18 ปีผ่านไป
ร่างอรชรมองทางเบื้องหลังช่างเย้ายวนเขย่าหัวใจเหล่าบุรุษเป็นยิ่งนัก อาภรณ์สูงค่าขององค์หญิงชั้นเอกจากราชสำนักไท่หยวน ช่างขับผิวขาวดุจหิมะนวลเนียนใสดุจกระเบื้องเคลือบ ดวงตากลมโตใสแวววาวรับกับขนตางามงอนกำลังกะพริบตาขึ้นลงติดต่อกันอย่างตื่นตะลึง ครั้นได้เห็นโฉมหน้าอันเป็นตัวตนที่แท้จริงของตนเอง
กระจกส่องหน้ากำลังสะท้อนตัวตนที่แท้จริงของรัชทายาทแห่งแคว้นไท่หยวน ซึ่งแท้จริงแล้วไม่ใช่บุรุษหากแต่ความเป็นจริงแล้วคือสตรีซึ่งมีความงดงามเหนืออิสตรีทั่วไปในใต้หล้า เงาสะท้อนใบหน้าสวย งดงามเย้ายวนใจ บ่งบอกเจ้าของร่างให้ล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของนางว่าแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร
ท่ามกลางม่านหมอกขาวที่เริ่มแผ่เข้ามาปกคลุมโดยรอบ จนเหลือเพียงร่างงามระหงและกระจกส่องตัวตน จู่ๆ ปรากฏท่อนแขนกำยำของบุรุษสอดประสานรั้งเอวคอดกิ่วเข้าหาร่างใหญ่ที่ทาบทับอยู่ด้านหลัง ท่อนแขนใหญ่อีกข้างตรงเข้าทาบทับลงบนหน้าอกอวบอิ่มกดรั้งร่างของนางเข้าแผ่นอกกว้างของคนผู้นั้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่นางไม่สามารถขยับกายได้แต่อย่างใด
“เจ้าเป็นผู้ใด! มารั้งกายกอดรัดข้าเอาไว้เช่นนี้ วอนหัวหลุดออกจากบ่าแล้วเจ้าคนถ่อย!”โฉมงามคำรามลั่นถามกลับไป แม้จะเคลื่อนไหวกายไม่ได้แต่ฝีปากสามารถทำงานได้อย่างจัดจ้านยิ่งนัก
“จุ๊!จุ๊!จุ๊! รั้งกายเจ้าเอาไว้เช่นนี้เพราะรัก ถ้าไม่รักจะรั้งอยู่ไปทำไมเชลยของข้า”เสียงทุ้มต่ำๆ ตอบกลับไปพร้อมออกแรงกอดรัดนางแนบแน่นยิ่งไปกว่าเดิม
“ผู้ใดคือเชลยของเจ้า! อยากตายมากอย่างนั้นสิ จึงรั้งกายกอดข้าเอาไว้เช่นนี้รู้หรือไม่ว่าหายใจไม่ออก บังอาจยิ่งนักหาญกล้ากอดรัดกายข้าอย่าให้หลุดออกไปได้เชียวนะ ข้าจะบั่นคอเจ้าเสียบประจานหน้าประตูเมือง!”คนงามคำรามลั่นไม่ยอมหยุด
ดวงตากลมโตพยายามเพ่งมองใบหน้าของบุรุษที่ยืนกกกอดนางอยู่ทางด้านหลังผ่านทางคันฉ่องขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถเห็นได้ทั่วตลอดเรือนร่าง แต่จนแล้วจนรอดไม่ว่าจะแพ่งมองอย่างไรก็มองไม่เห็นก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะดังกระหึ่มพร้อมแรงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นของพื้น ครั้นได้ยินรัชทายาทคนงามกล่าวออกมาเช่นนั้น
“ราชินีของข้าช่างเด็ดขาดเสียจริง สมแล้วที่จะเราสองจะอยู่เคียงข้างกายไปด้วยกัน”เสียงบุรุษผู้นั้นตอบกลับมา
“ราชินีบ้าอะไร! ผู้ใดเป็นราชินีของเจ้า!”รัชทายาทคนงามจากไท่หยวนตอบสวนกลับไปทันที
“เจ้านั้นแหละอู๋อี้เฟย! เจ้าคือสตรีของข้า! ราชินีปีศาจของข้าเพียงหนี่งเดียวเท่านั้น”ถ้อยประโยคดังกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้พร้อมเสียงหัวเราะกึกก้องดังกระหึ่ม ช่างเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่เป็นที่น่าน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก จนกายน้อยๆ สั่นไหวครั้นได้ยินถ้อยประโยคดังกล่าว
เฮือกกก!!! ร่างอรชรสะดุ้งจนสุดตัวก่อนจะลุกพรวดพราดขึ้นมาจากฟูกนอน ใบหน้างามเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อผุดพรายขึ้นเต็มไปหมด ลมหายใจหอบโยนราวกับว่าวิ่งรอนแรมมาอย่างยาวไกล
“นี่ข้าฝันบ้าอะไรเช่นนี้ เหตุใดจึงฝันเห็นบุรุษร่างใหญ่ผู้นั้นเพรียกหาข้าในความฝันว่าเป็นราชินี! ไม่มีทางเป็นไปได้ ข้าจะเป็นราชินีของบุรุษใดได้ในเมื่อข้าก็เป็นบุรุษเช่น...”เอ่ยได้เพียงแค่นั้นพลันต้องเงียบงัน ครั้นนึกขึ้นได้ว่าแท้จริงแล้วนางไม่ใช่บุรุษโดยแท้แต่คืออิสตรีที่อยู่ในคราบของบุรุษมาตั้งแต่เกิดนับตั้งแต่จำความได้
รัชทายาทจากแคว้นไท่หยวนพระนามอู๋ฮ่าวเทียน บัดนี้เจริญพระชันษาเข้าสู่ปีที่ 19 สตรีเพียงหนึ่งเดียวที่ต้องแบกรับหน้าที่อันยิ่งใหญ่ในฐานะองค์รัชทายาทและเจ้าผู้ครองแคว้นองค์ต่อไปของไท่หยวน นับตั้งแต่ประสูติจนจำความได้ถูกเลี้ยงและได้รับการอบรมเลี้ยงดูเยี่ยงบุรุษมาโดยตลอด และทรงล่วงรู้ดีว่าแท้จริงแล้วคือสตรีหาใช่บุรุษด้วยเพราะสรีระที่อรชรอ้อนแอ่น หากแต่แข็งแรงและมีท่วงท่าองอาจ สมชาติบุรุษ
อีกทั้งมีความฉลาดปราดเปรื่อง รอบรู้ไปทุกด้านเก่งทั้งบู้และบุ๋น วิชายุทธ์ไม่เป็นสองรองใครแต่ถึงกระนั้นก็ทรงหมั่นเพียรฝึกปรือวิชายุทธ์ไม่ได้ขาดเพื่อนำทัพไท่หยวน ออกทำสงครามกับแคว้นรอบด้านรวมไปถึงต้องคอยรับมือกับต้าฮั่นที่มักส่งราชทูตจากฉางอานมาไท่หยวนเพื่อสอดส่องความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ด้วยเป็นเพียงแคว้นเดียวที่ต้าฮั่นไม่ได้ส่งราชนิกูลสกุลหลิวเข้ามาปกครองแคว้น ในฐานะที่เป็นหนึ่งในแคว้นใหญ่ในขณะนั้น
และที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างต้าฮั่นและไท่หยวนกำลังสั่นคลอนนั้นก็คือ คำปฏิเสธจากอู๋ฮ่าวเทียน รัชทายาทแห่งไท่หยวนส่งกลับไปยังต้าฮั่นที่ไม่ยอมอภิเษกสมรสกับพระราชธิดาของฮั่นจิ้งตี้ฮ่องเต้ เพื่อทำให้ไท่หยวนอยู่ภายใต้สายตาของต้าฮั่นด้วยเงื่อนไขของการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีนั่นเอง สาเหตุเพราะรัชทายาทของไท่หยวนแท้จริงแล้วคือสตรีหาใช่บุรุษ
ทว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความลับสุดยอดที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ล่วงรู้ สตรีกับสตรีแต่งงานกันย่อมเป็นไปไม่ได้ ทายาทสืบสายโลหิตย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง
และเพราะเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้รัชทายาทผู้ซี่งได้ขึ้นชื่อว่าพระพักตร์งดงามดั่งอิสตรีเร้นพระวรกายออกจากวังหลวงซางเป่ยมาประทับอยู่บนเทือกเขาเอ๋อเหมยซาน เพื่อกักตนฝึกยุทธ์ตามคำสั่งของอ๋องไท่หยวนเจ้าผู้ครองแคว้นผู้เป็นพระราชบิดา
โดยให้เหตุผลแจ้งกลับไปว่าที่ไม่สามารถอภิเษกสมรสกับองค์หญิงต้าฮั่นได้ เพราะอยู่ในระหว่างการฝึกตนวิชากระบี่เดียวดายขั้นสุดท้าย ซึ่งวิชาดังกล่าวถือเป็นสุดยอดกระบี่ในยุทธภพและมีเพียงรัชทายาทจากไท่หยวนเท่านั้นได้ร่ำเรียนจนถึงขั้นสุดท้ายและฝึกตนใกล้สำเร็จแล้ว
ซึ่งในความเป็นจริงรัชทายาทคนงามฝึกสำเร็จตั้งแต่ฤดูเหมันต์เมื่อปีที่ผ่านมาแล้ว แต่เพื่อหาข้ออ้างให้สมจริงและมีเหตุผลเพียงพอน่าเชื่อถือได้อ๋องไท่หยวนจำต้องสร้างเรื่องเท็จส่งสาสน์กลับไปเช่นนั้น
เฮ้อ! เสียงทอดถอนหายใจดังออกมาอย่างแรงราวกับว่าทุกข์ก็ไม่ใช่ยินดีรึก็ไม่เชิง วรกายงามระหงลุกขึ้นจากฟูกบรรทมมาอยู่ในท่านั่งของบุรุษกางขาออกกว้างพร้อมยกมือเท้าคางใช้ความคิดกับความฝันที่เพิ่งผ่านพ้นไป
“ข้าฝันซ้ำๆ กันเช่นนี้ติดต่อกันนานนับเดือน เหตุการณ์ในความฝันไม่เคยแปรเปลี่ยน เป็นลางบอกเหตุหรืออย่างไง”
เสียงหวานละมุนบ่นพึมพำก่อนจะลุกขึ้นจากฟูกบรรทม เดินตรงไปที่ประตูห้องนอนก่อนจะเปิดออกพร้อมก้าวเดินออกจากห้องพระบรรทม แหงนพระพักตร์คมสวยละมุนทอดพระเนตรท้องฟ้าเบื้องบนในยามราตรี เหม่อมองดวงดาวนับหมื่นล้านดวงประดับอยู่บนฟากฟ้านภากว้าง กำลังส่องแสงแข่งกันระยิบระยับ
“ดวงดาวค่ำคืนนี้ช่างงดงามเสียจริง ยิ่งมองจากยอดเขาราวกับว่าข้าเข้าใกล้สวรรค์เบื้องบนเข้าไปทุกขณะ”รัชทายาทคนงามยืนชื่นชมดวงดาวบนฟากฟ้าอยู่เพียงลำพัง
ทันใดนั้นเองเสียงของบุรุษเหตุการณ์ที่อยู่ในความฝันปรากฏขึ้นและดังก้องอยู่ในความทรงจำขึ้นมาอีกครา
“เจ้าคือสตรีของข้า! ราชินีปีศาจของข้าเพียงหนี่งเดียวคือเจ้าเท่านั้น คือเจ้าเพียงผู้เดียว!!!”เสียงบุรุษที่เต็มไปด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่คอยย้ำเตือนอยู่แต่ประโยคเดิม
“ปัดโธ่!”คนงามสบถออกมาทันทีพลางสะบัดหน้าไปมาติดต่อกันเพื่อขับไล่ความคิดที่คอยรบกวนจิตใจนั้นออกไป
“เหตุใดข้าจะต้องคิดถึงถ้อยประโยคในความฝันนั้นด้วยเล่า! ปีศาจมีแต่เพียงในตำนานและนิทานปรัมปรา ไม่เคยปรากฏว่ามีตัวตนเสียที่ไหน จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าเพราะช่วงนี้ข้าศึกษาตำราพิชัยสงครามของอาณาจักรเก่าตั้งแต่แรกสร้างแผ่นดินจึงเก็บเอามาฝันเช่นนี้”เสียงบ่นพร่ำรำพึงด้วยความสงสัยกับความคิดอันสับสนที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงนี้
ฉับพลัน
เสียงฝีเท้าของใครบางคนกำลังวิ่งตรงมาที่ห้องพระบรรทมขององค์รัชทายาทไท่หยวนอย่างสุดฝีเท้า ครั้นได้รับสาสน์ด่วนส่งมาจากวังหลวง ร่างขององครักษ์ซือโฉวที่คอยตามเสด็จและถวายอารักขารัชทายาทเพียงหนึ่งเดียวของแคว้นมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ซึ่งมหาเสนาบดีฟู่ซื่อพี่ชายของฮองเฮาซือฉีคัดเลือกมาเป็นอย่างดีเพื่อถวายอารักขาองค์รัชทายาทของไท่หยวนและเป็นอีกผู้หนึ่งที่ล่วงรู้ดีว่ารัชทายาทเป็นอิสตรี
ร่างสันทัดปรากฏกายขึ้นมาโดยพลันพร้อมสาสน์ที่อยู่ในมือรีบเดินตรงเข้ามาถวายรายงาน และเพราะเสียงฝีเท้าดังกล่าวทำให้พระพักตร์สวยหันกลับมาทอดพระเนตรด้วยความแปลกใจ ครั้นองครักษ์คนสนิทรีบเดินตรงมาอย่างเร่งรีบเช่นนั้น
“ค่อยๆ เดินซือโฉวมีอะไรเหตุใดจึงรีบร้อนเช่นนั้น ท่านอายุไม่ใช่น้อยแล้วนะ”รัชทายาทคนงามรับสั่งเตือนองครักษ์วัยกลางคนทันทีที่มาหยุดยืนอยู่ตรงพระพักตร์
“สาสน์ด่วนจากวังหลวงพ่ะย่ะค่ะองค์ไทจื่อ ต้าฮั่นยกทัพใหญ่มาแล้ว!”กล่าวพร้อมยื่นสาสน์ด่วนที่ถืออยู่ในมือส่งให้ทอดพระเนตรทันที
“อะไรนะ!”รับสั่งเพียงเท่านั้นพระหัตถ์รีบคว้าสาสน์ที่อยู่ในมือองครักษ์คนสนิทก้มลงอ่านข้อความภายในสาสน์อย่างรวดเร็วพร้อมสุรเสียงคำรามลั่นดังขึ้นมาทันที
“เสด็จพ่อออกบัญชาการทัพอยู่บนกำแพงเมืองทั้งๆ ที่ยังทรงประชวรเป็นไข้ลมหนาวอยู่ในในขณะนี้ ไม่ได้การแล้วซือโฉว!”ประโยคสุดท้ายหันกลับไปมีรับสั่งกับองครักษ์ข้างพระวรกาย
“พ่ะย่ะค่ะ! ขอองค์ไทจื่อมีพระบัญชา”องครักษ์ผู้ภักดีขานรับทันที
“ท่านจงนำคำสั่งของข้าบัญชาทัพจากหัวเมืองใหญ่ทั้ง 5 ของไท่หยวน ส่งกองทหารหัวเมืองละหนึ่งหมื่นนายตั้งทัพล้อมรอบกองทัพต้าฮั่นทุกทิศทาง รั้งทัพเอาไว้จนกว่าข้าจะส่งสัญญาณบุกตีกระนาบทัพของต้าฮั่น ให้แม่ทัพของทั้งห้าเมืองมาประชุมที่กำแพงเมืองกับข้าทันทีที่เดินทางมาถึง...รีบไป! ข้าก็จะเร่งนำทัพกลับไปช่วยเสด็จพ่อเช่นกัน”
“รับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”องครักษ์ซือโฉวขานรับทันทีพร้อมล่าถอยรีบไปจัดการถ้อยรับสั่ง
ท่ามกลางสายพระเนตรขององค์รัชทายาทอู๋ฮ่าวเทียนของไท่หยวน หรือพระนามอู๋อี้เฟยซึ่งอ๋องไท่หยวนพระราชบิดาทรงบันทึกเอาไว้ลงในประวัติราชวงศ์อย่างเป็นความลับแยกเก็บไว้ต่างหาก ความลับสุดยอดที่น้อยคนนักที่จะล่วงรู้
“ถึงแม้ว่าจะตอบตกลงอภิเษกสมรสกับองค์หญิงต้าฮั่นก็ใช่ว่าไท่หยวนจะหลุดพ้นจากการรุกรานของฮ่องเต้ต้าฮั่นไปได้ เช่นนั้นก็ต้องประลองกันสักครั้งว่าฝ่ายใดจะเจนจัดการใช้ตำราพิชัยสงครามมากน้อยแค่ไหน เพราะข้า!อู๋ฮ่าวเทียนไม่มีวันยอมที่จะก้มหัวให้ต้าฮั่นอย่างแน่นอน”
รัชทายาทหน้าสวยรับสั่งสุระเสียงกร้าวสายพระเนตรลุกโชนเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเป็นยิ่งนัก