“ไม่ต่างกันเล้ย!” ทุกคนพร้อมใจกันขึ้นเสียงสูง แล้วส่ายหน้าพร้อมหัวเราะร่วน
ซินเอ๋อร์เห็นใบหน้าซื่อๆ ของหมิ่นซูปี้ที่ดูเชื่อมั่นในความคิดของตนแล้วก็อดยิ้มมิได้ “ใช่ๆ เราสองคนเป็นสาวใช้เหมือนกัน”
คนในครัวรีบกระวีกระวาดหาอาหารที่ปรุงใหม่มาใส่จานแบ่งแล้วเรียกให้ ซินเอ๋อร์มานั่งกินที่โต๊ะหน้าโรงครัว หมิ่นซูปี้เห็นแล้วทำหน้าฉงน
“พ่อครัวถาน ทำไมวันนี้อาหารถึงมีหลายอย่างนัก?”
ใบหน้าของหัวหน้าโรงครัวขัดเขิน “คิดซะว่าข้าเลี้ยงต้อนรับซินเอ๋อร์ก็แล้วกัน”
“อืม...หากมีเลี้ยงต้อนรับเช่นนี้ทุกวันก็คงดี”
“พวกเจ้ารีบกินเร็วเข้าเถิด ประเดี๋ยวต้องไปเตรียมปัดกวาดห้องโถงให้นายท่านอีก พ่อบ้านเมี่ยวสั่งให้พวกเจ้าทำให้เรียบร้อยก่อนนายท่านกลับ”
เมื่อบ่าวผู้นั้นเดินจากไปหมิ่นซูปี้จึงเงยหน้ามาบอกซินเอ๋อร์ “นั่นน่ะ ผู้ช่วยมือหนึ่งของพ่อบ้านเมี่ยว ชื่อเฉียวไฉ เขาเป็นคนเข้มงวด เจ้าจะทำสิ่งใดให้มองหน้าเขาเสียก่อน หากทำผิดกฎเขาจะฟ้องพ่อบ้านทันที”
“อึ๋ย! โหดขนาดนั้นเทียว”
“ตอนมาอยู่ใหม่ๆ ข้าเคยโดนมาแล้ว”
“โดนอันใด?”
“โดนโบยเพราะเฉียวไฉคนนี้น่ะสิ!” สีหน้าของหมิ่นซูปี้ดูคับแค้นใจ “รีบกินเข้าเถอะ ประเดี๋ยวนายท่านจะกลับมาเสียก่อน”
สาวใช้ทั้งสองกินเสร็จแล้วหิ้วถังน้ำและไม้ถูพื้นไปยังห้องโถงเรือนใหญ่ “ปกตินายท่านจะรับประทานอาหารที่ห้องนี้ ดังนั้นต้องมาถูทุกบ่าย พวกเราต้องทำให้เสร็จแล้วพวกบ่าวที่ประจำอยู่เรือนนี้จะมาตั้งโต๊ะอาหารเอง”
“อ้อ……” ซินเอ๋อร์รู้สึกว่านายท่านผู้นี้ประหลาดเหลือเกินจนนางอยากจะเห็นใบหน้าใต้หน้ากากมากยิ่งกว่าเดิม ‘ท่าทางคนผู้นี้จะต้องมีเรื่องอับอายให้ซ่อนเร้นใบหน้าเป็นแน่’ ยิ่งคิดซินเอ๋อร์ก็ยิ่งมั่นใจ นางทั้งทำความสะอาดทั้งลอบสังเกตข้าวของเครื่องใช้ตำแหน่งการจัดวางเครื่องเรือนในห้องโถงไปด้วย หากลอบเข้ามาที่นี่ในยามค่ำคืนนางจะสามารถเดินได้เหมือนตอนกลางวันเทียว
บ่ายคล้อยร่างสูงใหญ่ที่ใส่หน้ากากนั้นก็เดินนำเหล่าผู้ติดตามเข้ามาทางประตูใหญ่ เขาสวมชุดคล้ายชุดชายทั่วไปในเมืองเป่าจูแต่ซินเอ๋อร์มีความรู้สึกว่าสง่าราศรีของเขาช่างเหนือกว่าทุกคนที่นางเคยพานพบ ดูน่าเกรงขามอย่างบอกไม่ถูก แม้พี่เหลียงเจาหลินพี่ชายของนางจะรูปร่างสูงแต่ก็ไม่เท่านายท่าน ต่อให้พี่ชายนางที่เป็นบุตรเจ้าเมืองสวมชุดเช่นเดียวกับเขานางก็คิดว่าคงจะดูดีสู้คนผู้นี้มิได้
“ซินเอ๋อร์ เจ้าซุ่มดูนายท่านอยู่หรือ?” หมิ่นซูปี้แอบหลบเข้ามาด้านหลังพุ่มไม้เมื่อเห็นก้นของซินเอ๋อร์เดี๋ยวหย่อนเดี๋ยวโด่งดูลับๆ ล่อๆ
“อือ! เจ้าอย่าเอ็ดไป เจ้าดูสิ นายท่านช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก”
“ข้าว่าน่ากลัวต่างหากเล่า?” หมิ่นซูปี้หดคอลงต่ำกว่าซินเอ๋อร์ด้วยความหวาดกลัว รูปร่างของนายท่านทั้งสูงใหญ่ซ้ำยังใส่หน้ากากที่มีลวดลายคล้ายอสูรอีก
“เจ้าไม่อยากเห็นใบหน้าของนายท่านบ้างเลยหรือ?”
“ไม่! นายท่านมิให้เข้าไปรับใช้ก็ดีแล้ว แค่มองไกลๆ อย่างนี้ข้ายังขาสั่นอยู่เลย” หมิ่นซูปี้เคยเห็นตอนนายท่านฝึกกระบี่ยามเช้า นายท่านกระโจนฟันคอหุ่นฟางขาดกระเด็นไปหลายตัวพร้อมกันดูน่าสะพรึงกลัว นางจินตนาการยามนายท่านโมโหอาจจะหยิบดาบมาฟันคอนางกระเด็นเหมือนหุ่นฟางพวกนั้น
เมื่อร่างสูงใหญ่ผลุบหายไปในเรือนแล้ว ซินเอ๋อร์จึงดึงมือหมิ่นซูปี้ออกมาจากหลังพุ่มไม้ สาวใช้หน้ากลมเอามือสองขาจับขาที่ยังสั่นของตนไว้ “ขะ ข้าเห็นนายท่านทีไรเป็นแบบนี้ทุกที”
“เจ้าเป็นเอามาก นายท่านก็แค่สวมหน้ากากเท่านั้นเอง เขาก็เป็นคนธรรมดาเหมือนเจ้ากับข้านี่แหละ มิใช่ปีศาจที่ไหน”
ซินเอ๋อร์ใคร่ครวญถึงโอกาสที่นายท่านจะถอดหน้ากาก ‘ก็คงมีเพียงยามอาบน้ำกับยามนอนเท่านั้น หากลอบเข้าไปดู ข้าก็จะเห็นความจริง’ คิดได้ดังนั้น ซินเอ๋อร์ก็ซักไซ้หมิ่นซูปี้เรื่องการอาบน้ำกับกับการนอนของนายท่าน
ยามซวี (19.00-20.59น.) จินเสวี่ยหลงที่ก้มหน้าก้มตาตรวจสอบที่ดินในการก่อสร้างค่ายทหารแห่งใหม่ก็รู้สึกเหนียวเหนอะหนะจนอยากจะแช่น้ำอุ่นจึงร้องเรียกบ่าวที่เฝ้าหน้าประตูให้เตรียมน้ำอาบ ซินเอ๋อร์ที่แฝงกายอยู่ใต้หน้าต่างได้ยินก็แทบจะร้องออกมาด้วยความยินดี นางเงยหน้าขึ้นมองเงาบนหลังคา ‘องครักษ์เงาก็องครักษ์เงาเหอะ จะมาสู้ตีนแมวอย่างข้าได้อย่างไร?’ นางกระหยิ่มยิ้มย่องลอบเคลื่อนเข้าไปในห้องของนายท่าน นางเงยหน้าขึ้นมองเหนือขื่อห้องนอนนายท่านเห็นเงาดำเกาะอยู่ด้านหนึ่งบริเวณกลางห้อง ร่างสูงใหญ่โบกมือขึ้นไล่เงานั้นก็หายไป บ่าวชายร่างยักษ์สามคนหิ้วน้ำอุ่นเข้ามาเท พร้อมวางถังน้ำเย็นและกระบวยเอาไว้ด้านข้าง
อ๋องใหญ่เดินเข้าไปหลังฉากแล้วถอดหน้ากากออกวางบนโต๊ะใกล้มือ ไอน้ำร้อนพวยพุ่งบดบังมิให้ซินเอ๋อร์มองเห็นใบหน้านั้นถนัดถนี่ นางถึงกับสบถในใจที่เลือกมุมได้ไม่ดีนัก แต่จะทำอย่างได้เมื่อกี้นางเองก็กลัวองครักษ์เงาจะเห็นเข้าเลยต้องเลือกซอกตู้ คาถาบีบร่างของท่านลุงช่างดีนัก ทำให้นางหลบเข้าในซอกเล็กข้างตู้เสื้อผ้าได้พอดี ตรงนี้แคบเกินกว่าที่คนธรรมดาจะยัดร่างเข้าไปได้
นางจ้องเขม็งไปยังสูงใหญ่ที่กำลังถอดเสื้อผ้าพลางภาวนาให้เขาหันหน้ามาทางนี้สักหน่อย แสงเทียนวาววามจับแผงหลังกว้างกำยำ เขาปลดมวยครอบผมลง ผมยาวสยายปิดบังแผ่นหลังไปกว่าครึ่ง ชายหนุ่มถอดกางเกงออกเรียบร้อย ซินเอ๋อร์เห็นเพียงกล้ามเนื้อข้างบั้นท้ายแข็งแรงกับท่อนขาช่วงล่างของเขา เสียงจิ้งจกร้องสองสามครั้ง เขาเอี้ยวหน้าเล็กน้อย
‘เออ นั่นล่ะ! อีกนิดหนึ่ง หันมาอีกนิด’ ซินเอ๋อร์ลุ้นอยู่ในใจ แสงเทียนสะท้อนเสี้ยวหน้าให้นางเห็นแนวคางบึกบึนและหางตาเฉียงคม ‘อึ๋ย! ตาดุไม่ใช่เล่น’ เขาหันหน้ากลับไปทางเดิม ซินเอ๋อร์ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ นางคิดว่าเขาแปลกคนที่มิยอมให้บ่าวหรือสาวใช้เข้ามาปรนนิบัติยามอาบน้ำ
จินเสวี่ยหลงรู้สึกว่าตนเองหัวเหนียวหนึบ อาจเป็นเพราะอ่านหนังสือจนดึกดื่นติดกันหลายวัน ชายหนุ่มหยิบเอาจ้าวเจี่ยวขึ้นมาสระผม และหยิบเอาน้ำอบกลิ่นดอกไม้ที่น้องสาวให้มาเทลงบนฝ่ามือแล้วลูบศีรษะก่อนจะยีเล็กน้อย
“อืม...หอมจริง!” เขาเผลอชมออกมา เมื่อก้มลงดมที่ฝ่ามือตนเอง กลิ่นหอมของกลีบดอกไม้สารพัดชนิดส่งกลิ่นอบอวลไปทั่วห้อง
ซินเอ๋อร์ที่ได้กลิ่นเผลอสูดดมเข้าไปเต็มอก ‘หอมจริงเสียด้วย ที่จวนของข้ายังมิเคยมีน้ำอบหอมเท่านี้มาก่อน ตะ...แต่ว่านี่มัน กลิ่นมะลิ’ กว่านางจะนึกออกว่าน้ำอบนี้มีส่วนผสมของกลีบดอกมะลิก็เผลอสูดหายใจเข้าไปอีกครั้งแล้ว พลันสติของซินเอ๋อร์ก็ดับวูบลง
----------------------------