อ๋องใหญ่ร้องเรียกให้บ่าวมาเทน้ำอาบทิ้ง ส่วนเขาก็สวมชุดนอนไปนั่งเช็ดผมอยู่ริมเตียง น่าแปลกนักทั้งๆ ที่ไล่ให้องครักษ์เงาออกไปแล้ว แต่กลับรู้สึกคล้ายมีคนคอยจับตาดูอยู่ตลอดเวลา
“ข้าน้อยเทน้ำออกหมดแล้ว ขอรับ”
“ขอบใจ”
บ่าวเหล่านั้นถอยออกไปพร้อมปิดประตูให้เรียบร้อย จินเสวี่ยหลงนั่งเช็ดผมอยู่พักใหญ่ ผ้าเช็ดตัวที่ท่านแม่ให้มาด้วยคราวนี้ซับน้ำได้เร็วนัก ไม่นานผมของเขาก็เริ่มแห้งจนหวีได้ลื่นขึ้น แม้เขาจะออกรบและเป็นผู้ฝึกยุทธ์แต่กลับชอบให้เสื้อผ้าสะอาดและเนื้อตัวหอมกรุ่นอยู่เสมอ องครักษ์เงามิได้กลับเข้ามาในห้องอีกแต่อ๋องใหญ่กลับรู้สึกอึดอัดคล้ายห้องนี้ยังมีผู้อื่นอยู่ด้วย เขาล้มตัวลงนอนอย่างไม่ค่อยสบายใจ
ปลายยามอิ๋น (03.00-04.59น.) ซินเอ๋อร์ค่อยได้สติงัวเงียขึ้น นางยกมือยีจมูกตนเองก่อนจะจามออกมา “ฮัดเช้ย!” เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเองยังอยู่ในห้องของนายท่าน นางก็แทบจะตาถลน หากถูกจับได้เกรงว่าชายในหน้ากากอสูรคงจะเอากระบี่ยาวของเขามาบั่นคอนางแน่แท้ ครั้นมิได้ยินเสียงเอะอะของเขานางก็รวบรวมสมาธิทำใจให้นิ่ง พลันได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ ชายหนุ่มมิยอมดับเทียนที่ปลายเตียง นางจึงเงยหน้าขึ้นดูขื่ออีกครั้ง ‘องครักษ์เงาไม่อยู่ มิน่า! จึงไม่มีคนได้ยินเสียงข้า’ นางหยิบแท่งธูปเล็กขนาดฝ่ามือออกจากกระเป๋าสะพายใช้กระบอกจุดไฟที่ปลายก่อนจะย่องออกมาใกล้เตียงปัดควันให้ลอยวนรอบตัวเขา ‘คราวนี้หลับสนิทแน่’
ซินเอ๋อร์ทำใจดีสู้เสือ ดับธูปแล้วเก็บใส่กระเป๋าที่สะพายมาแล้วหันมายังชายหนุ่มร่างสูงที่นอนตะแคงข้างอยู่ ‘ยามนอนไม่ใส่หน้ากากจริงๆ ด้วย’ นางใช้สองมือจับหัวไหล่และต้นแขนเพื่อจะพลิกร่างเขาให้หันมาหานาง มุมนี้มีแสงเทียนสว่างพอจะได้เห็นหน้า เขาถนัด
‘หนึ่ง สอง อึ๊บ!’
ร่างที่นอนตะแคงหันมาเร็วกว่าที่นางคาด ทว่ากลับคว้าเอาร่างของนางเข้าไว้ในอ้อมแขนแล้วพลิกตะแคงกลับไปท่าเดิม ก้นของซินเอ๋อร์จ้ำลงบนฟูกนอน ต้นขาพาดอยู่บนช่วงเอวของเขา ปลายขาของนางชี้ฟ้า อนุสติของจินเสวี่ยหลงเกิดการตอบโต้เพราะรู้สึกว่ามีผู้ลอบเข้ามาห้องนอน ท่อนแขนแข็งแรงสองข้างกอดนางไว้แน่น เขากดใบหน้าลงชิดแก้มนางจนจมูกและปากแนบใบหน้านางแน่น
“ว้าย!” นางเผลอร้องออกมา ดีที่ไม่แรงนัก ซินเอ๋อร์หลับตาปริบๆ ‘มีคนทนธูปสลบได้ด้วยหรือนี้ ช่างน่ากลัวแท้ๆ’ นางคิดว่าตนเองทำตามขั้นตอนที่ท่านลุงไม่ผิดเพี้ยน แต่ที่คาดไม่ถึงคือนายท่านช่างเรี่ยวแรงมากจนทนต่อการรมของธูปนี้ได้ ซินเอ๋อร์ดิ้นขยุกขยิกแต่ไม่อาจทานแรงของชายหนุ่มร่างใหญ่ไหว ‘เห็นทีคงดิ้นหนีไม่ได้แน่ ทำเช่นใดดี’ นางพยายามจะดันใบหน้าออกห่างจากเขา แต่จมูกกับปากที่ฝังอยู่โหนกแก้มและข้างแก้มมีลมหายใจเป่ารดออกมาทำเอาใบหน้านางร้อนผ่าวไปหมด
ซินเอ๋อร์ยกมือขึ้นดันคางเขาออก ในเงาสลัวนางเห็นเส้นสายบนใบหน้าคมสัน ดูเขาจะเป็นชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง แต่นางนอนอยู่ด้านในที่ร่างเขาบังแสงจึงมิได้เห็นว่าบนใบหน้าเขามีรอยแผลเป็นหน้าเกลียดหรือไรจึงต้องปกปิดใบหน้าเอาไว้ กลิ่นกายจากใบหน้าและซอกคอของชายหนุ่มลอยมาเตะจมูก ‘แย่แล้ว! เขาอาบน้ำอบกลิ่นมะลินี่ ไม่นะ ไม่’ ซินเอ๋อร์จามออกมาอีกครั้ง ก่อนสติจะหลุดลอย นางพยายามปลดกระเป๋าเครื่องมือออกจากทุลักทุเล แล้วหย่อนลงร่องข้างเตียงนอน
“นายท่านขอรับ! ได้เวลาตื่นแล้วขอรับ!” เสียงพ่อบ้านเมี่ยวร้องเรียกอยู่หน้าประตู จินเสวี่ยหลงกำชับให้พ่อบ้านมาปลุกเขาก่อนยามเหม่าของทุกวันเพื่อจะได้ตื่นฝึกวิทยายุทธ์
“ข้ารู้แล้ว” เขาร้องตอบออกไปตามสัญชาตญาณ ทว่ากลับยังรู้สึกหนักหัวและเปลือกตานัก ชายหนุ่มสงสัยว่าตนเองจะแช่น้ำอุ่นนานเกินไป แขนข้างขวารู้สึกปวดตุบชาๆ ซ้ำยังแน่นหน้าอกอีก อ๋องใหญ่พยายามลืมตาขึ้น กลับเห็นเนื้อนูนอยู่ตรงหน้า เมื่อปรับสายตาให้ดีกลับกลายเป็นใบหน้าสตรีนางหนึ่ง เขารีบปล่อยแขนออกจากนางอย่างรวดเร็ว ดูจากชุดแล้วนี่เป็นสาวใช้ในเรือนของเขา สภาพของนางหลับไหลไร้สติพาดอยู่บนตัวเขา ‘มิน่า! ข้าทั้งปวดแขนทั้งปวดเอว’ ต้นขาสองข้างของนางพาดอยู่บนท่อนเอวเขาทั้งคืน “เจ้าตื่นเดี๋ยวนี้! ตื่น!” เมื่อเขย่าแรงๆ แล้วนางยังไม่ตอบสนอง เขาจึงใช้นิ้วอังที่ปลายจมูกของนาง ‘ค่อยยังชั่ว! นางยังไม่ตาย’
ดีที่ผ่านม่านมุ้งเตียงนอนเขาหนาจึงทำให้บ่าวที่เอาอ่างน้ำร้อนเข้ามาส่งมิได้สังเกตเห็นว่ามีสตรีนอนอยู่ข้างใน จินเสวี่ยหลงเอาผ้าห่มตัวนางให้มิดชิดแล้วลงจากเตียงไปเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า สวมหน้ากากเรียบร้อย จึงเดินกลับมาปลุกนางอีกครั้ง เมื่อเห็นว่านางมีอาการคล้ายถูกคนวางยา เขาจึงออกไปเรียกพ่อบ้านเมี่ยวเข้ามา
“เจ้ามาดูนี่!”
พ่อบ้านเมี่ยวเห็นร่างที่นอนหงายแน่นิ่งอยู่บนเตียงของนายท่านก็ถึงกับตกตะลึง “นางเข้ามาห้องของนายท่านได้อย่างไรขอรับ?”
“ข้าก็อยากจะถามเจ้าอยูเหมือนกัน แต่นางสลบอยู่นานแล้ว เห็นทีคงถูกคนทำร้ายแล้วเอามาโยนใส่ไว้ในห้องข้า”
“เมื่อคืน....”
“ข้าให้แมวดำเฝ้าอยู่ข้างนอก” จินเสวี่ยหลงหมายถึงองครักษ์เงาที่มีชื่อเรียกว่าหน่วยแมวดำ
“เจ้าไปตามหมอมาดูนางหน่อยเถิด ไม่รู้นางโดนพิษเข้าไปหรือไม่?” สายตาของอ๋องใหญ่เต็มไปด้วยความคลางแคลง เมื่อพ่อบ้านเมี่ยวออกไปสั่งคนให้ตามท่านหมอ แมวดำก็โรยตัวลงมายืนยันว่ามิมีผู้ใดเข้ามาใกล้รอบห้องของท่านอ๋องแม้แต่คนเดียว พวกเขาทั้งสี่อารักขาไว้ทุกด้าน “เห็นทีคนที่ทำเรื่องนี้ร้ายกาจนัก ขนาดแมวดำทั้งสี่ก็ยังไม่อาจสังเกตเห็น”
หมอหลวงโกวติดตามท่านอ๋องมาจากเมืองหลวง เมื่อตรวจดูชีพจรของนางแล้วเห็นว่าไม่มีสิ่งใดร้ายแรงก็มีสีหน้าดีขึ้น คราแรกเห็นสตรีนอนอยู่บนเตียงบรรทมของท่านอ๋องเขาใจหายวาบ คิดว่าอ๋องใหญ่จะพิโรธจนคว้าดาบมาแทงนางตายเสียแล้วที่บังอาจปีนขึ้นเตียง “เรียนนายท่าน นางสลบไปนานแล้วขอรับ ในร่างกายของนางมีพิษดอกมะลิ น่าจะตั้งแต่หัวค่ำ”
“พิษดอกมะลิ” อ๋องใหญ่ทวนคำช้าๆ เขาไม่เคยได้ยินชื่อพิษนี้มาก่อน “พ่อบ้านเมี่ยว นางผู้นี้เป็นบ่าวในเรือนเราหรือ?"
“ขอรับ! นางเป็นสาวใช้ที่เพิ่งรับมาใหม่เมื่อสองวันก่อนชื่อเยี่ยซิน”
จินเสวี่ยหลงพิจารณาใบหน้าและผิวพรรณของสาวน้อยที่นอนอยู่บนเตียงเขาแล้วต้องยอมรับว่านางมีใบหน้าน่ารักยิ่ง ผิวพรรณดีต่างจากสาวใช้และนางกำนัลในวัง รูปร่างสมส่วนงดงาม “ตรวจสอบประวัตินางอย่างละเอียดหรือยัง?”
“ขอรับ!” พ่อบ้านเมี่ยวรายงานประวัติของนางที่ให้คนเอาทะเบียนราษฏร์ไปสืบที่อำเภออีกครั้ง “เอกสารและตัวตนของนางเป็นจริงขอรับ”
-------------------------------