บทนำ#100%
‘พันวารี นพรัตน์’ เธอคือคุณหนูสุดจี๊ดวัยสิบแปดปีที่ใครตบมาแม่ถีบกลับใครต่อยมาแม่ก็เตะคว่ำอาจเพราะเธอเกิดมาในบ้านที่บิดามีเมียมากใช่…ไม่ผิดเด็กสาวเป็นลูกสาวเสี่ยใหญ่วัยห้าสิบปีเช่นนาย’ วิโรจน์นพรัตน์’ ที่มีภรรยาเอกหรือเมียแต่งเช่นคุณ ‘สุภาพรรณ นพรัตน์’ ที่มีร่างกายไม่แข็งแรงหลังจากแต่งงานกันถึงสิบสามปีจึงค่อยมีบุตรสาวเช่นเด็กหญิงพันวารีออกมาดังนั้นข้ออ้างของผู้ชายเจ้าชู้มักมากจึงเกิดขึ้นมาโดยโยนความผิดให้ฝ่ายภรรยาว่าให้ความสุขเขาไม่ได้ให้ทายาทสืบสกุลแก่เขาไม่ได้จึงต้องไปมีหญิงอื่นมาทำหน้าที่แทน
ดังนั้นเด็กสาวเป็นลูกของเมียหลวงก็จริง ทว่ากลับมาพี่ชายและพี่สาวต่างมารดาที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันอีกสองคนเรียกว่าเด็กสาวนั้นเป็นบุตรสาวคนเล็กแต่จะคนเล็กหรือตัวเล็ก ทว่าพันวารีไม่ใช่เด็กสาวที่เหล่ามารดาเลี้ยงหรือเหล่าพี่ๆ จะมาจิกศีรษะเอารัดเอาเปรียบเธอได้
“แม่ไปบวชชีคราวนี้หนูแน่ใจหรือว่าจะไม่ไปกับแม่จริงๆ น่ะหนูพันซ์”
คุณสุภาพรรณสตรีวัยเพียงสี่สิบหกปีแต่กลับทำตัวถือศีลธรรมะธัมโมราวกับคนอายุหกสิบเจ็ดสิบนั่นก็คงเพราะเธอเบื่อหน่ายกับเหล่าผู้หญิงของสามีที่มามากมายจนนางไม่คิดจะนับใครอยากตบตีแย่งชิงคุณสุภาพรรณก็ปล่อยไปนางสนใจก็เพียงแก้วตาดวงใจเช่นพันวารีเท่านั้น
“หนูพันซ์มีนัดกับแจนแล้วโอ๋ว่าสงกรานต์นี้เราจะไปน้ำตกกันค่ะปิดเทอมทั้งทีขอให้หนูพันซ์ไปปีนเขาเที่ยวป่าบ้างเถอะค่ะไปวัดน่ะหนูไปมาทุกปีแล้วน๊า…แม่จ๋า…หนูพันซ์อยากไปน้ำตกจริงๆ”
เด็กสาวที่เพิ่งสลัดชุดมัธยมปลายกำลังจะก้าวไปสู่รั้วมหาวิทยาลัยตรงเข้าไปออดอ้อนมารดาที่เธอทั้งรักเคารพและอดจะเห็นใจท่านเสียมิได้เพราะคุณสุภาพรรณนั้นเป็นเมียหลวงแห่งชาติมากในสายตาของเด็กสาว
บรรดาเมียน้อยของบิดาคนไหนมาวุ่นวายระรานแต่มารดาของเธอก็เพียงแค่นยิ้มแล้วก็เดินหนีขึ้นห้องพระสวดมนตร์จนพันวารีต้องร้องเรียกอีกฝ่ายว่า’ คุณแม๊’ อยู่บ่อยครั้งในวัยเด็ก หากพอเธอเข้าวัยสิบเอ็ดขวบบิดาพอเมียน้อยกับลูกนอกสมรสที่อายุมากว่าเธอนับสิบปีตั้งแต่วันนั้นมาจะร้ายมาเพียงใดแรงมาเท่าไหร่พันวารีบ่เคยหวั่นไหวเด็กสาวสู้กลับชีวิตลูกเมียหลวงแทบทุกวัน
“แล้วหนูบอกคุณพ่อหรือยังคะ?”
ทุกคำที่มารดาพูดคุยกับบุตรสาวนั้นนุ่มนวลอ่อนหวานละมุนละไมเสมอต้นเสมอปลายไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็ตามจนเพื่อนสนิทเช่นแจนและโอ๋ชอบล้อเลียนในยามที่เธอกล่าวคำหยาบคายว่าระวังคุณหญิงแม่จะไม่ปลื้มนะคะหญิงพันซ์อยู่บ่อยครั้ง
“เรียบร้อยค่ะพร้อมค่าขนมเล็กน้อย”
‘ค่าขนมเล็กน้อย’ สำหรับคุณหนูพันซ์แน่นอนว่าย่อมต้องเลยหกหลักอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะเสี่ยวิวิโรจน์ก็เหมือนคนรวยทั่วไปที่เลี้ยงลูกด้วย’ เงิน’ และแสดงความรักว่าจะมากหรือน้อยก็ล้วนเป็น’ เงิน’ ทั้งสิ้นและสำหรับลูกสาวคนเล็กเช่นพันวารีที่ในยามร้ายเขายังต้องสยบ ทว่าในยามออดอ้อนกระเป๋าใบละเป็นล้านอาเสี่ยใหญ่ก็กล้าเปย์ให้บุตรสาวคนนี้มาแล้ว
“ระหว่างที่แม่ไม่อยู่หนูก็อย่าไปมีเรื่องกับ’ บ้านโน้น’ เขานะคะเราต่างคนต่างอยู่น่ะมีความสุขที่สุดแล้วคิดแต่จะเอาชนะคะคานกันมีแต่ทุกข์เพราะเพลิงโทสะมันร้อน”
ดวงตาคู่งามกลอกกลิ้งขึ้นมาบนในยามที่ตนเองตรงเข้าไปกอดแล้วส่งมารดาขึ้นรถไปยังวัดป่าที่จะไปปฏิบัติธรรม ส่วนปากก็เอ่ยบอกอีกฝ่ายว่าอย่าได้เป็นห่วงไปเลยที่จะสงบเสงี่ยมเจียมตัว...เสียเมื่อใดกัน!...
“เดินทางปลอดภัยนะคะแม่ หนูพันซ์อยู่ทางนี้จะรอรับผลบุญจากคุณแม่ทุกคนเล๊ย”
...เผียะ!...
“พูดอะไรก็ไม่รู้เด็กคนนี้”
เพราะคำกล่าวเช่นนั้นสำหรับนางแล้วคล้ายกับจะเป็นลางร้ายฟังแล้วใจหายชอบกลแต่เด็กสาวยุคไอทีเช่นพันวารีนั้นกลับมองว่าเป็นเรื่องตลกและไร้สาระมากเรื่องบาปบุญอะไรนั่นเด็กสมัยใหม่เช่นเธอไม่สนใจอยู่แล้ว
พอส่งมารดาเรียบร้อยคนร่างอวบอัดก็วิ่งซอยเท้าขึ้นบันไดวนไปสู่ชั้นที่สามของตัวคฤหาสน์ แล้วความบังเอิญที่เธอต้องผ่านชั้นสองซึ่งเป็นของภรรยาคนที่สองกับลูกสาววัยมากกว่าเธอสี่ปีก็ยากจะหลบหลีกยายพี่สาวต่างมารดาที่ในยามต่อหน้าเธอพูดจาดีวาจาเคลือบน้ำผึ้งแต่หลายครั้งที่ยายฟองจันทร์ปล่อยพิษร้ายเธอแบบแนบเนียน
เรียกว่าหากคุณนายสามกับลูกชายนั้นร้ายกาจโจ่งแจ้งคุณนายสองกับบุตรสาวสองฟองคือฟองจันทร์กับฟองแขคู่นี้ก็เป็นนางร้ายที่ร้ายลึกร้ายจริงร้ายชนิดอันลิมิต เอดิชั่น ร้ายจนโลกต้องจดจำเลยที่
“น้องพันซ์...”
ดวงตากลมสวยเพราะได้เชื้อสายทางฝ่ายมารดามาถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์กลอกกลิ้งเมื่อได้ฟังเสียงหวานเจี๊ยบจนเธอขนลุกขนชันไปหมด แต่เท้าเรียวก็หยุดลงอย่างน้อยก็ไม่อยากหันหลังให้อีกฝ่ายเพราะยายฟองจันทร์อาจถีบเธอตกบันไดไปคอหักตายเอาได้ ก็อย่างว่าบิดาเธอร่ำรวยระดับหมื่นล้านก็จริงแต่หากตัวหารสมบัติเช่นเธอที่มีแววว่าจะได้ส่วนแบ่งมรดกมากกว่าลูกจากเมียน้อยอีกสองคนถูกกำจัดไปเสียทรัพย์สินที่พวกสี่แม่ลูกพวกนี้จับจ้องอยู่ย่อมได้เพิ่มมากขึ้นแน่นอน
“อ้าวเจ๊ฟอง วันนี้ทำไม่ตื่นก่อนตะวันตรงหัวได้อ่ะ”
คนตัวอวบหันไปเผชิญหน้าอีกฝ่ายด้วยกิริยาไม่หวาดหวั่นแม้อีกฝ่ายจะอายุมากกว่ากันร่วมห้าปีก็ตามเพราะสำหรับเธอมีแม่คนเดียวและเธอคือลูกโทน ส่วนสัตว์เลื้อยคลานพวกนี้มัน’ ปลิง’ ที่มาอาศัยสูบเลือดสูบเนื้อจากบิดาของตนเองทั้งสิ้น
“พอดีว่าคืนนี้เจ่เจ๊มีนัดไปบางแสนก็เลยอยากขอยืมรถคันใหม่ของน้องพันซ์จะได้ไหมจ๊ะ”
...หน้าด้านกล้ามาขอยืมลูกรักป้ายแดงที่บิดาเพิ่งถอยมาเป็นของขวัญครบสิบแปดปีของเธอเชียวหรือ? ...
“กล้าเนอะ...กล้ามายืมรถของฉันทั้งที่รถในบ้านมีเป็นสิบคันแต่ขอโทษ เธอกล้าหน้าด้านขอแต่ฉันมันก็พวกหน้าด้านกว่า...ดูปากพันวารีนะคะ...ฉัน-ไม่-ให้!”
พูดจบเท้าเรียวก็ซอยยิบขั้นชั้นบนที่เป็นชั้นส่วนตัวของเธอกับมารดาแล้วจึงเตรียมตัวไปจัดกระเป๋าเพราะพรุ่งนี้เธอมีนัดกับเพื่อนสนิทแบกเป้ไปเที่ยวจังหวัดตรังด้วยกัน ซึ่งเด็กสาวก็ใช้เวลาจัดไม่นอนก็เสร็จขึ้นไปนอนเล่นมือถือต่ออย่างสบายอารมณ์เพราะถึงเธอจะเป็นคุณหนูที่มีบิดารวยเป็นหมื่นล้านแต่สิ่งที่พันวารีไม่ชอบที่สุดก็คือให้เหล่าสาวใช้ขึ้นมาวุ่นวายกับข้าวของดังนั้นไม่ว่าจะไปไหนพันวารีก็จัดกระเป๋าด้วยตนเองเสมอ
“ฮัลโหล...มีอะไรนางหอยแจน”
คุยกันทางช่องแชทดูจะไม่มันเด็กสาวจึงประชุมสายเมื่อหัวโจกเช่นแจน หรือจีระวัฒน์ที่ชัดเจนว่าเป็นสาวสองมาตั้งแต่พวกเธอเพิ่งก้าวขึ้นวัยสิบสองขวบ
“คืออย่างนี้คืนนี้ทางสะดวกพวกเราไปลั่นลาที่ผับ...ก่อนบินไปตรังช่วงบ่ายกันไหม?”
เรื่อง’ ลั่นลา’ นี้หมายถึงการออกไป’ แรด’ ส่องผู้งานดีในผับกึ่งบาร์โฮส ที่นับจากวัยครบสิบแปดพันวารีก็ไม่เคยพลาดที่จะไปท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตามันทุกสถานที่ เพราะถือว่าหนึ่งพ่อรวย และสองเธอก็เพียงไปท่องเที่ยวไปเรียนรู้โลกกว้างไม่ได้ไปทำอะไรเสียหายกว่านั้น
หรือหากจะเสียหายเธอก็มองว่ามันไม่แปลกอะไรกับวัยรุ่นอายุขนาดพวกเธอ เรียกว่าหากเจอหนุ่มถูกใจพวกเธอก็พร้อมเปย์พร้อมพลีกายพลีพรหมจรรย์ไม่คิดเสียดายอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาสิบแปดปีเธอยังไม่เจอผู้ชายคนดังกล่าวก็เท่านั้น แต่ไม่แน่คืนนี้เธออาจจะพบคนคนนั้นก็เป็นไปได้
“โอเคงั้นคืนนี้พบกันที่บ้านแกนะนังหอยกระป๋องแจน”
หลังจากนั้นทั้งสามเพื่อนสนิทก็ยังคุยเล่นกันอีกร่วมชั่วโมง สุดท้ายเด็กสาวก็หลับไปเพราะตื่นมาส่งมารดาตั้งแต่ตีสี่ทั้งที่ปกติแล้วไม่แปดโมงพันวารีไม่เคยลาจากเตียงนอนและหมอนสุดที่รัก
แต่พอเธอหลับไปกลับไปโผล่ในขบวนแต่งงานที่คล้ายในซีรีส์จีนโบราณที่เพื่อนสาวทั้งสองชอบดู ซึ่งขบวนแต่งงานดังกล่าวใหญ่โตไม่น้อยเจ้าบ่าวที่อยู่บนหลังอาชาสีดำสนิทนั้นหน้าตาก็ดูหล่อเหล่าชวนกรี๊ดเพียงแต่ใบหน้าของเขาดูไร้อารมณ์ไปสักหน่อย เรียกว่าเย็นชาจนหนาวสะท้านก็ไม่ผิดนัก
...หล่อแต่ดูเย็นจนหนาวเข้าสมองแม่ก็ไม่ไหวนะคะขอเลื่อนผ่าน...
แล้วพลันนั้นสายตาของพันวารีก็เหลือบไปเห็นบุรุษอีกคนคาดว่าคงเป็นญาติฝ่ายเจ้าบ่าวเพราะหน้าตาคล้ายกันอยู่มาก แต่ที่เด็กสาวสะดุดปังจนศีรษะทิ่มก็คือรอยยิ้มของเขา ผู้ชายบ้าอะไรยิ้มทั้งทีโลกทั้งใบพร้อมจะสยบอยู่แทบเท้าเขาเสียจริงไม่ใช่สิ ไม่ใช่โลกทั้งใบ แต่เป็นสตรีทั้งใต้หล้าต่างหากที่พร้อมจะสยบอยู่หน้าเตียงพร้อมพลีกายไม่คิดชีวิตซึ่งแต่นอน หนึ่งในนั้นมีเธออยู่ด้วยแล้วหนึ่ง!
พอมองคนหล่อใจระทวยจนอิ่มก็มาถึงพิธีแต่งงานซึ่งพิธีที่พันวารีได้มาพบเห็นนี้เป็นฝ่ายเจ้าสาวมาถึงบ้านของฝ่ายเจ้าบ่าวแล้ว พิธีการเริ่มจากเจ้าบ่าวเตะไปยังเกี้ยวเจ้าสาวสามครั้งแม่สื่อก็ส่งเด็กหญิงคนหนึ่งไปรับจับจูงมือของเจ้าสาวมาส่งให้แก่เจ้าบ่าว
ซึ่งพอพันวารีได้เห็นหน้าเจ้าสาวหลังด้ามพัดสวยงามก็ต้องตกตะลึงเพราะความงามนี้คงมีเพียงงามล่มบ้านล่มเมืองเพียงเท่านั้นจึงเหมาะสมกับผู้เป็นเจ้าสาวผู้นี้ ทว่าใบหน้างดงามกลับไร้แววยินดีอย่างที่เธอเคยไปร่วมงานแต่งงานมาตลอดอายุสิบแปดปีไปจนสิ้น
นอกจากไร้ความยินดีแล้วพันวารียังแลเห็นถึงความเศร้าโศกที่ฝ่ายเจ้าสาวมีไม่ได้ มันมากล้นอย่างยิ่งโดยเพราะในยามที่สายตางามเหลือบไปมองพ่อคนหล่อยิ้มหนึ่งครั้งใต้หล้าแทบระทวยสิ้นด้วยแล้วมันมีแต่ความอาลัยอาวรณ์ เพียงเท่านี้ติงซีรีส์คนหนึ่งเช่นนี้ก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าฝ่ายเจ้าสาวมีใจให้บุรุษอื่นที่มิใช่สามีของตนเอง
...ดรามาเฉยเลยตรู...
พันวารีคิดถึงความฝันนี้อย่างคนดูคนหนึ่งเท่านั้น จวบจนถึงพิธีส่งตัวเข้าหอก่อนจะเดินจากไปเจ้าสาวผู้นั้นยังทอดสายตามองไปยัง’ น้องสามี’ ที่เธอพอจะจับใจความเป็นครั้งสุดท้ายอย่างกับจะมองภาพดังกล่าวแล้วฝังลึกสลักเอาใบหน้าของชายอันเป็นที่รักปีกตรึงเอาไว้กลางทรวงก็มิปาน
ฝ่ายเจ้าบ่าวนั้นก็ดูเฉยชากับสายตาเหล่านั้นของผู้กำลังจะเป็นภรรยาของตนเองที่จับจ้องไปที่’ น้องชาย’ คล้ายกับเขาเองทราบทุกสิ่งดีอยู่แล้วแต่ก็ไม่สนใจ จวบจนฝ่ายเจ้าบ่าวถูกส่งเข้าห้องหอซึ่งหากว่าเป็นซีรีส์บอกเลยนี่แหละฉากที่รอคอย
“ท่านพี่...”
กายอรชรนุ่มนิ่มของเจ้าสาวลุกขึ้นมายืนหน้าเตียงทั้งสีหน้าและแววตามองอีกฝ่ายด้วยสายตาของน้องสาวผู้หนึ่งมองพี่ชายไร้แววเสน่หาใดให้พันวารีเห็นเลยสักนิดดังนั้นฝ่ายเจ้าบ่าวเองเขาย่อมต้องมองออกมิแตกต่างจากนางเช่นกัน
"เล่อเยียนหวังว่าท่านพี่ฮ่าวเฉินจะทำตามคำพูดที่รับปากเอาไว้ก่อนวันแต่งงานของพวกเรานะเจ้าค่ะ”
บุรุษร่างกายกำยำหยุดฝีเท้าห่างจากกายของเจ้าเรียกหนึ่งช่วงแขนเลยคงเห็นจะได้ เขาไม่กล่าวสิ่งใดเพียงก้มศีรษะให้ผู้เป็นเจ้าสาวดังกับจะรับปากว่าเขาทราบดีและจะทำตามไม่มีขัดข้อง
“เช่นนั้นจวนมู่หรงยินดีต้อนรับเจ้าจากใจจริงนับจากนี้เรือนแสงจันทร์ส่องแห่งนี้จะเป็นของเจ้าแค่เพียงผู้เดียวข้าจะมิมาวุ่นวายให้เจ้าลำบากใจเด็ดขาดเล่อเยียน”
“เล่อเยียนขอบคุณพี่ฮ่าวเฉินยิ่งนัก”
แล้วฝ่ายเจ้าสาวก็ย่อกายลงทำความเคารพบุรุษผู้เป็นเจ้าบ่าว ซึ่งอีกฝ่ายก็เดินไปรินสุรามงคลส่งให้เจ้าสาวหนึ่งถ้วยตัวของเขาหนึ่งถ้วย กับจัดการป้อนผลไม้แห้งและขนมบนโต๊ะที่มีของกินมากมายนั้นอีกครู่เขาก็ถอยห่างเดินไปที่ประตูห้องหอโดยมีเจ้าสาวคนงามเดินตามไปส่ง
“เล่อเยียนขอน้อมส่งท่านพี่ขอให้ราตรีเข้าหอระหว่างท่านพี่และอนุเจียวจงมีแต่ความสุขนะเจ้าค่ะ”
...โอ้โห...
ถึงขนาดเดินออกมาส่งสามีของตนเองให้ไปเข้าหอกับอนุภรรยาด้วยใบหน้าสงบสุขได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ต้องมีใจไม่รักกันเพียงใดสตรีนางหนึ่งจึงยินดีส่งสามีในราตรีเข้าหอไปให้กับสตรีอื่นช่างเป็นความฝันที่แสนเศร้าจนถึงขนาดที่พันวารีตื่นขึ้นมาแล้วน้ำตายังติดอยู่ที่ปลายหางตาอยู่เลย
“เฮ้อคงต่างถูกบีบบังคับให้แต่งงานกันทั้งที่ก็ต่างมีคนในใจกันแล้วทั้งคู่แน่นอนนางพันซ์ฟันธง!”
คนยังอารมณ์ค้างจากความฝันบ่มพึมพำก็มันอดจะสงสารฝ่ายหญิงไม่ได้นี่นา เธอคนนั้นรักกับคนน้องแต่จำเป็นต้องมาแต่งกับคนพี่พอแต่งงานแล้วเรื่องสมหวังตัดทิ้งไปได้เลยมีเพียงต้องอยู่อย่างตายทั้งเป็นเห็นบุรุษอันเป็นดวงใจแต่งงานออกไปกับสตรีอื่น ส่วนฝ่ายเจ้าบ่าวภายในใจของพันวารีไร้ความเห็นใจทั้งหมดเพราะเหมือนกับวันนี้เขาแต่ง’เล่อเยียน’ มาเป็นภรรยาเอกแล้วคล้ายกับเขาก็รับอนุภรรยาเจียวอะไรนั้นเข้ามาด้วย
...หึ!...
จะยุคไหนสมัยใดหรือแม้แต่ความฝันไยเธอต้องพบเจอแต่เหล่าบุรุษผู้กำหนดให้ตนเองอยู่เหนือสตรีอยู่เสมอกันนะไม่เข้าใจเลย อิตาฮ่าวเฉินอะไรนั่นนอกจากจะไม่ต้องทุกร้อนอะไรแล้วเขายังสามารถแต่งอนุภรรยาเข้าจวนได้อีกเป็นสิบเป็นร้อยแต่เล่อเยียนคนนั้นชั่วชีวิตก็คงจบสิ้นอยู่เพียงในเรือนที่สามียกให้เพียงเท่านั้น
“เป็นไอ้พันซ์หน่อยไม่ได้แม่จะยื่นข้อเสนอรับอนุชายมาอุ่นเตียงให้ร้อนจนเรือนไหม้ไปเล๊ย!”
กล่าวทิ้งท้ายก่อนจะมองดูเวลาก็เห็นว่าใกล้เวลาที่ตนเองนั้นนัดกับสองเพื่อนซี้เอาไว้แล้วจึงสลัดเรื่องความฝันแสนจะดรามาเพราะคาดว่าชีวิตตนเองคงเผชิญกับบรรดาเหล่าผู้หญิงของบิดาจนเก็บเอามาฝันเป็นตุเป็นตะไปเท่านั้น คนตัวอวบอั๋นด้วยวัยเริ่มสาวอาบน้ำแต่งกายเสร็จก็เดินลงจากชั้นสามที่เป็นอาณาจักรของเธอกับมารดาตรงไปยังโรงรถที่มีเจ้าพอร์ชสีเหลืองมะนาวสดใสที่บิดาเพิ่งจะถอยมาให้ได้ยังไม่ถึงเดือนและเธอก็ขับมันเพียงแค่สามครั้งเท่านั้น
กายอวบอั๋นเปิดประตูขึ้นไม่นั่งยังไม่ทันปิดประตูรถคันหรูก็พอดีกับมือถือราคาแพงกรีดเสียงร้องขึ้นมาเสียก่อน พันวารีนั้นรีบดึงออกจากกระเป๋าใบหรูแล้วยกขึ้นมาดูพอเห็นว่าเป็นชื่อของบิดาเด็กสาวก็กดรับสายโดยที่ยังไม่ขับออกไปจากโรงรถเพราะไม่ได้รีบร้อนอะไรนี่เพิ่งทุ่มกว่าเท่านั้น
“ค่ะคุณป๊า”
‘อยู่ไหนน่ะอาพันซ์’ เพราะเป็นคนไทยเชื้อสายจีนนายวิโรจน์จึงพูดภาษาไทยไม่แข็งแรงเท่าไหร่
“บ้านสิคะคุณป๊า” เธอไม่ได้โกหกนะก็ตอนนี้เธอยังจอดรถคันหรูอยู่ในคฤหาสน์ราคาหลายพันล้านของบิดาจริงๆ ไม่ได้ออกไปไหนเลย
‘จริงนะอาพันซ์’ เสียงอาทรของบิดาดังลอดมาตามสายจนพันวารีแย้มยิ้มแก้มตุ่ย
“จริงสิคะคุณป๊า พรุ่งนี้พันซ์มีบินไปตรังคุณป๊าก็รู้ เนี่ยกำลังจะเข้านอนแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ไปเที่ยวแล้วหน้าเหี่ยว”
‘ลื้อต้องเข้านอนจริงนะอาพันซ์ วันนี้อาป๊าใจคอไม่ดีเพื่อครู่นี้ฝันร้ายถึงลื้อด้วย เฮ้ออันที่จริงลื้อน่าจะไปกับแม่มากกว่าไอ้น้ำตงน้ำตกอะไรนั่นอาป๊าไม่อยากให้ลื้อไปเลยอาพันซ์’
และเสียงบ่นอีกครู่ใหญ่ซึ่งพันวารีนั้นไม่ได้คิดอะไรมากคิดเพียงว่าบิดาตนเองที่ไปประชุมที่ฮ่องกงคงเครียดมากไปจึงฝันร้ายเป็นตุเป็นตะดังนั้นพูดคุยกันอีกไม่กี่คำเธอก็ขอตัดสายอ้างว่าจะไปว่ายน้ำที่สระเพื่อให้ตนเองหลับสบายขึ้น พอวางสายจากบิดาได้เด็กสาวก็ถอนหายใจอย่างรู้โล่งอกก่อนจะถอยเจ้าเหลืองมะนาวโฉบเฉี่ยวตรงไปรับเพื่อนสนิทที่อยู่ฝั่งธนฯ ด้วยความเร็วที่ยิ่งขึ้นไปบนช่องทางด่วนคนเพิ่งขับรถเป็นนั้นมันเท้าอย่างยิ่ง
ซึ่งสาวน้อยทายาทเจ้าสัวตระกูลดังมิได้หวาดระแวงเลยว่ารถหรูของตนเองถูกจนในทรามลักลอบตัดสายเบลกหวังปลิดชีพของเธอให้มอดหม้วยดังนั้นเมื่อถึงแยกลงทางด่วนพอเธอแตะเบลกมันจึงกดแล้วยุบหวาบไม่อาจห้ามล้อที่กำลังพุ่งไปด้วยความเร็วที่120กิโลเมตรต่อชั่วโมงจนเด็กสาวตกใจแทบเสียสติและในเวลาเพียงไม่ถึงเสี้ยวนาทีรถหรูก็พุ่งตกลงไปเป็นเศษซากของเหล็กที่เคยมีราคาหลายสิบล้านไปสมใจของเหล่าคนชั่วโดยที่ร่างอวบอั๋นนั้นก็แหลกเหลวกลายเป็นเพียงเศษเนื้อและกระดูกหนึ่งกองเท่านั้น...