พระราชวังหลวงซางเป่ย
เสียงโจษขานเอ็ดอึงพร้อมเสียงร่ำไห้ของบรรดาเหล่าขุนนางและข้าราชบริพารของไท่หยวนดังขึ้นมาทันที เมื่อฝ่ายข่าวจากสนามรบกลับมารายงานสถานการณ์ให้แก่มหาเสนาบดีฟูซื่อ ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนเจ้าผู้ครองแคว้นในขณะที่พระองค์เสด็จออกทำสงครามกับต้าฮั่นดั่งเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
และเมื่อล่วงรู้ข่าวว่าฝ่ายต้าฮั่นได้รับชัยชนะในครั้งนี้และที่เป็นข่าวร้ายมากที่สุดของแคว้นนั้นก็คือ เจ้าผู้ครองแคว้นได้เสด็จสวรรคตในสนามรบด้วยฝีมือของบุรุษอาภรณ์ดำ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทัพคนใหม่ของต้าฮั่น
ตุบ! ร่างสันทัดของมหาเสนาบดีใหญ่ในวัยชราถึงกับเข่าทรุดลงกับพื้นทันที ครั้นสายตาเห็นร่างสูงใหญ่ทะมึนของบุรุษอาภรณ์ดำเดินตรงเข้ามายังเขตพระราชทานฐานชั้นใน โดยมีร่างของเจ้าแคว้นถูกลูกธนูเสียบเข้าตรงจุดตายถึงสามดอกด้วยกันอยู่ในอ้อมแขนของผู้บัญชาการทัพแห่งต้าฮั่น
“ฝ่าบาท!!!!”ฟูซื่อได้แต่เอ่ยคำดังกล่าวได้เพียงเท่านั้นก็ต้องร่ำไห้ออกมาทันที
พร้อมกับบรรดาข้าราชบริพารน้อยใหญ่ในพระราชวังหลวงซางเป่ยต่างพากันทรุดกายลงนั่งคุกเข่ากับพื้นกันอย่างถ้วนหน้าท่ามกลางเสียงร่ำไห้ดังก้องระงม
ในขณะที่จอมมารเสด็จก้าวข้ามประตูใหญ่เข้าสู่เขตพระราชฐานชั้นในของพระราชวังหลวง สายพระเนตรก็ได้พบกับเหล่ามนุษย์มากมายต่างพากันทรุดกายลงนั่งคุกเข่าลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่พระองค์ก้าวเข้าสู่แค้วนไท่หยวน จากหน้าประตูเมืองจนถึงในพระราชวัง ชาวเมืองต่างพากันส่งเสียงร่ำไห้อย่างโศกเศร้ากับข่าวร้ายที่ได้รับ และนั่นทำให้พระองค์ต้องหันกลับมาทอดพระเนตรผู้ที่กำลังอยู่ในอ้อมแขนอยู่ในขณะนี้
“เจ้าเป็นที่รักยิ่งของชาวประชาและขุนนางน้อยใหญ่ ไม่ง่ายเลยที่ราชาปีศาจเช่นข้าจะได้พบเหตุการณ์เช่นนี้ ดูท่าข้าจะต้องทำอะไรสักอย่างเสียแล้ว”รับสั่งอยู่ในพระทัย
“พวกเจ้าหยุดร่ำไห้กันได้แล้ว! เจ้าแคว้นไท่หยวนยังไม่ตาย! เหตุใดจึงพากันโศกเศร้าล่วงหน้าไปเสียก่อนเช่นนี้ หรือว่าอยากให้ตายจริงๆ หรือไง ถ้าเช่นนั้นก็ดีจะได้ไม่ต้องเสียเวลาให้ข้ารักษา”จอมมารรับสั่งสุรเสียงดังกระหึ่มเจตนาเพื่อให้ชาวไท่หยวนอยู่ในความสงบไม่ต้องตกอยู่ในความเศร้าโศกและเสียงร่ำไห้
ทันทีที่ได้ยินรับสั่งของจอมมารเช่นนั้น บรรดาขุนนางน้อยใหญ่และข้าราชบริพารต่างพากันหยุดชะงักไปตามกันก่อนจะปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้ากันทั่วทุกคน
“เป็นความจริงหรือนี่ที่ฝ่าบาทยังไม่สวรรคต!”
“สวรรค์คุ้มครองไท่หยวนแล้ว ฝ่าบาทของพวกเรายังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่”
“ฝ่าบาทยังไม่ตายจริงๆ หรือนี่”
เสียงเอ็ดอึงด้วยความดีใจดังขึ้นไปทั่วบริเวณ เสียงร่ำไห้มลายหายไปเป็นปลิดทิ้งท่ามกลางรอยยกยิ้มบางๆ ของจอมมาร
เมื่อได้ทอดพระเนตรความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวที่เกิดขึ้นทันทีที่สิ้นสุระเสียงรับสั่งของพระองค์ ก่อนจะเริ่มก้าวพระดำเนินต่อไปแต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อได้ยินเสียงของชินอ๋องดังแทรกขึ้น
“เฟิงหยาง! เหตุใดไม่มอบอู๋ฮ่าวเทียนให้คนของไท่หยวนนำไปจัดการ ตอนนี้พวกเราจะต้องไปท้องพระโรงเพื่อประกาศชัยชนะที่มีเหนือไท่หยวนก่อนนะ”ชินอ๋องรับสั่งทักท้วง
ครั้นจอมมารทรงได้ยินเช่นนั้นทรงรับสั่งสวนกลับไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันกลับมาทอดพระเนตรคนทางด้านหลัง ซึ่งมีเพียงชินอ๋อง เจิ้งหู่และหลิวจินซานที่ติดตามมาด้วยตามพระบัญชาของพระองค์ส่วนแม่ทัพนายกองคนอื่นๆ ล่วงหน้าไปรออยู่ที่ท้องพระโรง
“ข้าจะทำอะไร! นั่นมันก็เรื่องของข้า! พวกเจ้ามีหน้าที่ฟังคำสั่งก็พอแล้ว ข้าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าแคว้นไท่หยวนเป็นอันดับแรกหลังจากนั้นจึงจะไปที่ท้องพระโรง ไม่ได้ช่วยก็อยู่เฉยๆ หาไม่แล้วข้าอาจจะเปลี่ยนใจมาช่วยไท่หยวนแทนก็ได้นะ”
จอมมารรับสั่งอย่างไม่ยี่หระอะไรทั้งสิ้น พร้อมหันกลับไปทอดพระเนตรซือโฉวที่เดินนำทางพระองค์มาโดยตลอดตั้งแต่อยู่ในสนามรบ
รับสั่งของจอมมารเล่นเอาชินอ๋องถึงกับสะอึกขึ้นมาทันที และยิ่งได้ยินว่าบุรุษอาภรณ์ดำอาจเปลี่ยนใจมาช่วยไท่หยวนทำให้พระองค์ต้องสงบปากสงบคำลงทันใดพร้อมเสียงของเจิ้งหู่
“ท่านอ๋องทรงนิ่งเฉยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ปล่อยให้เทพสงครามจัดการด้วยตัวเองเถอะ กว่าจะยึดครองไท่หยวนไม่ง่ายเลยในเมื่อได้มาแล้วก็อย่าปล่อยให้เสียโอกาสนี้ไป มิหนำซ้ำอาจจะต้องสูญเสียเทพสงครามไปให้แก่ไท่หยวนอีกทำไปทำมา ต้าฮั่นจะตกอยู่ในกำมือไท่หยวนนะพ่ะย่ะค่ะ”เจิ้งหู่กระซิบบอกเบาๆ
“ข้ารู้แล้วเรื่องนั้น! หาไม่จะเงียบปากอยู่เช่นนี้หรือไง แล้วนี่เจ้าเรียกเฟิงหยางว่าเทพสงครามตั้งแต่เมื่อไรกัน”รับสั่งถาม
“ก็เปลี่ยนมาเรียกเมื่อครู่นี้เองแหละ ชาวไท่หยวนต่างพากันเรียกขานเฟิงหยางว่าเทพสงครามด้วยกันทั้งนั้น คงเป็นเพราะไม่รู้จักแซ่และนามอันแท้จริงจึงเรียกสมญานามแทน แต่เป็นสิ่งที่คู่ควรยิ่งแล้ว”เจิ้งหู่กระซิบตอบกลับไป ก่อนจะได้หันกลับไปมองเมื่อได้ยินเสียงของคนที่กำลังกล่าวถึงดังแทรกขึ้น
“พาข้าไปที่ตำหนักเจ้าแคว้น”จอมมารรับสั่งสุรเสียงห้วน
แม่ทัพซือโฉวพยักหน้าขึ้นลงเล็กน้อย พร้อมผายมือไปทางทิศบูรพาอันเป็นตำหนักที่ประทับของเจ้าผู้ครองแคว้นไท่หยวน
“เจ้าแคว้นประทับอยู่ตำหนักทางทิศบูรพา เชิญตามข้ามา”ซือโฉวกล่าวพร้อมก้าวเดินนำหน้าออกไปก่อน
ในขณะที่จอมมารก่อนจะก้าวเสด็จตามหลัง ทรงมีรับสั่งกับคนทางด้านหลัง
“พวกเจ้าทั้งหมดจงแยกย้ายกันไปพักผ่อน วันรุ่งขึ้นให้ไปรอข้าที่ท้องพระโรง พร้อมเรียกขุนนางทั้งหมดของไท่หยวนให้ไปรวมตัวกันที่นั้น และจงปฏิบัติต่อไท่หยวนดั่งเช่นบ้านพี่เมืองน้อง อย่าทำอะไรรุนแรงเป็นอันขาดหากไม่มีคำสั่งจากข้า!”
“พวกข้าเข้าใจแล้ว!”เสียงของเจิ้งหู่ขานรับแทนชินอ๋องและไทจื่อแห่งต้าฮั่น
พระวรกายสูงใหญ่ภายใต้อาภรณ์สีดำทะมึนของจอมมารกระชับร่างอรชของเจ้าแคว้นเอาไว้ในอ้อมแขน เดินตามหลังซือโฉวไปอย่างกระชั้นชิดพร้อมเสียงของลั่วจิ้งในร่างของไท่จื่อแห่งต้าฮั่นเอ่ยขึ้น
“ข้าไม่เข้าใจท่านอาจารย์เลยว่าเพราเหตุใดจะต้องเสียเวลารักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าแคว้นไท่หยวนด้วย แต่ก็น่าแปลกนะที่อู๋ฮ่าวเทียนกลับยังไม่ตาย ทั้งๆ ที่ถูกลูกธนูของอาจารย์ซัดเข้าที่จุดตายทั้งหมด แต่อาจารย์กลับบอกว่ายังไม่ตายทั้งๆ ที่เห็นเหมือนกันหมดว่าร่างนั้นไม่หายใจแล้ว แปลกจริงๆ เลย”ลั่วจิ้งเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา
และถ้อยคำดังกล่าวนั่นทำให้ชินอ๋องและเจิ้งหู่ต่างมีความคิดเช่นเดียวกัน
“นั่นสิ! เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น”ทั้งสองกล่าวออกมาพร้อมกันสายตายังคงมองตามหลังบุรุษอาภรณ์ดำ ที่เต็มไปด้วยความลึกลับและน่าสะพรึงกลัวด้วยความสงสัย
พระตำหนักเย่วหัว
ภายในห้องพระบรรทม
ร่างอรชรภายใต้ชุดเกราะจอมทัพของเจ้าแคว้นคนงาม ประทับนอนเหยียดยาวอยู่บนฟูกพระบรรทม ท่ามกลางสายตาของมหาเสนาบดีฟูซื่อและซือโฉว โดยปราศจากหมอหลวงมีเพียงนางกำนัลสูงวัยอีกเพียงหนึ่งคนเท่านั้นซึ่งเป็นแม่นมที่คอยเลี้ยงดูมาตั้งแต่แรกประสูติซึ่งฟูซื่อเลือกเฟ้นมาเป็นอย่างดีและกำความลับได้อย่างเหนียวแน่นยิ่งนัก เพราะนางเป็นใบ้และไม่รู้หนังสือ
มีเพียงสามคมเท่านั้นที่อยู่ในห้องพระบรรทมดังกล่าว ท่ามกลางสายตาของจอมมารที่ทรงทอดพระเนตรเพียงครู่ก็ล่วงรู้ได้ทันทีว่าเพราะเหตุใดจึงมีเพียงข้าราชบริพารเท่านั้น
“พวกเจ้าออกไปจากห้องให้หมดข้าจะรักษาอาการบาดเจ็บให้เจ้าแคว้นด้วยตัวเอง”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นทั้งสามต่างพากันจะรีบทักท้วงด้วยความลับของเจ้าแคว้นที่เป็นสตรีหาใช่บุรุษจะแพร่งพรายให้บุคคลภายนอกล่วงรู้ไม่ได้เป็นอันขาด
พรึบ! จอมมารสะบัดพระหัตถ์เพียงครั้งเดียวทั้งสามต่างหยุดนิ่งไปทันที
“ออกไปรอฟังข่าวกันข้างนอก”จอมมารรับสั่งสั้นๆ
ทั้งสามต่างพยักหน้าขึ้นลงพร้อมค่อยๆ ทยอยเดินออกไปจากห้องพระบรรทมก่อนจะปิดประตูที่เปิดออกกว้างจนสนิทมิดชิดดั่งเดิมพร้อมยืนเรียงรายขวางอยู่หน้าประตูโดยไม่พูดไม่จาอะไรออกมาทั้งสิ้น
ครั้นภายในห้องพระบรรทมเหลือเพียงราชาปีศาจรูปงามและเจ้าแคว้นไท่หยวนเพียงลำพัง พระเนตรสีนิลกาฬคู่สวยหันกลับมาทอดพระเนตรคนงามที่สิ้นลมหายใจคาที่ตั้งแต่อยู่ภายในสนามรบด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์ไปก่อนหน้านั้นแล้ว
“เจ้าช่างเป็นสตรีที่อาจหาญและแข็งแกร่งเยี่ยงบุรุษยิ่งนัก ข้านั้นขอชมเชยจากใจจริง หากจะกล่าวกันตามจริงแล้วเจ้าสิ้นชีพนับตั้งแต่เจ้าหินสามภพของข้าเข้าไปสถิตอยู่ภายในกายของเจ้า และเป็นเพราะมันจึงทำให้ชีวิตของเจ้าหวนคืนกลับมาไม่ต้องเดินทางไปเฝ้าเจ้าโลกันตร์ดั่งที่ควรจะเป็น”รับสั่งพร้อมยกพระหัตถ์สัมผัสกับลูกธนูที่เสียบอยู่บนร่างอรชร
เพียงครู่ลูกธนูทั้งสามดอกเลือนหายไปจากร่างงามอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงร่างบอบบางภายใต้ชุดเกราะจอมทัพเท่านั้นพร้อมพระวรกายใหญ่ทรุดลงนั่งประทับเอื้อมพระหัตถ์เพื่อถอดชุดเกราะออกจากร่างดังกล่าว และดูเหมือนว่าจอมมารจะทรงนึกบางอย่างอะไรขึ้นมาได้
“ข้าหลงลืมไปว่านางเป็นสตรีไม่ควรอย่างยิ่งที่ข้าจะสัมผัสนางมากไปกว่านี้ ควรจะให้คนของไท่หยวนมาดูแลต่อไปจึงจะถูกต้อง เช่นนั้นก็ถอดเพียงหน้ากากออกก็พอแล้ว”รับสั่งพลางเอื้อมพระหัตถ์ปลดหน้ากากที่ครอบพระพักตร์เจ้าแคว้นคนงามอยู่ในขณะนั้นออกจากใบหน้างามอย่างรวดเร็ว
พรืดดด!!! หน้ากากสีเงินที่นำมาใช้สำหรับปกปิดใบหน้าของเจ้าแคว้นไท่หยวนในขณะที่กำลังทำสงครามทุกครั้งถูกพระหัตถ์ของจอมมารดึงออกจากพระพักตร์อย่างรวดเร็วเผยให้เห็นโฉมหน้าอันแท้จริงของเจ้าแคว้นไท่หยวน ที่เลืองลือโจษขานกันไปทั่วว่างดงามดั่งเช่นอิสตรีและกำลังปรากฏให้เห็นตรงพระพักตร์ของราชาปีศาจในขณะนี้
จอมมารรูปงามทอดพระเนตรโฉมหน้าเจ้าแคว้นไท่หยวนอยู่เช่นนั้นนิ่งนาน ก่อนจะรู้สึกพระองค์ ว่าทรงเผลอทอดพระเนตรสตรีตรงพระพักตร์ไปถึงครึ่งก้านธูปเลยทีเดียว พระหัตถ์บรรจงวางหน้ากากสีเงินลงตรงข้างหมอนอย่างแผ่วเบา พร้อมเบือนพระพักตร์หันไปทอดพระเนตรไปยังทิศทางอื่นด้วยความแปลกพระทัย
“นี่คือตกอยู่ในห้วงบุบผางามไปตั้งแต่เมื่อไรจึงเผลอจับจ้องสตรีมนุษย์นางนี้ไปอยู่ชั่วขณะ หรือเป็นเพราะว่าพลังเวทย์และญาณตบะของข้าลดน้อยลงจึงทำให้กลายเป็นเช่นนี้ ไม่ได้การต้องรีบหลอมพลังไอทิพย์จากธนูสังหารเพื่อเรียกเจ้าหินสามภพออกจากกายของนางโดยเร็วที่สุดหลังจากนั้นจะได้กลับดินแดนปีศาจเสียที”รับสั่งบ่นพึมพำ
จอมมารหันพระวรกายพร้อมนั่งขัดสมาธิประทับเข้าญาณอย่างรวดเร็ว เพื่อหลอมไอทิพย์จากธนูสังหารของเทพศาสตราซึ่งใช้ญาณตบะถึงห้าหมื่นปีมาทำอาวุธสังหารชนิดนี้ขึ้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในอาวุธทั้งห้าอยู่คู่พระวรกายของเทพศาตราและมีอานุภาพร้ายกาจยิ่งนักเมื่อนำออกมาใช้ทำสงครามในดินแดนสวรรค์เป็นที่หวั่นเกรงไปถึงสามโลกเลยทีเดียว
แต่ในขณะเดียวกันเมื่อมาอยู่ในแดนมนุษย์ อานุภาพของความร้ายกาจจะไม่ปรากฏแต่อย่างใดเพราะต้องใช้ญาณตบะแรงกล้าขั้นที่เจ็ดขึ้นไปจึงจะสามารถใช้อาวุธชนิดนี้ได้ มีเพียงเคล็ดวิชาจากอักษรสี่ตัวเท่านั้นที่มีเพียงพลังน้อยนิดจากหนึ่งในเก้าส่วน
หากสามารถไขปริศนาความลับของอักษรสี่ตัวบนคันธนูดังกล่าวนั้นได้ ก็จะสามารถนำพลังจากเศษหนึ่งในเก้าส่วนนั้นมาใช้ในแดนมนุษย์ เหมือนกับที่เจ้าแคว้นไท่หยวนเพิ่งจะนำมาใช้ในสงครามเมื่อครู่ที่ผ่านมา
และมีเพียงมนุษย์สองคนเท่านั้นที่สามารถใช้ธนูสังหารของเทพศาสตราหรือในแดนมนุษย์ต่างเรียกขานว่าธนูหยก คือแม่ทัพหญิงของปฐมกษัตริย์ไท่หยวนและอู๋ฮ่าวเทียนเจ้าแคว้นไท่หยวนองค์ปัจจุบันซึ่งเป็นสตรีในคราบของบุรุษ