร้ามาตั้งแต่แบเบาะ โดยที่ป้าณีเคยเล่าให้เธอฟังว่า                         มารดาของเธอหนีตามผู้ชายคนอื่นไป ตั้งแต่ตอนที่เธออายุได้ไม่ถึงสองขวบปี  จากนั้นก็มีบิดาที่เป็นน้องชายของป้าณีเลี้ยงดูเธอมาเพียงลำพัง จากนั้นอีกสี่ปีต่อมา ป้าณีก็ไปรับเธอจากน้องชายคนนี้ มาเลี้ยงดูต่อ เพราะตอนนั้นพ่อของเธอป่วยเป็นมะเร็งปอด และเสียชีวิตต่อจากนั้นไม่นาน              ป้าณีนำเธอกลับมาเลี้ยงดูคู่กับลูกสาวคนโตของแก แกเคยมีลูกสาวอีกคนแต่ก็เสียไปก่อนหน้าที่จะไปรับเธอจากพ่อมาเลี้ยง พูดถึงลูกสาวคนโตของป้าณีจะมีอายุมากกว่าเธอห้าปี และพออายุเข้าสิบแปดย่างสิบเก้า ลูกสาวของป้าณีก็แต่งงาน และก็ย้ายไปอยู่กับสามีที่ต่างจังหวัด โดยที่ไม่เคยกลับมาเยี่ยมหรือส่งความช่วยเหลือใด ๆ ให้ผู้เป็นแม่เลย ศิศิราจำได้ว่า ตั้งแต่จำความได้ เมื่อมาอยู่กับป้าณีเธอก็มีชีวิตอย่างลำบาก มีอดบ้าง  อิ่มบ้าง แต่เธอก็ไม่เคยคิดท้อหรือน้อยใจในโชคชะตาเลย  และแม้ผู้เป็นป้าจะมีนิสัยค่อนไปทางปากร้าย แถมบางทีก็ชอบแสดงความโมโหเกรี้ยวกราดออกมา และยังชอบแอบขโมยเงินเก็บของเธอไปเล่นไพ่ หรือกู้หนี้ยืมสินให้เธอต้องตามใช้คืนประจำ  แต่ลึก ๆ แล้วป้าณีก็เป็นคนใจดีอยู่มาก   แม้จะเป็นคนที่ดูแย่ในสายตาใครต่อใคร แต่ศิศิราไม่เคยโกรธป้าเธอ เธอรักและให้ความเคารพป้าณีมากเพราะ หากไม่มีป้าณี  ชีวิตของเธอก็ไม่รู้จะเป็นอย่างไรเหมือนกัน                                                                          ในช่วงวัยเด็กจนมาถึงบัดนี้ ถึงจะมีชีวิตค่อนข้างลำบาก …แต่หญิงสาวยังมีความหวังเสมอว่า หากเธอเรียนจบ มีงานที่ดีทำ ป้าณีและเธอจะได้สบายขึ้น เพราะแม้จะยากจน…แต่ศิศิราก็ไม่เคยละทิ้งการเรียน เธอเชื่อมั่นอยู่เสมอว่า ‘การศึกษา’ จะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของเธอได้ แม้จะไม่ทำให้ความเป็นอยู่ของเธอเข้าขั้นเศรษฐี แต่คงสามารถให้เธอหลุดพ้นจากวงจรชีวิตที่แร้นแค้นอย่างนี้ไปได้ไม่มากก็น้อย                                                         เมื่อเห็นความสำคัญของการศึกษา ดังนั้น ตั้งแต่เด็กแล้ว ศิศิราจึงมุ่งมั่นตั้งใจเรียน เธอได้เข้าเรียนโรงเรียนขนาดเล็กในระดับประถม และต่อโรงเรียนมัธยมประจำเภอ แต่ตอนนั้นก็โชคร้าย เพราะชีวิตเธอเริ่มมีหลายปัญหาเข้ามารุมเร้า                                                              เนื่องจากป้าปราณีเริ่มป่วยและลูกสาวแกก็เริ่มทำตัวเหลวไหล ไม่ช่วยทำงานแถมยังมาผลาญเงินผู้เป็นแม่บ่อย ๆ จนทำให้ศิศิราต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน                                                                                 เธอจึงได้เรียนจบแค่ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เพื่อออกมาช่วยป้าณีทำงานทุกอย่าง ตั้งแต่ขายกับข้าว    รับจ้างล้างจานตามร้านอาหาร  รับจ้างซักรีดผ้า แต่ช่วงนั้น ศิศิราก็ยังไม่ทิ้งการเรียน เธอยังไปสมัครเรียนต่อที่การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย หรือที่เรียกว่า กศน. นั่นเอง สุดท้าย…เธอก็เรียนจบในระดับมัธยมการศึกษาปีที่ 6 จนได้                 หญิงสาวล้างจานใบสุดท้ายเสร็จสิ้น เป็นเวลาเดียวกันกับดวงอาทิตย์กลมโตตรงหน้ากำลังคล้อยลงต่ำไปที่เหลี่ยมภูเขาเบื้องหน้า …ช่างเป็นทัศนียภาพที่สวยงามเหลือเกิน                                                                      หญิงสาวยิ้มน้อย ๆ กับภาพเช่นนี้ และความตั้งใจดี ๆ ก็มีเติมเต็มอีกว่า ...ขอให้พรุ่งนี้ เธอจะไปสมัครงานที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งแถว ๆ นี้ พอได้ทำงานให้เรียบร้อย และทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง เธอจะสมัครเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นไปอีก หญิงสาวยิ้มอย่างสดใสขึ้น พร้อมกับวาดฝันด้วยหัวใจอันเปี่ยมสุข …แต่หารู้ไม่ว่า ชะตาชีวิตของเธอต่อไปจากนี้ จะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว                       พอเท้าที่เหยียบย่างลงบนพื้นที่สีเขียว อันมีอาณาเขตถึงสามสิบไร่แล้วความเมื่อยล้า ความเคร่งเครียดจากการทำงานและเดินทาง ได้ค่อย ๆ มลายหายไปสิ้น ดวงตาคู่คมของเทียมตะวันได้กวาดมองไปรอบ ๆ บริเวณด้วยความสุขใจ ...หากย้อนเวลาไปเมื่อหลาย ๆ ปีก่อนที่ตรงนี้ ก็เป็นเพียงเนินเขาที่ทิ้งเปล่ารกร้าง เพราะเจ้าของเดิมไม่ได้ใส่ใจจะเอาไปทำประโยชน์อื่นใดต่อ วันนั้นเขาขับรถผ่าน แล้วได้มองเห็นความสวยงามบางอย่างที่ซ่อนอยู่ตรงที่แห่งนี้ เพราะเป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์ใกล้จะตก แสงสุดท้ายของวันได้อาบไล้ทุกอย่างเป็นสีทอง ประกอบกับทิวเขาที่ซ้อนตัวเป็นแนวฉากหลังให้กับผืนทุ่งนากว้างไกลสุดลูกหูลูกตานั่นอีก… ช่างเป็นทัศนียภาพที่งดงามไม่ด้อยไปกว่าภาพวาดสวย ๆ ชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว                          เขาชอบความเงียบ สงบ ท่ามกลางธรรมชาติของพื้นที่แห่งนี้ เทียมตะวันจึงใช้ความเงียบ สงบ สวยงามเป็นจุดเด่นในการสร้าง        รีสอร์ตแห่งนี้ขึ้นมา  อันเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เขามีอยู่                                                           เริ่มแรกที่มาสร้าง เขาได้เนรมิตให้มีพื้นที่เป็นสนามหญ้าสีเขียวผืนใหญ่และมีต้นไม้ ดอกไม้ล้อมรอบอาคารที่พักที่ถูกสร้างในแบบโมเดิร์น ลอฟท์ที่เน้นความ โปร่ง สบาย แก่ผู้มาพัก  ไม่เว้นแม้กระทั่งล็อบบี้ของรีสอร์ตด้วย ที่เพียงก้าวเข้ามาก็จะพบกับวัสดุที่ใช้ตกแต่งในส่วนนี้เป็นวัสดุจากธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่คือไม้เพื่อให้ตัดกับผนังปูนเปลือยขัดมัน ขับให้บรรยากาศของล็อบบี้ดูสบายตาแก่ผู้ที่มาเยือน                                          ครั้นเทียมตะวันก้าวเข้ามาในล็อบบี้ พนักงานหญิงตรงเคาน์เตอร์รีบออกมาต้อนรับชายหนุ่มทันที   แต่เขาก็รีบยกมือเป็นเชิงห้ามไว้ก่อน เพื่อให้เธอกลับไปทำงานของเธอเสีย และเธอก็ยิ้มให้ ก่อนจะกลับไปทำหน้าที่ของตนตามเดิม เขาแค่มาเดินดูความเรียบร้อยด้วยตัวเองเท่านั้น เพราะยังไม่ถึงเวลาที่จะประชุมร่วมกับทีมงาน อีกอย่างเมื่อเดินทางมาถึงที่นี่ เขาจะไม่ตรงเข้าที่พักของเขาอย่างทันใด แต่เขาชอบเดินดูวามสวยงามของรีสอร์ต ที่สร้างมาจากน้ำพักน้ำแรงของเขาก่อน      ขณะที่เดินตรวจตราความเรียบร้อยรอบ ๆ  รีสอร์ต สายตาชายหนุ่มก็ไปจรดเข้ากับส่วนของออฟฟิศที่อยู่ด้านหลังรีสอร์ต เทียมตะวันเห็นกลุ่มคนชายหญิงแต่งกายสุภาพเรียบร้อยเรียงยืนรายอยู่ตรงหน้า เขาจึงหันไปถามวิมลสิริอย่างสนใจ               “วันนี้ที่รีสอร์ตมีอะไรหรือสิริ”                                                                “เหมือนจะเป็นการรับสมัครงานและสัมภาษณ์งานค่ะ”                   เทียมตะวันใช้ความคิดเล็กน้อย เดี๋ยว…เขามีประชุมกับทีมงานของเทียมตะวันรีสอร์ต เพื่อเตรียมรับมือกับงานที่จะมีเข้ามาอย่างมากมายในช่วงไฮต์ซีซั่นที่จะถึงนี้ อีกอย่างการขยายตัวของรีสอร์ตที่เขาได้สร้างอาคารที่พักเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง การรับจำนวนของทีมงานเพิ่มจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น                                                   เทียมตะวันหยุดเดิน แล้วหันมาถามวิมลสิริเพื่อความแน่ใจ  “บ่ายนี้ผมไม่ได้มีตารางนัดหมายอีกใช่มั้ย” “ค่ะ”                                                                                         “งั้น...ผมจะเป็นคนสัมภาษณ์งานเองแล้วกัน”                               “ค่ะ  สิริจะแจ้งให้พี่รุณทราบ”                                                     วิมลสิริรับคำ...ไม่ได้แปลกใจอะไรนัก เพราะแม้จะมีฝ่ายที่รับผิดชอบงานในส่วนนี้อยู่แล้ว แต่คุณเทียมของเธอ หากมีเวลาว่าง เขามักจะทำอย่างนี้เสมอ แม้กระทั่งการสัมภาษณ์งานเองที่สายการบิน เนื่องจากเขาให้เหตุผลว่า การได้รู้ความคิด ความต้องการของคนที่มาร่วมงานกับเขา มันทำให้เขาได้รับแรงบันดาลใจที่ดีกลับมาจากคนเหล่านั้นด้วย และเขาจะสามารถสัมผัสถึงความมุ่งมั่นของใครคนนั้นได้ว่า มีมากแค่ไหน ผ่านความคิด ทัศนคติ ชายหนุ่มอยากทำงานกับคนที่อยากมาร่วมงานกับธุรกิจ ในเครือเทียมตะวันด้วยความจริงใจ ไม่ใช่เฉพาะตำแหน่งงานใหญ่ ๆ แม้ระดับแม่บ้าน คุณเทียมยังสนใจที่จะอยากรู้ความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาเลย                                            ความจริงวิมลสิริก็ไม่เห็นด้วยนัก ที่คุณเทียมจะใส่ใจอะไรแบบนี้ เพราะสำหรับเธอแล้วมองเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ให้คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบตรงนี้จัดการจะดีเสียกว่า แต่บิดาเธอให้ข้อสังเกตว่า คุณเทียมผ่านอะไรในชีวิตมาค่อนข้างเยอะ ทั้งดีและร้าย ประสบการณ์หลายอย่างทำให้เขาอ่านคนออกอย่างง่ายดายว่า ใครเป็นคนทุ่มเท จริงจัง  ใครเหลาะแหละไม่เอาไหน  หนุ่มร่างสันทัด เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์ บนใบหน้าคมสันมีแว่นแดดสีชาปกปิดดวงตาทั้งสองของเขาอยู่ เขาแอบกอดอกมองดูผู้ที่มาสมัครงานและสัมภาษณ์งานอย่างเงียบ ๆ เขาชอบการเตรียมตัวและความตื่นเต้น  ความหวังที่มีอยู่ในดวงตาทั้งสองของคนเหล่านั้น เพราะเขาเคยผ่านจุดนั้นมา  เขาจึงเข้าใจความรู้สึกของการสมัครงานและการสัมภาษณ์งานได้ดี              ขณะที่เทียมตะวันยืนกำลังมองภาพชายหญิงในวัยหนุ่มสาวที่กำลังยื่นใบสมัครงานกับทางรีสอร์ตอยู่ จู่ ๆ ภาพวันคืนเก่า ๆ ก็ได้ย้อนกลับมาให้เขาคำนึงถึงอีกครั้ง…                                                                             เสียงหัวร่อต่อกระซิก พร้อมกับการเคลื่อนไหวยวบยาบของสองร่างที่นอนกอดกันภายใต้ผ้าห่มสีครีม ชั่วครู่…ผ้าห่มผืนดังกล่าวก็ถูกเปิดออก เผยให้เห็นหนึ่งดวงหน้าหวานนวลเนียน ที่มีดวงตาแห่งความสดใสขี้เล่นประดับอยู่ กับใบหน้าคมเข้มของชายหนุ่มในวัยยี่สิบกว่าปี มือเรียวของเธอแตะบนแผงอกแกร่งแล้วลูบไล้ ก่อนจะลอบยิ้มเล็กน้อยยามเห็นขนอ่อนตามแผงอกลุกชัน แล้วเธอจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อนตาม                                               “วุ้นยังไม่อยากลุกเลยนะคะเทียม”                                               มือหนาคว้าเอามือที่ซุกซนนั้นไว้  แล้วโน้มใบหน้าฝังจมูกโด่งลงบนกลุ่มผมนุ่มตรงหน้า พลางตอบไปว่า “เพื่ออนาคตของเราสองคนนะครับวุ้น”                        เจ้าของเรือนร่างเปลือยเปล่ากลมกลึงในวงแขนแกร่ง ช้อนสายตาหวานขึ้นมองวงหน้าคมที่มีเคราจาง ๆ ล้อมกรอบริมฝีปากหยักตรงหน้า และด้วยคำว่า ‘อนาคต’ ก็ทำให้เธอพอใจขึ้นมา ถึงเขาจะผละห่างจากเธอไปในวันนี้เกือบทั้งวัน แต่เขาก็ผละจากไปเพื่ออนาคตของเขาและเธอ  …เพราะชายหนุ่มกำลังจะออกไปสัมภาษณ์งานนั่นเอง                                            “แล้วเทียมจะกลับกี่โมงคะ วุ้นจะทำของอร่อย ๆ ไว้ให้”                               เธอถามอย่างเอาใจ ก่อนจะแนบใบหน้าลงบนอกแกร่งอันอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อของเขาอีกครั้ง                                                                 “เย็น ๆ คงกลับแล้วครับ วุ้นก็เตรียมทำของอร่อย ๆ ไว้ฉลองข่าวดีได้เลย”                                                                                                    “ค่ะ…” เธอตอบรับด้วยรอยยิ้มกริ่ม ก่อนจะเงยหน้าจุมพิตลงไปบนคางสาก ๆ ของเขา แล้วทั้งคู่ก็นอนกอดกระซับกันอีกชั่วครู่ก่อนที่ชายหนุ่มจะลุกจากเตียงนอนไป                                                                                     …นึกถึงตอนนั้น เขาก็เหมือนชายหนุ่มทั่ว ๆ ไป ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความ...ใฝ่ฝัน ที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้คนที่รัก ด้วยการก่อร่างสร้างตัว หวังจะสร้างครอบครัวที่เล็ก ๆ อันอบอุ่นกับ ‘เธอ’  คนนั้น แต่ทว่า… ทุกสิ่งทุกอย่างกลับพังทลายลงสิ้นในเวลาต่อจากนั้นอีกไม่นาน!                          นางปราณีค่อนข้างขัดใจไม่น้อย กับหลานสาวที่กำลังยืนแต่งหน้าอยู่หน้าบานกระจกภายในห้องพัก เธอเพียงแค่รวบผมยาวเข้าไว้ด้วยกัน ใบหน้างามใช้เพียงแค่แป้งฝุ่นธรรมดา ๆ ลูบไล้… ริมฝีปากคู่สวยก็แตะแต้มด้วยลิปกรอสสีอ่อน ๆ เท่านั้น                 นางปราณีนั่งมองดูหลานสาวได้สักพักก็ถอนใจ แล้วหันหน้าหนี "เฮ้อ!”    “ป้าณี เป็นอะไรไปจ๊ะ”  ศิศิราถาม พลางวางหวีที่ใช้แปรงผมลงไปตรงหน้า   อีกฝ่ายหันมาตอบแบบไม่สบอารมณ์ “ก็… หน้าตาออกจะสะสวย ทำไมถึงไม่รู้จกแต่งเนื้อแต่งตัวให้มันสวยกว่านี้นะ”                                ศิศิราพอจะเข้าใจผู้เป็นป้าขึ้นมา เธอเหลียวมามองตัวเองในกระจกอีกครั้ง วันนี้เธอสวมเสื้อเชิ้ตลายทางฟ้าสลับขาวแขนยาวเข้ารูป กับกระโปรงทรงเอสีดำสนิท เพื่อการไปสมัครงานที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง  ผมยาวสยายก็รวบให้เรียบร้อย เผยให้เห็นใบหน้ารูปไข่รับกับดวงตาหวานจมูกโด่งเป็นสัน                    ใบหน้าของเธอนั้น ว่ากันตามจริงถือว่าเป็นคนหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง แต่เธอก็ไม่ค่อยจะแต่งเนื้อแต่งตัวมากนัก หากเธอจะแต่งให้สมกับความต้องการของผู้เป็นป้า ปัญหาที่ศิศิราเหนื่อยหน่ายจะตามมาอีกก็คือเรื่อง ผู้ชาย ที่จะเข้ามาหาเธอในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งแบบดีและไม่ดี เธอเจอปัญหาเหล่านี้มาเกินพอแล้ว เช่น ครั้งหนึ่ง ที่เธอไปช่วยขายของในร้านชำแถวหมู่บ้าน เธอเคยโดนเจ้าของร้านชายลวนลามมา พอเถ้าแก่ผู้หญิงมาพบ เจ้าของร้านชายก็ใส่ร้ายหาว่าเธอให้ท่า เธอจึงถูกไล่ออกทันที แถมไม่ได้เงินค่าจ้างสักบาท                                                                                                        และเมื่อไปทำงานที่อื่นก็ไม่วายจะเจอปัญหาเดิม ๆ ถ้าไม่ถูกลวนลามก็ก็ถูกพูดจา ถูกมองเชิงแทะโลมให้เธอต้องพบกับความลำบากใจอยู่ร่ำไป      การแต่งกายธรรมดา ๆ อาจจะไม่ได้ป้องกันปัญหาเหล่านี้ให้กับเธอได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม แค่ทำให้มันลดลงบ้าง…ก็ยังดี                                       พูดถึงการรับจ้างทำงานในช่วงที่ผ่านมา แม้จะมีช่วงเวลาที่แย่ ๆ …แต่เธอก็มีช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิตอยู่เช่นกัน   นั่นคือ เธอได้เคยไปทำงานบ้านของอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยผู้หญิงท่านหนึ่ง ที่เป็นคนจิตใจดีมีเมตตามาก เพราะนอกจากจะจ่ายค่าจ้างให้กับเธอแบบสมน้ำสมเนื้อ ไม่เอาเปรียบแล้ว บางทีท่านก็คอยซื้อเสื้อผ้าใหม่ ๆ มาให้เธอด้วย                     และด้วยอาจารย์ท่านนี้มีสามีที่เป็นชาวต่างชาติ ทั้งคู่จึงคอยสอนภาษาอังกฤษให้กับเธออีกด้วย โดยที่เวลาทำงานอยู่ที่บ้านพักของท่าน เธอต้องใช้ภาษาอังกฤษ ทั้งพูด อ่าน เขียนเสมอ ทำให้ศิศิราได้ทักษะทางด้านภาษานี้มาอย่างเหลือเชื่อ                                                             และแม้ตอนนั้นจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเธอก็ตาม แต่ช่วงเวลาของคนเรามักจะมีระยะของมันอยู่เสมอ ทั้งช่วงแห่งความทุกข์หรือสุข เพราะหลังจากอาจารย์ท่านนี้เกษียณ ทั้งคู่ก็พากันไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ ศิศิราจึงต้องเปลี่ยนงานอีกครั้ง                                                                 “ป้าณีจ๋า”                                                                                 “อะไร” นางปราณีตกใจ เมื่อคิดอะไรอยู่ดี ๆ แม่หลานสาวคนนี้ก็ปราดมานั่งคุกเข่าลงตรงหน้า แถมฉีกยิ้มอย่างประจบให้อีก            "ป้าณีช่วยอวยพรน้ำค้างหน่อยสิจ้ะ”                                                           นางปราณีย่นหัวคิ้วทั้งสองเข้าหากัน แม้คำขอของหลานสาวคนเดียวจะไม่ใช่เรื่องยากเย็น ที่ตนต้องทำให้ แต่ด้วยความเป็นคนไม่ชอบแสดงออกซึ่งความรักความอ่อนโยนมาตลอด จึงทำให้นางปราณีรู้สึกขัดเขินไม่น้อย  ความแตกต่างระหว่างป้าและหลานก็อยู่ตรงนี้…                                    ศิศิรามักจะเป็นแบบนี้ คือแสดงออกซึ่งความรักกันแบบตรง ๆ แต่คนอย่างป้าณี… จะตรงกันข้ามกับหลานสาว นางเป็นคนค่อนข้างกระด้างกระเดื่องประเภทแข็งนอกอ่อนใน   จะไม่ค่อยแสดงความรักทางกายกับเธอ              ศิศิราเป็นหญิงสาวจิตใจดี มองโลกในแง่ดี เธอยิ้มสบตากับผู้เป็นป้าอย่างมีความหวัง สุดท้ายเธอจึงได้รับ สัมผัสอันอบอุ่นบนศีรษะของเธอจนได้ เมื่อป้าณีวางฝ่ามือลงมา แม้เสียงที่เอ่ยตามมาจะเบาเต็มที แต่ก็ทำให้ศิศิรามีความสุขเหลือเกิน                                                                                     “ป้าขอให้ … เอ็งโชคดี”                        ศิศิราเงยหน้าขึ้นมายิ้ม ก่อนจะรู้ว่าอีกฝ่ายก็มีฟอร์มไม่น้อย  เพราะป้าณีของเธอ รีบเปลี่ยนท่าทีและคำพูดทันที “…เพราะจะได้มีเงินมาให้ป้าใช้เยอะ ๆ ต่างหากล่ะ”                                                                                       ก่อนจะลุกขึ้น ศิศิราอดที่จะโอบสองแขนรวบเอวหนาของผู้เป็นป้าไม่ได้ แล้วบอกด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความหวังว่า “ป้าณีรอฟังข่าวดีนะจ๊ะ น้ำค้างสัญญาว่า จะทำทุกอย่างเพื่อให้ป้าณีมีความสุข  สบายขึ้นจ้ะ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม