ภายในห้องกว้างสีขาวนวลสว่างตา ผนังด้านหนึ่งประดับด้วยภาพโฆษณาต่างๆ ซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกของบริษัท ส่วนด้านตรงข้ามตลอดทั้งแนวตั้งแต่ช่วงเอวขึ้นมากรุกระจกใสทั้งหมด ผ้าม่านสีเข้มถูกรูดไปด้านข้างจนมองเห็นวิวทิวทัศน์ข้างนอกได้เต็มตา เฟอร์นิเจอร์ในห้องแม้จะมีน้อยชิ้นแต่กลับดูหรูหราลงตัวและมีรสนิยม เหมาะสมกับเป็นห้องทำงานของผู้บริหาร
หลังโต๊ะทำงานสีน้ำตาลเข้มที่วางเด่นอยู่ตรงกลางห้องกว้าง มีร่างสูงของเทวินทร์ ซึ่งสีหน้าท่าทางดูเคร่งเครียดนั่งอยู่ อารมณ์ไม่ดี เจ้าของห้องคิดในใจอย่างหัวเสีย ถ้าเขามีเวทมนตร์จะขอสาปวิภาวีซึ่งอยู่ในชุดเดรสเกาะอกสีดำกำลังนั่งไขว่ห้างพูดเจื้อยแจ้วอยู่บนโซฟาในขณะนี้ให้กลายเป็นหินไปซะเดี๋ยวนี้เลย
“กายขา ไปเป็นเพื่อนดูละครเวทีหน่อยนะคะ วิกกี้อุตส่าห์ไปหาซื้อบัตรมาเผื่อกายแล้วนะ กว่าจะหามาได้ต้องเสียเงินซื้อเป็นสองเท่าของราคาบัตร แล้วงานนี้ก็มีแต่คนดังๆ ไปดูทั้งนั้น”
“ผมงานยุ่งมาก ไม่มีเวลาว่างพอที่จะไปดูละครเวทีกับคุณหรอกนะวิกกี้ คุณไปดูกับเพื่อนๆ ของคุณเถอะ”
คำพูดตัดรอนแบบไร้เยื่อใยจากชายหนุ่มที่เธอหลงรัก ทำให้ใบหน้าที่แต่งมาอย่างสวยงามงอง้ำลงทันควัน แต่เธอก็ยังไม่ละความพยายามที่จะชวนชายหนุ่มไปดูด้วยกันให้ได้
“ก็วิกกี้คุยอวดเพื่อนๆ ไว้นี่คะว่าจะพากายไปดูด้วย ถ้ากายไม่ไปวิกกี้ก็เสียหน้าแย่สิคะ”
“คุณไปคุยอวดกับเพื่อนคุณเองโดยที่ผมไม่มีส่วนรับรู้ด้วย ดังนั้นจึงไม่เกี่ยวกับผม คุณออกไปได้แล้วผมจะทำงานต่อ” ชายหนุ่มเอ่ยปากไล่เพราะเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ งานสำคัญต่างๆ ที่กองอยู่บนโต๊ะเขาก็ยังเคลียร์ไม่เรียบร้อย
“โธ่ กายขา...”
ยังไม่ทันที่วิภาวีจะเอ่ยอะไรออกมาอีก โทรศัพท์บนโต๊ะทำงานของเทวินทร์ก็ดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน เจ้าของโต๊ะเอื้อมมือรับมาพูดอยู่ครู่ใหญ่ก็วางสาย แล้วจึงหันไปบอกหญิงสาว
“ตอนนี้ผมมีแขก คุณกลับไปได้แล้ววิกกี้ ส่วนเรื่องงานบริษัทพ่อของคุณ ผมกำลังดำเนินการให้อยู่ อีกไม่นานก็คงเรียบร้อย”
“เรื่องงานเอาไว้ก่อนเถอะค่ะ กายไปดูละครกับวิกกี้เถอะนะคะ เดี๋ยววิกกี้นั่งรอให้กายคุยธุระกับแขกเสร็จก่อนก็ได้ นานแค่ไหนก็จะรอ”
วิภาวีพูดถึงเรื่องงานอย่างไม่ให้ความสนใจนัก เพราะจุดมุ่งหมายเดียวในใจของเธอในเวลานี้ คือชวนเทวินทร์ไปดูละครเวทีด้วยให้ได้ เพราะไปคุยโวโอ้อวดกับเพื่อนๆ ไว้เยอะเกี่ยวกับเรื่องของชายหนุ่ม ถ้าไม่ควงเขาไปให้เห็น
มีหวังหน้าแตกหมอไม่รับเย็บเป็นแน่
คนถูกเซ้าซี้เริ่มจะหมดความอดทนกับการพูดไม่รู้เรื่องของหญิงสาว จึงต้องดุเสียงเข้มคล้ายตะคอกออกไป
“วิกกี้ ผมบอกให้คุณออกไปได้แล้ว!”
“ไปก็ได้ค่ะ”
คนถูกไล่เป็นครั้งที่สามลุกขึ้นยืนแต่โดยดี เมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มเอาจริง แล้วเดินกระฟัดกระเฟียดออกจากห้องไปอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ ขณะเดินผ่านโต๊ะทำงานของณัฐวดีซึ่งเป็นเลขาฯ ของเทวินทร์ ดวงตาที่เขียนอายไลเนอร์ไว้อย่างโฉบเฉี่ยวก็ตวัดมองไปยังแขกที่มารอพบเจ้าของบริษัทพลางนึกดูถูกในใจ นี่หรือคนที่มาขอพบเทวินทร์ ดูแต่งตัวเข้า ไม่ได้มีรสนิยมเอาเสียเลย แต่...ทำไมเธอคุ้นหน้าผู้หญิงคนนี้เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็มองผ่านเลยไปอย่างไม่สนใจนัก ก่อนเดินสะบัดหน้าออกไปทันที
“ผู้หญิงอะไรทำตัวไม่น่ารักเอาซะเลย” เลขาฯ ของเทวินทร์บ่นพึมพำตามหลังพลางส่ายหน้าอย่างระอาใจ แล้วจึงหันไปมองหญิงสาวที่นั่งรออย่างอดแปลกใจไม่ได้ เพราะปกติถ้ามีการติดต่อจากพวกนิตยสารเพื่อขอนัดสัมภาษณ์ ส่วนใหญ่เจ้านายของเธอมักจะให้เธอรับหน้าแทนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับผิดคาดยอมให้เข้าไปพบได้
“รออีกสักครู่นะคะ พอดีบอสเพิ่งคุยธุระกับแขกเสร็จค่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ปากบอกไม่เป็นไรแต่บุษบามินตราก็ก้มลงมองนาฬิกาข้อมืออย่างหงุดหงิด ผู้หญิงชุดดำที่เดินผ่านหน้าไปเมื่อครู่เธอจำเจ้าหล่อนได้เป็นอย่างดี แม่ไฮโซปากไม่มีหูรูดคนนั้นนั่นเอง ให้เธอนั่งรอเป็นนานสองนานไม่ใช่เพราะมัวแต่จู๋จี๋กับคู่รักอยู่หรอกนะ!
หลังจากวิภาวีก้าวพ้นจากห้องไปแล้ว เทวินทร์ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างเบื่อหน่าย ถ้าไม่เกรงใจว่าเป็นเพื่อนเก่าและบิดาของอีกฝ่ายเป็นลูกค้าคนสำคัญของบริษัทละก็ เขาไล่เปิดไปตั้งแต่เข้ามานั่งพูดด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องแล้ว มาหาครั้งใดก็มีแต่เรื่องไร้สาระมาพูดให้ฟังจนเขาเอือมระอา
เจ้าของร่างสูงเพรียวเอนกายพิงพนักเก้าอี้พลางยกมือขึ้นนวดคลึงหน้าผากเบาๆ อย่างหงุดหงิดหัวใจ เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจึงรู้สึกเช่นนี้ ซึ่งไม่ใช่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาข่าวต่างๆ เกี่ยวกับตัวเขาโดยเฉพาะข่าวคาวๆ ที่เคยลงตามหน้านิตยสารต่างๆ นั้นเงียบหายไป
แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจแต่อย่างใด ทว่ากลับมีบางสิ่งบางอย่างเข้ามาคอยรบกวนจิตใจให้ร้อนรุ่มแทน แม้จะพยายามขับไล่สิ่งที่ว่าออกไปเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล