Un - 6

1988 คำ
'น้ำพุตรงนั้นสวยจังเลย เฮียราชย์พาเจ้าจันทร์ไปวิ่งเล่นได้ไหมคะ' 'ได้สิ แต่อย่านานนะ แดดมันร้อน' ฉันยังจำใบหน้าเรียบนิ่งแต่อ่อนโยนและใจดีเมื่อตอนที่ฉันแค่สิบขวบได้อยู่เลย ถ้าเกิดว่าเขายังไม่มีแฟนแล้วฉันสารภาพรักกับเขาเมื่อห้าปีก่อน เราสองคนจะมีโอกาสเป็นคนรักกันได้ไหมนะ เงี้ยว~~ กำลังนึกอะไรเพลิน ๆ เสียงแหลมเล็กของเจ้าสี่ขาขนปุยก็ดังขึ้น ขาขวาฉันรู้สึกจักจี้จากขนปุกปุยนุ่ม ๆ ของเจ้าแคทที่เดินวนรอบขาพร้อมทำหน้าอ้อนให้อุ้มมันขึ้นมา "กินข้าวเช้าหรือยังครับสุดหล่อ" อ้อนมาแบบนี้ฉันก็อดที่จะอุ้มมันขึ้นมาไม่ได้ เมี้ยว~ ร้องแบบนี้แสดงว่ากินแล้วสิท่า ดูสิ กลิ่นคาวปลายังติดที่ปากอยู่เลย "อย่ากินเยอะนะ เนี่ยต้องลดหุ่นได้แล้ว" ตอนแรกนึกว่าที่อ้วน ๆ นี่คือพองเพราะขน แต่พออุ้มแบบจริง ๆ จัง ๆ หนักมือน่าดู เงี้ยวววว~ เหมือนแมวตัวนี้กำลังเถียงว่าไม่อ้วน "แกรู้ไหมเมื่อก่อนเจ้าจันทร์ชอบมาวิ่งเล่นที่นี่บ่อย ๆ ด้วยแหละ" เมื่อกี้กำลังคิดถึงความหลังอยู่พอดี ตอนนี้มีแมวมาคุยเป็นเพื่อนแล้วเลยไม่เหงา "เจ้าจันทร์ตัวเล็กกะเปี๊ยกเดียว ชอบถักเปียมัดแกละวิ่งดมดอกไม้ต้นนู้น เด็ดดอกต้นนี้ แล้วก็เอามือมารองน้ำพุตรงนั้น" ฉันจับขาหน้าเจ้าแคทชี้ไปที่แปลงดอกไม้หลากสีที่เคยมาวิ่งซนต้นนั้นต้นนี้ตามด้วยชี้ไปที่น้ำพุรูปกามเทพที่เมื่อก่อนส่วนสูงฉันคือต้องเขย่งปลายเท้าถึงจะแตะน้ำใส ๆ ในอ่างนั้นได้ "ตอนเป็นเด็กนี่ดีนะ อยากวิ่งเล่น อยากพูด อยากแสดงออกอะไรก็ทำได้หมด" เหมือนจะกลายเป็นการระบายกับเจ้าสัตว์สี่ขาในอ้อมอกไปซะงั้น "แต่ทำไมพอโตมาเป็นผู้ใหญ่ เรื่องบางเรื่องถึงไม่กล้าที่จะพูดหรือระบายมันออกมาก็ไม่รู้" มีอะไรเยอะแยะเต็มไปหมดที่ฉันอยากจะพูดอยากจะแสดงออกแต่ก็ยังไม่กล้า "แกเป็นแมว รู้สึกอึดอัดเวลาอยากคุยกับพวกเราที่เป็นมนุษย์ไหม" พูดแล้วก็ลูบหัวเจ้าแคทเบา ๆ พลางก้มลงมองสบตามัน เมี้ยวววว... คงตอบว่าอึดอัดล่ะมั้ง ก็เราคุยคนละภาษานี่เนอะ "เจ้าจันทร์อยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งจังเลย" เพราะตอนเด็ก ฉันได้รับความเอาใจใส่จากใครบางคนมากกว่าตอนนี้น่ะสิ "เจ้าจันทร์ กลับบ้านได้แล้วลูก" เสียงแม่ตะโกนมาจากด้านหลัง ฉันเลยหันไปโบกมือให้ท่าน "เจ้าจันทร์ต้องกลับแล้วนะ คงคิดถึงแกน่าดูเลย" ไม่รู้หลังจากนี้จะมีโอกาสได้มาที่นี่อีกหรือเปล่า ถึงแม้จะบอกว่าบ้านหลังนี้ให้การต้อนรับที่อบอุ่นเหมือนเคย แต่ด้วยวัยที่ไม่น่าจะเข้าออกที่นี่ได้เหมือนแต่ก่อนแบบไม่คิดอะไรอีกแล้วมันเลยรู้สึกอึดอัดใจ อืม... อาจจะไม่ใช่เพราะวัยที่เพิ่มขึ้น อาจจะเพราะใจไม่บริสุทธิ์ของฉันมากกว่าถึงได้รู้สึกกระดากอายเวลาจะมาที่นี่ เมี๊ยวววว~ เหมือนเจ้าแคทจะรู้ว่าฉันกำลังจะไปมันเลยซุกเข้าที่อกฉันใหญ่เลย "ไม่อ้อนกันสิ ที่นี่บ้านแก เจ้าจันทร์เองก็มีบ้านต้องกลับนะ" พูดแล้วน้ำตาก็จะไหล เพิ่งเจอกันแค่วันเดียวยังรู้สึกผูกพันขนาดนี้เลย "เจ้าจันทร์ มาได้แล้วลูก" เสียงแม่ตะโกนมาอีกครั้งทำให้ฉันต้องรีบอุ้มเจ้าแมวอ้วนไปด้วย "นี่เราอุ้มเจ้าตัวนี้ได้ด้วยเหรอ" ทันทีที่เดินมาถึงจุดที่ทุกคนยืนรอพร้อมหน้าพร้อมตาแม่ฉันก็ถามด้วยสีหน้าแปลกประหลาดใจ "ค่ะ น้องเชื่องดีนะคะ" ฉันตอบไปพลางลูบหัวมันไป "แบบนี้เรียกว่าแมวเจ้าชู้ได้หรือเปล่าขจี" แม่หันไปหยอกป้าขจีที่ยืนมองมาที่ฉัน "แมวก็คงจะเหมือนเจ้าของมันนั่นแหละ" คนถูกถามอมยิ้มบาง ๆ นี่ถ้าไม่สังเกตคงมองไม่เห็นพร้อมสายตาที่เหล่มองอีกคนที่กำลังเช็กเครื่องยนต์อยู่ "ก็คงจะจริง เพราะตาราชย์สนิทกับเจ้าจันทร์แต่เด็ก แมวตัวนี้ก็คงจะรู้สึกแบบนั้นด้วย" ไม่เห็นจะเกี่ยวเลยแม่ ตอนนี้ฉันเหมือนคนนอกสายตาเฮียราชย์ไปแล้ว ถ้าแมวเหมือนเจ้าของ เจ้าแคทคงตบฉันเลือดซิบหลายแผลไม่ยอมให้กอดแบบนี้แล้วแหละ "ไว้วันหลังจะแวะมาเยี่ยมใหม่นะ" แม่บอกลาเพื่อนสนิท "เดี๋ยวให้คนใช้ขนเอง หนูเจ้าจันทร์พาแม่ไปขึ้นรถเถอะจ้ะ" มือที่กำลังจะดึงที่จับเพื่อลากกระเป๋าเดินทางไปขึ้นรถถูกป้าขจีขัดไว้ "งั้นหนูลานะคะ ขอบคุณสำหรับการต้อนรับกลับมาค่ะ" ฉันไหว้ลาทั้งป้าขจีและลุงจอมศักดิ์ก่อนจะเดินตามหลังแม่ไปขึ้นรถเบนซ์สีขาวเอี่ยมอ่องตรงหน้า โดยมีสารถีคือผู้ชายหน้าตาดีแต่ไม่มีรอยยิ้มใด ๆ ปรากฏออกมา "ขับรถดี ๆ นะเรา ไม่ต้องซิ่งมาก" เสียงป้าขจีร้องบอกลูกชายที่กำลังปิดประตูรถโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้โต้ตอบใด ๆ กลับแม่เขาเลย "กิจการที่สนามแข่งเป็นยังไงบ้างจ๊ะ" เมื่อรถออกจากบ้านทวีทรัพย์ไพศาลมาได้ระยะหนึ่งแม่ที่นั่งหลังคนเดียวโดยที่ไล่ฉันมานั่งหน้าคู่กับคนขับก็ถามขึ้น "ก็ดีครับ" เขาตอบแม่ฉันด้วยน้ำเสียงปกติแต่ฟังดูสุภาพไม่เยือกเย็นเหมือนเวลาคุยกับฉันสักนิด "แล้วเราล่ะลูก กลับมาครั้งนี้วางแพลนชีวิตไว้หรือยัง" แม่หันมาถามฉันเมื่ออีกคนใช้สมาธิในการขับรถ "ลูกสาวเพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วัน แม่ก็จะให้เริ่มทำงานแล้วเหรอคะ" ไม่ได้ขี้เกียจนะ แค่กำลังแกล้งแม่เล่นแค่นั้นเอง "อีกไม่กี่เดือนก็ยี่สิบห้าแล้วนะ อย่าทำเป็นเล่นสิ ดูพี่เขาเป็นตัวอย่างหน่อย มีธุรกิจเป็นของตัวเองตั้งแต่อายุยี่สิบเอง" แม่ดูภูมิใจกับลูกคนอื่นนะ "ก็เฮียราชย์เก่งนี่คะ" ลืมตัวเผลอชมอีกคนที่นั่งข้าง ๆ อย่างนิ่ง ๆ "งั้นเราก็ต้องเรียนรู้จากพี่เขาเยอะ ๆ เอาพี่เขาเป็นแบบอย่าง" ได้ทีแม่ก็สอนสั่งฉันยกใหญ่จนพูดอะไรต่อไม่เป็น ก่อนที่ทุกอย่างจะลามมาที่ฉันไปมากกว่านั้น มือถือแม่ก็ดังขึ้น "ว่าไงศศิ?" "..." "อะไรกัน! นั่นมันงานที่ฉันสั่งไว้ตั้งแต่สามวันที่แล้วนะ นี่ยังเคลียร์ไม่เสร็จอีกเหรอ พวกเธอทำฉันผิดหวังจริง ๆ รออยู่ที่นั่นแหละเดี๋ยวฉันเข้าไปดูให้" "มีอะไรเหรอคะแม่" ฉันเอี้ยวตัวมาถามแม่เมื่อเห็นว่าคิ้วโก่งสวยกำลังขมวดจนชนกัน "ก็พนักงานที่ท่าเรือนั่นแหละลูก แม่สั่งงานไว้แล้วมีปัญหาแต่ไม่ยอมโทรมาบอก เพิ่งจะยอมมาสารภาพเอาวันนี้" แบบนี้นิสัยแย่จัง งานนั้นคงสำคัญมาก ไม่งั้นแม่ฉันที่จิตใจดีไม่แสดงอารมณ์แบบนั้นออกไปแน่ "รบกวนตาราชย์จอดให้น้าลงป้ายหน้าได้ไหมลูก" "แม่จะไปไหนคะ" "ไฟแดงข้างหน้าก็เป็นทางผ่านไปท่าเรือเราแล้ว แม่ว่าจะเข้าไปดูงานที่มีปัญหาเลยน่ะ" "ให้เจ้าจันทร์ไปเป็นเพื่อนนะคะ" "ไม่เป็นไรลูก เดี๋ยวจะเสียเวลาพี่เขา จอดตรงนั้นให้น้าเลยจ้ะ" แม่รีบสะพายกระเป๋าเตรียมตัวจะลงจากรถ แต่คนขับรถกลับไม่จอด เขาหักเลี้ยวซ้ายแล้วขับตรงไป "เดี๋ยวผมไปส่ง" เสียงทุ้มเอ่ยอย่างราบเรียบ พร้อมตั้งใจขับรถต่ออย่างไม่อิดออดใด ๆ "ขอบใจนะลูก" ฉันได้แต่แอบมองเสี้ยวหน้าคมเข้มที่ไม่มีอาการใด ๆ แสดงออกบนนั้นนอกจากความนิ่งและดูสุขุม ไม่นานรถที่เรานั่งมาก็จอดเทียบที่ท่าเรือขนาดใหญ่ของตระกูลศิริมุตตา "ขอบใจมากจ้ะ ฝากเราไปส่งน้องที่บ้านให้น้าหน่อยนะ" แม่ลงจากรถโดยทิ้งฉันไว้บนนี้กับเจ้าของรถแล้วรีบเอ่ยอย่างเร่งรีบโดยไม่สนใจคำตอบใด ๆ จากคนที่ไหว้วานสักนิด "ถ้าเฮียราชย์ไม่ว่าง ส่งเจ้าจันทร์ตรงถนนก็ได้นะคะเดี๋ยวเรียกแท็กซี่กลับเอง" เพราะเห็นสีหน้าท่าทางเขาเหมือนหงุดหงิดเล็กน้อยจึงรีบบอกแบบนั้นออกไป "นั่งเงียบ ๆ" เขาส่งเสียงกลับมาแค่นั้นก็บึ่งรถกลับไปทางเดิม จุดหมายคือบ้านของฉัน โดยที่หลังจากนี้บรรยากาศภายในรถเงียบกริบ ใช้เวลาราว ๆ ยี่สิบนาทีรถหรูสีขาวก็จอดเทียบที่หน้าบ้านหลังใหญ่ นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่ได้กลับมาเหยียบบ้านหลังนี้ "ขอบคุณนะคะ" ยกมือไหว้ขอบคุณตามมารยาทก่อนจะเปิดประตูลงไปเอาข้าวของที่อยู่ท้ายรถ เสียงประตูอีกฝั่งดังตามมาติด ๆ พร้อมร่างสูงที่เดินมาเปิดท้ายให้ "คงช่วยตัวเองต่อได้" กระเป๋าเดินทางสามใบถูกยกออกมาวางไว้นอกรถเป็นอันเรียบร้อยพร้อมคำถามที่ฟังดูกึ่งประชดกลาย ๆ "ได้ค่ะ" เขาไม่ได้รอฟังคำตอบนั้น คล้ายกับมันไม่ใช่คำถามตั้งแต่แรก เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มพร้อมตัวรถสีขาวเอี่ยมอ่องเคลื่อนตัวออกไปจนลับสายตา ต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่เฮียราชย์คงจะเกรงใจเลยมาส่งฉันตามคำขอนั้น แต่พอเราอยู่กันตามลำพัง ฉันในสายตาผู้ชายคนนี้ก็คงไม่ต่างกับเหลือบไรที่ไม่น่ามอง Rrr..กดเปิดประตูบ้านได้ไม่ทันไร มือถือที่อยู่ในกระเป๋าสะพายสีฟ้าอ่อนแสนหวานก็ดังขึ้น "ว่าไงเพื่อนรัก" กรอกเสียงใสลงไปพร้อมกับพยักหน้ารับไหว้สาวใช้คนหนึ่งที่วิ่งออกมาช่วยขนกระเป๋าเดินทาง [มะรืนนี้ลิซจะบินกลับไทยแล้ว เจ้าจันทร์อยู่ที่นั่นแล้วใช่ไหม] ฉันฉีกยิ้มอย่างดีใจที่ได้ยินแบบนั้นก่อนตอบเพื่อนที่ถือสายรอ "อืม เจ้าจันทร์เพิ่งถึงเหมือนกัน อยากให้ถึงมะรืนไว ๆ จังเลย" คิดถึงเพื่อนในสายคนนี้มาก เธอชื่อ 'ลลิตตา' หรือเรียกสั้น ๆ ว่า 'ลิซ' เป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เรียนมหา’ลัย เอาเข้าจริง ๆ ตอนนี้ฉันกำลังเดินตามรอยแม่กับป้าขจีเหมือนกันนะที่มีเพื่อนดี ๆ จริงใจด้วยคบมาตั้งเกือบสิบปีแล้ว [อย่าลืมหาร้านเตรียมฉลองให้ลิซล่ะ] "ได้เลยแม่กระต่ายน้อย" เสียงหัวเราะเมื่อฉายาถูกใจถูกเอ่ยขึ้น [เดี๋ยวตีเลยแม่กวางน้อยนี่] "รีบ ๆ มาตีล่ะ" [แล้วกวางจะถูกกระต่ายฟัด ลิซโทร.มาบอกแค่นี้ ตอนแรกกะจะเซอร์ไพรส์ แต่กลัวกวางน้อยตกใจเลยโทรบอกดีกว่า] "ดีมาก ถ้ามาแบบเซอร์ไพรส์จริงเจ้าจันทร์คงตกใจแย่" [เดี๋ยวเอาฟันกระต่ายเฉาะเลย แค่นี้แหละ ไว้เจอกัน] "จ้า เพื่อนรัก" ลิซกดวางสายไปแล้ว ฉันเดินขึ้นมาบนห้องก่อนจะเปิดประตูเข้าไปห้องตัวเองที่ไม่ได้มาเหยียบตั้งหลายปีแต่สภาพยังสะอาดสะอ้านเพราะแม่คงให้คนใช้มาทำความสะอาดให้ทุกวัน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม