บทที่ 12 เก็บนางไว้ข้างเตียง

1344 คำ
            ท่านอ๋องใหญ่นั่งรออยู่ข้างเตียงด้วยความหงุดหงิด เขาเดินไปกินข้าวจนเสร็จแล้วนางก็ยังไม่ฟื้น ฤทธิ์ของพิษมะลิทำให้นางนอนไร้สติตั้งแต่หัวค่ำจนถึงยามซื่อ (09.00-10.59 น.) เขาหยิบหนังสือมานั่งอ่านแต่กลับไม่มีสมาธิ ใจคอยวนเวียนคิดหาเหตุผลที่นางถูกส่งเข้ามาในห้องนอนของเขา หากเจตนาส่งนางเข้ามาเพื่อให้เป็นสาวใช้ข้างเตียงก็ไม่น่าจะมาด้วยวิธีนี้ ใช้คนมาวางยาปลุกกำหนัดเพื่อให้นางกับเขาร่วมประเวณีกันจึงจะถือว่าสมเหตุสมผล แต่นางกลับถูกทำร้ายจนหมดสติ เขาเองก็หมดสติ หากคิดจะเอาชีวิตเขา เมื่อคืนคนร้ายก็คงจะได้ไปแล้ว จินเสวี่ยหลงคิดไปหลายตลบก็ยังหาเหตุผลไม่พบว่าคนร้ายทำเพื่อเหตุใด             “โอ๊ะ!” ซินเอ๋อร์ลุกพรวดพราด นางเห็นเพดานเตียงก็พลันนึกได้ว่าที่นี่เป็นห้องนอนของนายท่าน ร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่โต๊ะหน้าเตียงหันขวับมาทันที ซ่งจิงเทียนกับหร่วนเจ๋อเล่ยที่ยืนอยู่ใกล้ประตูหันมาดูพร้อมกัน             “เจ้าตื่นเสียที!” เสียงตวาดของเขาทำเอานางสะดุ้ง             “ขะ ข้า” นางเห็นหน้ากากอสูรสีขาวสลับแดงก็ทำเอาผงะ             “เจ้าเข้ามาห้องข้าเพราะเหตุใด?”             นางอึกอักมองไปรอบๆ จึงรู้ว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงของเขา มิได้ถูกมัดมือเท้าก็เบาใจ ใกล้ประตูมีองครักษ์สองคนถือดาบยืนจับตาดูนางอยู่ “ข้าไม่รู้เจ้าค่ะ” นางแสร้งตีหน้าเศร้า ปฏิเสธเสียงแข็ง ดวงตาใสซื่อสามารถสั่งให้น้ำตารื้นออกมาได้ไม่ยาก ทุกคราที่ท่านพ่อจะตีนางหากบีบน้ำตาเสียหน่อย ท่านแม่ก็จะตรงเข้ามาช่วยขวางไว้ ความชำนาญระดับนี้ได้มาเพราะฝึกฝนนานปี             จินเสวี่ยหลงเห็นสาวน้อยมีน้ำคลอนัยน์ตาจนแทบจะหยาดหยดก็ใจอ่อนยวบ ใบหน้าน่ารักของนางดูสลดและน่าสงสารนัก กระนั้นเขาก็ยังไม่หายแคลงใจ “ผู้ใดส่งเจ้ามาที่นี่?”             “ข้าอยากมาเองเจ้าค่ะ พี่ชายข้าจึงพาไปสมัครเป็นสาวใช้” นางกลั้นก้อนสะอื้นที่ไล่ขึ้นมา ดูตื่นตระหนกจนอ๋องใหญ่หลงเชื่อ แต่เพราะเขารอบคอบจนเป็นนิสัยจึงไม่อาจวางใจในตัวนาง             “เจ้ากล้าสาบานหรือไม่ว่าไม่ได้ถูกคนส่งมาคิดร้ายข้า?” เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินตรงเข้ามาใกล้จนนางรู้สึกอึดอัด             “กล้าเจ้าค่ะ ข้าสาบานต่อฟ้าดิน หากข้ามาเพราะคิดทำร้ายท่านของให้ถูกคมหอกคมดาบทำร้าย” นางยกมือสาบานอย่างว่องไว เรื่องนี้ก็ถนัดนักเพราะนางทำเสมอเพื่อให้ท่านพ่อยอมปล่อยนางไป             “ดี!” เสียงถกเถียงของคนในห้องทำให้พ่อบ้านเมี่ยวที่มาถึงหน้าห้องรีบผลักประตูเข้ามาด้วยกลัวนายท่านจะบันดาลโทสะเสียก่อน อ๋องใหญ่หันไปเป็นพ่อบ้านที่เดินนำบ่าวอีกสองคนเข้ามา สายตาของบ่าวชายทั้งสองมองไปยังเยี่ยซินอย่างตื่นตะลึง นางนั่งเหยียดเท้าอยู่บนเตียงนายท่าน ครึ่งร่างกายส่วนร่างยังมีผ้าห่มของนายท่านคลุมอยู่ พวกเขาส่งสายตาเวทนาในคราวเคราะห์ของนาง             “ข้าจะยังไม่ลงโทษเจ้า แต่จะให้เจ้าอยู่รับใช้ในเรือนเหวินเต๋อนี้ ห้ามก้าวออกไปจากเรือนแม้เพียงก้าวเดียว หากสอบสวนในภายหลังพบว่าเจ้าให้ความร่วมมือกับคนนอกคิดทำร้ายข้า ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!” น้ำเสียงดุดันของนายท่านทำเอาบ่าวทั้งสามขนคอลุกชันโดยพร้อมเพรียง พ่อบ้านเมี่ยวกำชับนักหนาว่าอย่าทำให้นายท่านมีโทสะเพราะหากนายท่านโมโหอาจจะใช้ตัดดาบเดียวตัดศีรษะ “พ่อบ้านเมี่ยว เจ้าไปย้ายข้าวของของนางมาอยู่ห้องเล็กนั่น ข้าจะให้คนจับตามองนางมิให้คลาดสายตา” นิ้วเรียวใหญ่ชี้ไปยังห้องที่อยู่ติดกับห้องนอนของเขา             องครักษ์ซ่งกับองครักษ์หร่วนหันไปสบตากัน ‘นี่ผิดปกติไปมาก หากเป็นแต่ก่อนท่านอ๋องคงสั่งให้ลากไปขังรอโบยแล้ว นางผู้นี้ช่างมีดาวโชคนำทางนัก’             “ขอรับ!” พ่อบ้านเมี่ยวรีบสั่งให้บ่าวทั้งสองไปแจ้งหมิ่นซูปี้ให้ช่วยนำข้าวของของเยี่ยซินมาส่งยังเรือนเหวินเต๋อ ซินเอ๋อร์ได้แต่นั่งก้มหน้านิ่งอยู่บนเตียง ในยามเช่นนี้นางรู้ดีเล่นตามน้ำดีที่สุด หากเอ่ยขัดขึ้นอาจจะทำให้โทสะของบุรุษตรงหน้าสูงเทียมฟ้า ที่สำคัญกระเป๋าเครื่องมือของนางยังหล่นอยู่ใต้เตียงของเขา หากเขาให้นางรับใช้อยู่ในเรือนนี้ก็ยิ่งเป็นการง่ายกับการหาวิธีมาเอากระเป๋าของนาง และยังง่ายต่อการลอบดูใบหน้าของเขาอีกด้วย นับว่าเขวี้ยงหินก้อนเดียวได้นกสองตัว             “เจ้าหิวข้าวหรือยัง?” เขาเห็นนางก้มหน้านิ่ง ร่างกายสั่นเทาอยู่เป็นระยะคล้ายกับกำลังต่อสู้กับความหวาดกลัวก็นึกเป็นห่วง พอเขาถาม นางรู้สึกหิวโหยขึ้นมาทันที “เจ้าลุกขึ้นไปกินข้าวได้” นายท่านหันไปทางองครักษ์ “จิงเทียนเจ้าไปสั่งโรงครัวเอาข้าวกับอาหารมาให้นางสักสองอย่าง ต่อไปให้นางกินข้าวที่นี่”             “ขอรับ”             หร่วนเจ๋อเล่ยโคลงศีรษะ แต่น้อยคุ้มใหญ่ท่านอ๋องมิได้ไยดีสตรีใดที่มิใช่คนในครอบครัวเช่นนี้ แทบจะมิให้นางกำนัลเข้าใกล้ สาวน้อยผู้นี้แม้จะมีหน้าตาผิวพรรณงดงาม หากแต่มิได้เลิศเลอเกินกว่าสาวชาววังและคุณหนูทั้งหลายที่ท่านอ๋องเคยพบเห็นอยู่ไม่ขาด             “เจ้าดูเยี่ยซินผู้นี้ มิได้มีท่าทีหวาดกลัวดังที่เสแสร้งในทีแรก นางกินอาหารจนเกลี้ยงทุกจาน ซ้ำแววตายังดูแจ่มใสที่ได้อยู่ในเรือนเหวินเต๋อ” องครักษ์ซ่งคอยจับตา  มองซินเอ๋อร์ เมื่อสังเกตว่าท่าทางของนางเปลี่ยนไปจากตอนที่อยู่บนเตียงท่านอ๋องเมื่อเช้าก็รีบชี้ให้หร่วนเจ๋อเล่ยดู             “เช่นนั้นเจ้ากับข้าก็จะวางใจนางมิได้ ยิ่งนางมาอยู่ข้างเตียงท่านอ๋องเพียงนี้ยิ่งต้องตรวจสอบนางอย่างเข้มงวด”             “เจ้าตรวจข้าวของนางหมดแล้วมิใช่หรือ?”             “ใช่! นางมิได้พกสิ่งใดผิดปกติ นอกจากหนังสือนิทานเรื่องอ๋องอสูร”             “หือ! ข้าลองอ่านดูแล้ว นั่นมันกล่าวถึงนายท่านของเราชัดๆ”             “เจ้าไม่คิดจะเรียนท่านอ๋องให้ทราบหรือ?”             จินเสวี่ยหลงทำหน้าปั้นยากเมื่อองครักษ์ของเขายื่นหนังสือนิทานเล่มนั้นมาให้ เมื่ออ่านจบแล้วก็นึกฉงน ‘นางพกหนังสือนิทานเล่มนี้ แล้วเข้ามาทำงานในคฤหาสน์ของข้าหมายความอย่างไร?’             “เจ้าเอากลับไปคืนไว้ให้นาง”             ซ่งจิงเทียนทำหน้าเจื่อนเมื่อรับหนังสือนิทานเล่มนั้นกลับมา แล้วเอาไปใส่ไว้ในห่อผ้าให้นางเช่นเดิม ห้องเล็กที่ท่านอ๋องบังคับให้เยี่ยซินไปนอนเป็นห้องที่ให้บ่าวคนสนิทมารอรับใช้ในยามค่ำคืน นางเป็นสาวใช้คนเดียวที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ใกล้ชิดท่านอ๋อง “หากผู้อื่นมาเห็นเข้าก็คงคิดว่าท่านอ๋องรับนางไว้เป็นสาวใช้อุ่นเตียงแล้ว”             หร่วนเจ๋อเล่ยสะดุ้ง เขาติดตามท่านอ๋องไปทุกหนทุกแห่งตั้งแต่ถวายตัวมาเป็นองครักษ์พร้อมกับซ่งจิงเทียน เรื่องสตรีมิเคยอยู่ในความสนใจของท่านอ๋องมาก่อน   บางทีเยี่ยซินผู้นี้อาจจะมาพร้อมความเปลี่ยนแปลงก็ได้ “จิงเทียน เจ้าว่าท่านอ๋องชอบนางหรือไม่?”             “หากไม่รู้สึกเช่นนั้น คงจะสั่งให้ลากนางไปโบยจนหลังขาดแล้ว” **********************
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม