นักธุรกิจหนุ่มคนดังสะบัดศีรษะไปมาอย่างหงุดหงิด ลุกขึ้นยืนแล้วหมุนตัวไปด้านหลัง ยกมือแตะตรงผนังแล้วเลื่อนไปด้านข้างช้าๆ จนกลายเป็นช่องประตู ถ้าไม่สังเกตแทบจะมองไม่ออกเพราะกลมกลืนไปกับผนังอย่างแนบเนียน เขาสั่งให้ช่างทำไว้สำหรับเป็นที่พักผ่อนยามเคร่งเครียดหรือเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน
ชายหนุ่มเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบผ้าเย็นมาเช็ดหน้าเบาๆ จนค่อยรู้สึกสดชื่นขึ้น แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่เลขาฯ ส่วนตัวของเขาโทร.เข้ามาแจ้งว่ามีคนจากนิตยสารพราวฝันมาขอเข้าพบ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงต้องการจะสัมภาษณ์เขานักหนา น่าจะรู้ว่าเขาไม่เคยตอบรับ แต่ก็ยังส่งคนมาอยู่เรื่อยๆ
แต่ครั้งนี้เขาอยากรู้นักว่าคนจากนิตยสารพราวฝันที่มาขอพบมีดีอะไรถึงกล้ามาขอนัดด้วยตนเอง คิดได้ดังนั้นเจ้าของใบหน้าสวยเกินชายก็ก้าวออกจากห้องลับมาทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นก็กดโทรศัพท์หาเลขาฯ ทันที
“คุณบุ๋ม เชิญคนจากนิตยสารพราวฝันเข้ามาหาผมได้เลย”
“ค่ะบอส”
อึดใจต่อมาประตูห้องก็ถูกเคาะเบาๆ สามครั้ง แล้วถูกเปิดออกโดยเจ้าของร่างอ้อนแอ้นที่อยู่ในชุดเรียบๆ เธอก้าวเข้ามาทรุดนั่งตรงหน้า ทำเอาเจ้าของห้องถึงกับนั่งตะลึงงัน ดวงหน้าเครียดขรึมที่เคยปรากฏก่อนหน้านี้คลายลงโดยไม่รู้ตัว ดวงตาคมลึกล้ำของนักธุรกิจหนุ่มฉายชัดถึงความยินดีภายใต้สีหน้าเรียบเฉย
เพราะเธอคือสิ่งรบกวนจิตใจของเขาตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมานั่นเอง!
อารมณ์หงุดหงิดของชายหนุ่มก่อนหน้านี้สลายไปจนสิ้น ผู้หญิงคนนี้เองหรือที่มาจากนิตยสารพราวฝัน ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่น่ายินดีเสียนี่กระไร! ทำให้หวนนึกถึงวันที่พบหน้ากันครั้งแรก
เจ้าตัวคงไม่รู้หรอกว่านับจากวันนั้นเป็นต้นมา ดวงหน้างามจับตาของเธอมักจะผุดขึ้นในหัวเขาอยู่ร่ำไป ดังนั้นการได้พบเธออีกอย่างไม่คาดฝันในครั้งนี้ ทำให้ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นมาในใจเงียบๆ ซึ่งเขาก็ไม่รู้แน่ชัดว่ามันคืออะไรกันแน่!
“สวัสดีค่ะคุณเทวินทร์ ดิฉันมาจากนิตยสารพราวฝัน” บุษบามินตราเอ่ยแนะนำตัว ดวงตาดำขลับคู่งามขุ่นขึ้งเล็กน้อยเมื่อสบตากับคนตรงหน้า คนอะไรไม่รู้จักรักษาเวลา ปล่อยให้เธอคอยอยู่ได้ตั้งนานสองนาน
เทวินทร์มองสาวสวยตรงหน้าด้วยนัยน์ตาคมกริบเป็นประกาย แล้วเอ่ยทักทายอีกฝ่ายด้วยชื่อที่เขาจดจำได้อย่างแม่นยำทว่าสีหน้ายังคงเรียบเฉย
“สวัสดีครับคุณบุษบามินตรา”
เจ้าของดวงหน้างดงามชะงักไปนิดหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าเขาจะจดจำเธอได้ มิหนำซ้ำยังเรียกชื่อได้อย่างถูกต้อง
“คุณมาจากนิตยสารพราวฝัน?” เจ้าของบริษัทโฆษณาชื่อก้องแกล้งถามเสียงเข้มพร้อมปรายตาคมมองหญิงสาวนิ่งๆ
“ใช่ค่ะ ดิฉันจะมาขออนุญาตนัดคุณเทวินทร์ เพื่อสัมภาษณ์ลงนิตยสารของเราค่ะ”
น้ำเสียงเรียบสนิทของหญิงสาวที่มาขอนัด เทวินทร์ฟังแล้วรู้สึกแปร่งหูยิ่งนัก บวกกับท่าทางอวดดีของคนพูด คล้ายกับว่าได้รับมอบหมายให้มาทำหน้าที่นี้ด้วยความจำใจ มากกว่าจะมาขอนัดเพราะต้องการสัมภาษณ์เขาจริงๆ ยังไงยังงั้น
“น้ำเสียงของคุณดูเหมือนไม่ได้เต็มใจจะมาขอนัดผมเลยนะครับ คุณบุษบามินตรา” ชายหนุ่มถามพร้อมเลิกคิ้วเข้ม จงใจเน้นเสียงหนักๆ ท้ายประโยค เพื่อให้หญิงสาวรู้ตัวและลดท่าทีดังกล่าวลง
“แล้วดิฉันจะต้องใช้น้ำเสียงแบบไหนหรือคะ คุณเทวินทร์ถึงจะพอใจ” หญิงสาวเอ่ยถามน้ำเสียงค่อนข้างห้วนอย่างลืมตัว เพราะหงุดหงิดที่ถูกให้รอนาน ลืมแม้กระทั่งคำพูดที่เจ้านายย้ำเตือนมาจนสิ้น
นักธุรกิจหนุ่มมองท่าทางอวดดีของหญิงสาวแล้วอารมณ์ขุ่นเคืองก็เกิดขึ้นฉับพลัน เพราะไม่เคยมีใครโดยเฉพาะผู้หญิงคนไหน เคยแสดงท่าทีเช่นนี้กับเขามาก่อน
“จะต้องให้ผมบอกคุณหรือครับ ว่าควรจะใช้น้ำเสียงแบบไหนในการขอนัดผมเพื่อสัมภาษณ์ คุณคงทราบดีอยู่แล้วว่าปกติผมไม่เคยให้คนจากนิตยสารเล่มไหนเข้าพบด้วยซ้ำ คุณลองไตร่ตรองดูแล้วกัน ถ้าเปลี่ยนตัวคุณ
มาเป็นผม แล้วถูกแสดงกิริยาท่าทางเช่นนี้ใส่ คุณว่าผมควรจะรับนัดหรือเปล่าล่ะครับ”
คำย้อนถามของคนตรงหน้าทำให้บุษบามินตรารู้ตัว นึกก่นด่าตัวเองว่าไม่ควรแสดงความรู้สึกส่วนตัวออกไป ทั้งที่ถูกเจ้านายย้ำนักย้ำหนาแล้วว่าให้แยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานออกจากกัน ถ้าอีกฝ่ายโกรธขึ้นมาแล้วไม่ยอมรับนัดก็จะทำให้งานที่ได้รับมอบหมายมาไม่สำเร็จ ตัวเธอก็คงไม่แคล้วถูกตำหนิ เมื่อนึกถึงความรับผิดชอบเรื่องงานที่ต้องมาก่อนเรื่องอื่นใด หญิงสาวจำต้องเอ่ยปากขอโทษออกไปทันที
“ดิฉันขอโทษค่ะที่พูดจาไม่เหมาะสมออกไป”
เทวินทร์มองหน้าคนพูดด้วยสีหน้ายังไม่คลายจากอาการขุ่นเคือง เพราะแม้แต่คำขอโทษเจ้าตัวก็ยังพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่เต็มใจ
“ลองไปส่องกระจกดูหน้าตัวเองเวลาพูดขอโทษสิครับ ว่าผมควรจะยกโทษให้หรือเปล่า”
คำพูดดังกล่าวทำให้บุษมามินตราที่ไม่ได้เต็มใจจะมา ซ้ำยังมีใจอคติกับอีกฝ่ายอยู่ก่อนแล้วถึงกับฉุนกึก ความคิดที่ว่าจะทำเพื่องานสูญสลายหายไป
“ดิฉันก็ขอโทษแล้วไงคะ จะให้ทำอย่างไรอีกคุณถึงจะพอใจ”
ฟิวส์ของเทวินทร์ขาดสะบั้นลงทันที เขาจึงกระชากเสียงถามออกไปตรงๆ “ไม่ทราบว่าผมไปทำอะไรให้คุณไม่พอใจหรือโกรธเคืองเป็นการส่วนตัวหรือเปล่าคุณบุษบามินตรา”
คนถูกกระชากเสียงใส่ลืมหมดสิ้นว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ ลืมแม้กระทั่งว่าสิ่งที่ตัวเองจะพูดออกไปเป็นเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย และยังไม่เกี่ยวข้องกับงานที่ได้รับมอบหมายมาเลยสักนิด