สร้อยทองคำขาวเส้นหนึ่งที่มีจี้เพชรรูปหยดน้ำพราวตาด้วยแสงประกายระยิบ เพราะได้รับการเจียระไนขึ้นมาจากเพชรแท้ชั้นดี มือหนาที่ถือสร้อยเส้นนี้เอาไว้อยู่ในมือ ได้ขยับเบา ๆ ให้จี้รูปหยดน้ำได้เคลื่อนไหวต้องกับแสงตะวันที่สาดส่องมาจากหน้าต่างของห้องพัก จนประกายเพชรนั้นพราวระยับขึ้นไปอีก
ชายร่างสูงใหญ่เจ้าของมือหนาข้างนั้น ได้พินิจดูสร้อยเส้นนั้นนี้ในมืออีกครั้ง ก่อนจะเลื่อนลิ้นชักออกมาเพื่อเก็บสร้อยเส้นนี้ไว้ในกล่องที่บุด้วยผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้ม แล้วก็เลื่อนลิ้นชักเข้าไว้ที่เดิม
เสียงประตูของห้องพักที่เปิดออกอย่างเบา ๆ ทำให้ร่างสูงของเจ้าของห้อง ค่อย ๆ หมุนตัวกลับมามอง ก็เห็นชายร่างสันทัดผิวคล้ำวัยห้าสิบเศษได้มายืนกลางห้องด้วยท่าทางสงบ ผู้ที่มาใหม่ยังไม่เอ่ยอะไรรอจนกว่าเจ้าของห้องติดกระดุมตรงแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบร้อยก่อน แล้วเขาจึงถามด้วยเสียงทุ้มกังวานสั้น ๆ ว่า
"ว่าไง..."
"ไม่พบครับคุณเทียม ร่องรอยสุดท้าย บอกว่าเธอย้ายไปเมื่อหลายเดือนก่อนแล้วครับ"
"เพราะหนีหนี้..." เสียงทุ้มถามกลับแบบขื่น ๆ บนใบหน้าคมคร้ามที่มีไรหนวดเคราจาง ๆ ล้อมรอบ มุมปากหยักได้รูปนั้นขยับยกขึ้นเล็กน้อย คล้ายจะยิ้ม... แต่ก็ไม่ใช่
"ตามต่อไป มีร่องรอยอะไรที่เกี่ยวกับเธอ ต้องตามร่องรอยนั้นให้หมด แม้จะใช้คน ใช้เงินเท่าไหร่ก็ตาม"
เสียงทุ้มกังวานเอ่ยต่อ พร้อมกับหมุนตัวกลับเอื้อมมือหนาไปคว้าเอาเสื้อสูทสีเข้มที่พาดกับพนักเก้าอี้ขึ้นมาสวมทับกับเสื้อเชิ้ตสีขาว สายตาคู่คมกล้ามองออกนอกห้องพักผ่านระเบียงกว้าง... ประกายแววตาทั้งคู่ของเขาในยามนี้ดูเจิดจ้าขึ้นทุกครั้ง เมื่อได้พูดถึงเรื่องตามหาใครคนหนึ่งขึ้นมา เพราะแววตาเช่นนี้แหละที่ได้แสดงถึงความมุ่งมั่น ความตั้งใจของเขานั่นเอง
"ครับ" ผู้ติดตามรับคำเบา ๆ เหมือนเจ้านายจะเข้าใจดีอยู่แล้ว จึงไม่เอ่ยถามอะไรอีก เมื่อรายงานเรื่องสำคัญเสร็จก็ค้อมตัวลงเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อย ๆ เปิดประตูเดินออกจากห้องพักนี้ไป
เจ้าของห้องยืนหลับตาลงชั่วครู่...พร้อมถอนหายใจ เนื่องจากการตามหาใครสักคนในโลกนี้ที่ว่ายากแล้ว แต่การตามหาคนที่เจอหน้ากันเพียงสองครั้ง และรู้ชื่อเพียงชื่อเล่นเท่านั้น ถือว่าเป็นเรื่องยากกว่า!
แต่...เขาก็ไม่เคยย่อท้อที่จะตามหา 'เธอคนนั้น' เธอ...ที่เสมือนความชุ่มเย็นของจิตใจ และเป็นเพียงคนเดียวที่ฉุดเขาขึ้นมาจากหลุมดำแห่งความอ่อนแอสิ้นหวัง ต่อให้เขาจะต้องผิดหวังกับการหาเธอไม่พบสักกี่ครั้งกี่หนก็ตาม
เขาก็จะไม่ยอมแพ้!
.
"เป็นยังไงบ้างคะ พ่อ"
น้ำเสียงเรียบ ๆ นั้นถามขึ้น ทำให้ชายร่างท้วมศีรษะล้านที่กำลังปิดประตูห้องพักห้องหนึ่งเงยหน้าขึ้นมาขึ้นมองเจ้าของเสียงนั้น ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นบุตรสาวของตนนั่นเอง
"ก็ไม่เป็นยังไง คุณเทียมก็รับทราบ แต่ก็ไม่ว่าอะไรอีก แค่บอกว่าให้ตามหาต่อไป..."
"มันไม่ง่ายเลยสักนิดเลยนะคะพ่อ ที่ต้องตาม หาคน ๆ หนึ่ง..." ลูกสาวแสดงความเห็นต่อด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ กี่ครั้งกี่หนมาแล้วที่ชายหนุ่มที่อยู่ในห้องพักหรูตรงหน้า ต้องคว้าน้ำเหลวในเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่ย่อท้อ
ใช่...เขาไม่ย่อท้อหรอก แต่คนที่คอยทำงานในเรื่องนี้ให้ต่างหาก ที่เริ่มท้อ และเหนื่อยล้ากันแล้ว
ผู้ที่เป็นพ่อพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยกับความคิดของลูกสาว "ใช่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกกับการตาม หาคน ๆ หนึ่ง โดยที่มีเบาะแสเพียงเล็กน้อยเท่านั้น"
"ทำไม คุณเทียมถึงต้องตามหา...เอ่อ คน ๆ นั้นมาตลอด" หญิงสาวร่างสูงโปร่งเอ่ยถาม พลางขยับเท้าเข้ามาหาผู้เป็นพ่อ ซึ่งเธอก็ไม่ทราบที่มาที่ไปของเรื่องนี้มากนัก และคิดว่าผู้เป็นพ่อที่ได้ติดตามคุณเทียมมาก่อนคงทราบอยู่บ้าง
"เพราะ คุณเทียมบอกว่าคน ๆ นั้นเป็นผู้มีพระคุณของคุณเทียมยังไงล่ะ"
ผู้เป็นลูกจึงพยักหน้ารับทราบ "เพราะอย่างนี้นี่เอง..."
วิมลศิริ...ไม่รู้หรอกว่า นอกเหนือจากที่บอกว่า คน ๆ นั้นเป็นผู้มีบุญคุณต่อคุณเทียมมาก่อนแล้ว คน ๆ นั้นยังมีความหมายต่อชายหนุ่มผู้นี้อีกด้วย แต่เพราะเขาไม่ได้บอกให้ใครอื่นรู้มากนัก เพียงแต่บอกเหตุผลของการตามหาใครคนหนึ่งแค่ว่า ...เป็นผู้มีพระคุณกับเขาเท่านั้นเอง
ที่เธอไม่รู้อะไรมาก เพราะเธอก็เพิ่งมารู้จักคุณเทียม เมื่อไม่กี่ปีนี่เอง เนื่องจากก่อนหน้านี้บิดาของเธอได้ไปทำงานกับเขาในฐานะคนที่ติดตามชายหนุ่ม ตอนนั้นคุณเทียมเพิ่งเปิดบริษัททางการด้านเงิน ซึ่งก็เป็นหนึ่งในบริษัทของหลาย ๆ บริษัทที่คุณเทียมมีอยู่... จากนั้นพอเธอเรียนจบ บิดาเธอจึงให้เธอมาช่วยงานเขาในฐานะเลขาฯ ของเขา
ใช่...เขาคนนี้ชื่อ
เทียม
หรือ
เทียมตะวัน
อันมีประวัติไม่แน่ชัด เพราะความเป็นมาในแง่ลึกของเขาไม่มีใครรู้ ที่รู้ก็แค่ว่า เขาเป็นชายหนุ่มผู้มุ่งมั่นทำทุกอย่าง เพื่อถีบตัวเองให้พ้นจากความยากจน...ไร้บ้าน ไร้ทรัพย์สิน จนเขาได้ขึ้นมาอยู่แถวหน้าของนักธุรกิจมีชื่อ ...จากธุรกิจต่าง ๆ ที่สร้างชื่อเสียงให้เขาได้มากที่สุดก็คือ เขาเป็นเจ้าของสายการบินภายในประเทศที่กำลังสร้างกำไรมหาศาลในระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา
แน่นอนเขาไม่ได้ดำเนินการเพียงแค่ธุรกิจสายการบินเท่านั้น แต่เขาก็ยังมีธุรกิจต่าง ๆ ที่ต้องดูแลควบคู่ไปอีกด้วย ชื่อของเทียม หรือเทียมตะวันจึงค่อย ๆ เป็นที่รู้จักขึ้นมาในนามนักธุรกิจ และเพราะความที่ที่มาที่ไป
ของเขาไม่แน่ชัด จึงมีการก็ร่ำลือกันว่า เบื้องหลังเขาได้ทำธุรกิจมืดมาบ้าง... เขาเป็นมาเฟียคนหนึ่งบ้าง และใช้ธุรกิจต่าง ๆ มาเป็นฉากหน้าเท่านั้นเอง
วิมลศิริหมุนกายกลับไปมองห้องพักหรูตรงหน้าอีกครั้ง หลังจากผู้เป็นบิดาเดินจากไปทำงานต่าง ๆ ของตัวเองตามเดิมแล้ว สายตาของหญิงสาวที่ทอดมองผ่านประตูห้องพักนั้นแฝงไปด้วยแววแห่งความล้ำลึก ที่หญิงสาวคนหนึ่งจะมีต่อชายหนุ่มที่เธอชื่นชม
แล้วเธอก็ถอนหายใจเบา ๆ เมื่อเกิดความรู้สึกยอกแสลงเสียดแทงขึ้นมาที่ใจ ...เธอหลงรักเขามาตลอด นับตั้งวันแรกที่เจอเขา วันบิดาเธอพาเขามาทานข้าวเย็นที่บ้าน
ตอนนั้นเธอเพิ่งเรียนอยู่ปีสองของมหาวิทยาลัยมีชื่อของเชียงใหม่ แต่...ชายหนุ่มผู้เงียบขรึมและเก็บตัวคนนี้ ก็ไม่เคยมองเห็นสายตาเช่นนี้ของเธอที่มีต่อเขาเลย อย่าว่าแต่เธอ แม้แต่หญิงสาวที่เฉียดกรายเข้ามาในชีวิตเขา เขาก็ไม่เคยจะสนใจมองใครเลย พานให้เธออยากรู้ว่า ใครคนหนึ่งที่เขาระดมคนตามหามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา จะเป็นหญิงสาวที่นั่งอยู่ในใจเขาหรือเปล่า...
วิมลศิริก็ไม่อาจรู้ได้ นึกอยากเห็นหน้าหญิงสาวคนนั้นขึ้นมา เพราะหลายต่อหลายครั้ง ที่เธอเฝ้าเพียรถามผู้เป็นพ่อ ขอดูใบหน้ารูปร่างของผู้หญิงคนนั้น แต่ด้วยความที่เป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์ของผู้เป็นพ่อ ก็ไม่ยอมให้เธอดูสักที ได้แต่บอกว่าเป็นความลับ คุณเทียมไม่ต้องการให้ใครมาทราบเรื่องนี้มากนัก เท่านั้นเอง
วิมลศิริได้แต่เก็บความกังขาและขุ่นมัวต่อเรื่องนี้เอาไว้ในใจเพียงลำพังเรื่อยมา
วันนี้มีการฉลองเปิดเส้นทางการบินใหม่อีกเส้นของสายการบิน
เทียมตะวัน แอร์ไลน์
หญิงสาวในชุดเดรสรัดรูปสีแดงเลือดนกทั้งตัว กำลังทอดสายตามองชายหนุ่มเจ้าของสายการบินแห่งนี้อยู่ห่างจากเวทีขนาดเล็กที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาเพื่องานอี้เว้นท์เล็ก ๆ นี้โดยเฉพาะ
แม้จะเป็นงานอี้เว้นท์ขนาดเล็ก แต่
เทียมตะวัน แอร์ไลน์
ก็กำลังถูกจับตามองจากสายตานักธุรกิจด้วยกันอยู่ไม่น้อย กับความประสบผลสำเร็จในการดำเนินธุรกิจเพียงไม่กี่ปีของที่นี่
ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำสนิทเข้ารูป ใบหน้าชายหนุ่มคนนั้นประดับด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ ตามแบบฉบับ แว่นกันแดดสีดำที่ปกปิด ภายใต้ดวงตาที่ไม่ค่อยเปิดเผยให้ใครเห็นมากนัก เพราะคุณเทียมมักชอบใช้แว่นสายตากันแดด ไม่ว่าสีดำหรือสีน้ำตาลปกปิดดวงตาทั้งคู่ของเขาอยู่เสมอ
ไม่กี่ครั้งที่เขาจะถอดแว่นตาออก และจะทำให้คนสบอ่อนระทวยได้อย่างเหลือเชื่อ ซึ่งเธอก็เคยโดนกับตัวมาแล้วหนหนึ่ง เมื่อสองปีก่อนที่ได้สัมภาษณ์การทำงานที่สมบุกสมบันในช่วงที่เขาเปิดสายการบินใหม่ ๆ และยังไม่เป็นที่รู้จักเท่ากับตอนนี้
เขาเป็นผู้ชายที่มีแรงดึงดูดต่อเพศตรงกันข้ามอย่างมหาศาล ด้วยช่วงไหล่กว้างเป็นที่น่าซบอิง รูปใบหน้าคมสันดังชายไทยแท้ นวดเคราล้อมกรอบรอบริมฝีปากหยักสีน้ำผึ้งน่า...
นักข่าวสาวตวัดมือปิดปาก...ยามคิดเตลิดอยากแนบริมฝีปากฉ่ำลงไปบนฝีปากหยักได้รูปนั้นบ้าง
ละจากริมฝีปาก...จากนั้นดวงตาคู่เย้ายวนได้เรื่อยลงมาตรงช่วงลำตัวที่บึกบึน ไม่ผอม ไม่อ้วนกำลังดี กล้ามแขนขาที่หนั่นเนื้ออุดมไปด้วยกล้ามเป็นมัด ๆ จากที่เคยเห็นเขาใส่กางเกงขาสั้น และเสื้อกล้ามเวลาต่อยมวย...
ใช่...คุณเทียม ชอบกีฬามวยเป็นชีวิตจิตใจ เพราะครั้งที่เธอเคยสัมภาษณ์เขาคราวนั้น เขาเคยพาเธอไปดูเขาต่อยมวยและถ่ายภาพเพื่อประกอบการสัมภาษณ์ ด้วยแววตา ใบหน้าที่จริงจังยามชกมวยบนเวที ขับให้เขามีเสน่ห์มากกว่าเดิมอีก
เทียมตะวันได้มอบของที่ระลึกให้กับผู้โดยสารที่โชคดีของเส้นทางการบินที่เปิดใหม่ และกำลังถ่ายภาพร่วมกับผู้โชคดี ใบหน้าคมมีหนวดจาง ๆ ล้อมกรอบริมฝีปากหยักสีน้ำผึ้งอ่อนได้รูปกำลังยิ้มน้อย ๆ ให้กับช่างภาพ
นักข่าวสาวพราวเสน่ห์…ยืนทอดสายตามองชายหนุ่มคนนั้นมาเป็นเวลาระยะหนึ่ง อย่างไม่ละสายตา แต่ยามที่เลื่อนสายตาไปเจอหญิงสาวที่ยืนข้างกายก็เขา เธอก็มักจะอารมณ์เสียทุกที เพราะหญิงสาวร่างสูงโปร่งสวยผู้นั้น จะมีแววตาขวางยามตวัดมองเธอทุกครั้ง!
แต่แม่นักข่าวสาวก็หาสนใจไม่ ที่เธอสนใจคือเขาต่างหาก…คุณเทียม
เขายังไม่มีครอบครัว ก็หมายถึงยังไม่มีการผูกมัดกับใคร และไม่เคยมีหญิงสาวคนไหนปรากฏตัวเคียงข้าง (ยกเว้นแม่เลขาฯหน้าตึงนั่นคนเดียว!) เขามาก่อนเลยสักครั้ง หากเธอได้เป็นหญิงสาวที่ได้เคียงข้างเขาไปไหนทุก ๆ ที่จะโชคดีแค่ไหนนะ
ไม่แน่…คืนนี้…นอกจากงาน เธออาจจะได้อะไรกลับไปด้วยก็ได้
เสร็จสิ้นกับการมอบของที่ระลึกให้กับผู้โดยสาร นักข่าวสาวที่รออยู่แล้วจึงปรี่เข้าไปสัมภาษณ์ชายหนุ่มที่เตรียมจะเดินลงเวทีทันที
“สวัสดีค่ะคุณเทียม แอนนา มาจากสำนักข่าว
BN News
แอนนาขอสัมภาษณ์คุณเทียมหน่อยนะคะ”
"ได้ครับ" เขารับคำพลางยิ้มน้อย เหลียวมองอะไรสักอย่างก่อนจะยกมือเชิญหญิงสาวไปอีกที่หนึ่งของงาน เพื่อหามุมที่เงียบกว่านี้คุยกัน "มุมนี้เสียงดังจอแจ เชิญตรงนั้นดีกว่าครับ เงียบกว่าตรงนี้”
แล้วยิ้มตรงมุมปากเดินนำนักข่าวสาวไปทางมุมนั้น เพราะมีเก้าอี้สองตัวและโต๊ะทรงกลมตั้งอยู่ โดยที่แม่เลขาฯสาวไม่สามารถติดตามเขาไปได้ เพราะช่วงนั้นมีลูกค้าท่านหนึ่งเดินมาขอถ่ายรูปกับหล่อนอยู่!
วิมลสิริเดินไปหาเจ้านายหนุ่ม ภาพของแม่นักข่าวสาวนั่นทำให้เธอขวางหูขวางตาขึ้น กริยาหัวร่อต่อกระซิกยามพูดคุยกับคุณเทียม เมื่อมีโอกาส วิมลสิริจึงรีบเดินเข้าไปขัดบรรยากาศของหล่อนและคุณเทียมทันที
"คุณเทียมคะ ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้วนะคะ"
เสียงเรียบ ๆ ของเลขาฯสาวดังแทรก ทำให้เทียมตะวันต้องยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาดูนาฬืกา พลางเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยตัดบทกับนักข่าวแสนสวยอย่างสุภาพ "ผมต้องรีบไป เพราะมีงานต่อจากนี้ ต้องขอตัวก่อนนะครับคุณแอนนา"
หญิงสาวยิ้มหวานให้อย่างมีมารยาท ทั้ง ๆ ที่ใจยังไม่อยากให้เขาผละจากเธอไปไหนเลย "ค่ะ ขอบคุณคุณเทียมมากที่ให้สัมภาษณ์นะคะ"
ชายหนุ่มยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
พอเห็นแม่เลขาฯสาวลุกขึ้นตาม และทำท่าเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ โดยการจะเรียกคุณเทียมเอาไว้ วิมลศิริจึงปราดมาขวาง พลางเอ่ยว่า
"มีอะไรอยากทราบเพิ่ม ถามสิริได้ค่ะ เพราะสิริรู้ทุกเรื่องของคุณเทียม" เน้นย้ำคำว่า ...รู้ทุกเรื่อง...เพื่อให้แม่นักข่าวหมั่นไส้เล่น ๆ
นักข่าวสาวยิ้มให้เล็กน้อยอย่างเสียไม่ได้ กับคำกล่าวทำนองแสดงความสำคัญของตัวเองเช่นนั้น ก่อนจะบอก "อ้อ! ไม่รบกวนคุณสิริหรอกค่ะ เพราะแอนนาก็ได้ข้อมูลที่ต้องการครบถ้วนหมดแล้วจากคุณเทียมเช่นกัน ขอตัวนะคะ" แล้วก็ก้มหยิบเอากระเป๋าสะพายและอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงานขึ้นมา หมุนตัวเดินจากแม่เลขาฯที่แสนจะหวงเจ้านายสุดหล่อไป
พลางนึกในใจว่า
ครั้งหน้า เธอจะไม่ให้คุณเทียมผละออกไปได้ง่าย ๆ เช่นครั้งนี้อีกแล้ว!
ประตูห้องที่เปิดออก ทำให้เกิดแสงสว่างขึ้นมาภายในห้องพักขนาดเล็ก ที่เหมาะอาศัยอยู่กันเพียงสองคน หญิงสาวผมยาวที่รวบเข้าไว้ด้วยกันอย่างลวก ๆ ก้าวเข้ามาภายในห้อง พร้อมกับกวาดสายตามองรอบ ๆ ด้วยความพึงพอใจ แม้ขนาดของห้องที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสจะดูเล็กไปสักหน่อย ที่จะใช้พำนักกันเพียงสองคน ทว่า ด้วยข้อจำกัดต่าง ๆ ที่เกิดในเวลานี้...สำหรับเธอนั้น...ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว...เพราะ แค่สักระยะหนึ่งเท่านั้น ที่เธอจะอยู่ที่นี่ และพอทุกอย่างลงตัวแล้ว ค่อยขยับย้ายไปในภายหลัง
กลิ่นอับชื้น เสียดแทงขึ้นมาในอากาศ ทำให้ร่างท้วมที่เดินตามเข้ามาในห้อง ต้องใช้มือแตะลงปลายจมูก พร้อมนิ่วหน้า
"ห้องก็แค่นี้...เล็กเท่ารูหนู...แต่ค่าเช่าแพ๊ง แพง"
หญิงสาวร่างบอบบางหันหลังกลับมา พลางยิ้ม แล้วบอก "สมัยนี้ค่าเช่าห้องพักก็อยู่ราว ๆ นี้แหละจ้ะ...ป้าณี" ก่อนจะเดินตรงไปยังโต๊ะรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ตั้งติดผนัง แล้ววางกระเป๋าเสื้อไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็เดินขยับไปเปิดหน้าต่างของห้อง...
สายลมเย็นพัดกระทบกับใบหน้าหวาน...จากที่เคยเหน็ดเหนื่อยเพราะการเดินทาง เธอก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด...แม้ตัวของห้องพักจะอยู่เพียงชั้นสามของตึก แต่ก็ทำให้เธอมองเห็นความสวยงามรอบ ๆ ตัวอำเภอเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ดี
เสียงไอแค่ก ๆ ที่ดังขึ้น ทำให้หญิงสาวที่จมดิ่งกับทัศนียภาพตรงหน้าต้องรีบหันหลังกลับไปทันที
"แค่ก ๆ!"
"ป้า...ป้าณี!"
ผู้ที่นั่งกำลังทรุดนั่งบนเก้าอี้ ดูมีสภาพอิดโรย เห็นหลานสาวรีบเดินมาหาด้วยสีหน้าเป็นห่วง จึงรีบส่ายหน้า พลางบอกว่า
"ป้าไม่เป็นไร นี่ น้ำค้าง…เปลี่ยนห้องก็ได้นะ ถ้ามันแพง"
หลานสาวที่คุกเข่าลง เอื้อมมือจับมืออวบตรงหน้าแล้วตอบ "แต่เป็นห้องที่ถูกที่สุดของห้องพักแถวนี้แล้วนะจ๊ะ"
ผู้ที่นั่งบนเก้าอี้ถอนใจ แล้วทอดมองวงหน้าอ่อนหวานของหลานสาว ก่อนจะหันหน้าหนีแล้วบอก "เงินน่ะเหลือเท่าไหร่กันเชียว"
"ก็...พอให้จ่ายค่าห้อง ค่ากินของเราสองคนอีกสักสองเดือนล่ะจ้ะ"
หญิงสาวตอบแล้วรีบยิ้มเพื่อให้คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ได้รู้สึกสบายใจขึ้น "แต่...ป้าณีไม่ต้องห่วงนะ วันพรุ่งนี้น้ำค้างจะไปหางานแถว ๆ นี้ดู อ้อ! มีคนบอกว่ามีรีสอร์ทแถว ๆ นี้จะเปิดใหม่ เขากำลังรับสมัครงานอยู่จ้ะ"
อีกฝ่ายหันหน้ามามองผู้ที่คุยเจื้อย ๆ ทันที พลางย่นหัวคิ้วทั้งสองเข้าด้วยกันเล็กน้อย "วุฒิแค่ม.6 ของ กศน. จะทำอะไรได้"
"ใครบอกว่าจะทำอะไรไม่ได้ล่ะจ้ะ เป็นแม่บ้านก็ได้"
ผู้ที่อยู่ในฐานะป้าถอนหายใจ ก่อนจะปรารถออกมาว่า "ชีวิตเอ็งถ้าไปอยู่กับคนอื่นคงได้ดีกว่านี้"
"ถ้าให้น้ำค้างไปอยู่ที่อื่น แล้วใครจะดูแลป้าณีล่ะ"
นางปราณีหันหน้ามามองวงหน้าหลานสาว แล้วรู้สึกสะท้อนใจ รู้สึกผิดขึ้น เพราะเมื่อก่อน ตอนที่โรคหัวใจตัวเองไม่กำเริบ ตนได้ ด่าทอ ทุบตี หลานสาวคนนี้ตลอด เพราะช่วงนั้นที่ไม่ล้มป่วย ตัวเองติดการพนัน เล่นไพ่ เล่นไปเล่นมาเงินเริ่มหมด ร่อยหรอ จึงไปหยิบยืมเงินคนอื่นมาใช้ มาก ๆ เข้าก็เป็นเงินก้อนโตไม่น้อย ทีแรกก็สามารถผัดผ่อนการใช้คืน แต่ ตนก็แอบเอาเงินหลานสาวคนเดียวไปเล่นไพ่ด้วย พอไม่มีเงินจึงได้ย้ายหลักแหล่งไปเรื่อย ๆ เพื่อหนีเจ้าหนี้ หากเป็นเจ้าหนี้ธรรมดาตนก็ไม่ห่วงมาก แต่...บางรายก็หวังเนื้อตัวจากหลานสาวคนนี้ด้วย
จริงอยู่ แม้ตนไม่ได้เป็นป้าที่แสนดีนักของหลานสาวคนนี้ แต่ก็ไม่เคยคิดจะขายหลานสาวกินเช่นกัน !
นางปราณีนึกย้อนถึงหลายปีก่อนด้วยอาการน้ำตาคลอ เริ่มจากที่ตนเริ่มมีอาการเจ็บป่วย หลานสาวคนนี้ก็พาไปหาหมอตรวจพบว่าเป็นโรคหัวใจ หลัง ๆ มาทำให้อาการจะทรุดลงและไม่สามารถทำงานหนักได้ จึงอาศัยเงินจากหลานสาวคนนี้ใช้เพียงทางเดียวเท่านั้นเอง แต่หนึ่งแรงเลี้ยงปากท้องคนสองคน ความจริงก็เพียงพอ แต่ต้องเจียดมาจ่ายค่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าพาตนเองไปหาหมอในแต่ละครั้งอีก ทำให้ความเป็นอยู่ของตนและหลานสาวเป็นไปอย่างฝืดเคือง
นางปราณีรีบกะพริบตาเพื่อขับน้ำตาที่รื้นอีก เมื่อหลานสาวคนเดียวจัดของเสร็จแล้วหันมาบอกตนว่า
"เดี๋ยวน้ำค้างออกไปหาซื้อข้าวเที่ยงให้นะ ป้าณีกินข้าวแล้วจะได้กินยา"
ผู้เป็นป้าพยักหน้า ความตื้นตันมีมากกว่าจะเอ่ยอะไรได้ จึงขยับมือหนาโบกไหว ๆ กลางอยู่อากาศ ในทำนองบอกว่าไปเถอะๆ นั่นเอง ....