พริมโรสนอนหอบหายใจแรงอยู่กับพื้น ในขณะที่มือทั้งสองข้างถูกเขากดไว้ข้างตัว ขาทั้งสองข้างถูกทับไว้ด้วยขาของเขาจนยกแทบไม่ขึ้น
“จะยอมได้หรือยัง? พยศเป็นม้าบ้าเลยนี่!”
“คุณมันชอบเอาชนะผู้หญิง! หาความเป็นสุภาพบุรุษไม่มี!” หญิงสาวตะโกนตอบโต้ทั้งๆ ที่ยังหายใจหอบ
“แล้วสุภาพสตรีที่ไหน เขาเล่นแรงกันแบบนี้ล่ะ! ถ้าสู้ไม่ได้อาจถึงขั้นพิการได้เลยนะ!”
“ใครใช้ให้คุณมาทำรุ่มร่ามกับฉันล่ะ! คุณมันทุเรศ! ไอ้คนบ้า! ไอ้หน้ารังแกผู้หญิง!”
“ถ้าไม่เลิกสบถใส่ผม คุณโดนดีแน่!”
“กล้าดีก็ลองดู! ฉันจะอัดไอ้หนูคุณให้น่วมจนพิการเลย! ไอ้คน.. อื๊อ!”
พริมโรสตกใจเพราะเขากดจุมพิตหนักหน่วงลงมาทั้งๆ ที่ยังพูดไม่จบ เป็นจุมพิตที่ต้องการจะลงโทษมากกว่าจะอยู่ในอารมณ์พิสวาส
เธอพยายามจะดิ้นหนีแต่ก็สู้แรงที่แข็งดังหินผาของเขาไม่ได้ จึงทำได้เพียงเบี่ยงศีรษะออก เป็นผลให้เขาไถลจุมพิตลงมาที่ข้างแก้ม แล้วไล้เลยมาถึงซอกคอ จู่ๆ แรงจุมพิตของเขาอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด วนเวียนซุกไซ้ไปมาอย่างหลงไหล เธอดิ้นขลุกขลักอยู่เป็นครู่ ทำได้แค่ดึงขาออกจากการพันธนาการ
ขณะที่เขากำลังไล้จุมพิตมาถึงแอ่งหลังใบหู ประตูห้องก็เปิดออก ทั้งสี่ชีวิตยืนอัดกันอยู่เต็มช่องประตูอย่างอยากรู้อยากเห็น
คนที่กำลังนัวเนียกันอยู่ที่พื้นชะงัก หันมามองที่ประตูพร้อมกัน
“เอ่อ!..เห็นเสียงเงียบไปเลยขึ้นมาดู เผื่อจะมีใครบาดเจ็บสาหัส แต่อีกเดี๋ยวพวกเรามาใหม่ดีกว่า พวกคุณทำต่อกันได้เลย!” แล้วประตูก็ปิดลงอีกครั้ง
“ไอ้พวกบ้านี่!”
หญิงสาวตะโกนลั่น พร้อมๆ กับออกแรงฮึดเฮือกสุดท้ายดึงข้อมือขวาของเขาให้แนบกับอกล็อกไว้ไม่ให้ขยับ มือซ้ายจับไว้ที่ซอกคอขวาแล้วกดลงต่ำ พร้อมกับตวัดขาซ้ายอ้อมศีรษะเขามาหนีบไขว้กับขาอีกข้างที่ตรงไหล่ เกร็งมือที่ล็อกแขนไว้แน่นขณะที่เหยียดขาออกไปสุดแรง สามารถกดคนตัวใหญ่ให้ทิ้งตัวลงนอนหงายกับพื้นได้อย่างง่ายดาย และไม่ลังเลที่เหวี่ยงเท้าขวาไปที่กล่องดวงใจของเขาอย่างรวดเร็ว เข้าเป้าแบบไม่ต้องเล็งกันเลยทีเดียว
“อุ้บส์!!” ชายหนุ่มตัวงอนอนคู้กับพื้น สองมือกุมเป้าไว้แน่น เพราะกำลังตกใจที่มีผู้บุกรุก เลยทำให้ความระมัดระวังตัวของเขาลดลง จึงเปิดช่องให้โดนสวนกลับได้ง่าย
ร้ายนัก!! ยัยตัวแสบ!!
“ฮึ! ให้รู้ซะบ้างว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร จะละเว้นคุณไว้ก่อนก็ได้ แต่ถ้ายังมาลวนลามอีก ฉันจะอัดรังบัญชาการของคุณไม่ยั้งเลยคอยดู!” หญิงสาวพูดคาดโทษแล้วเดินออกไปจากห้อง
เสียงปิดประตูปังใหญ่ ทำให้สองคนที่มาใหม่ด้านล่างสะดุ้งสุดตัว ลางสังหรณ์บางอย่างเตือนถึงภัยร้ายที่กำลังคืบคลานเข้ามา
และแล้วใบหน้าถมึงทึงก็เดินลงบันไดมาอย่างเอาเรื่อง อัลวานีมองปฏิกิริยาของผู้ชายสองคนตรงหน้าอย่างแปลกใจ
“คุณสองคนมีความสุขบนความทุกข์ของฉันอย่างนั้นหรือ?” น้ำเสียงเย็นเยียบพูดขึ้นมาประโยคแรก ทำให้บรรยากาศรอบข้างราวกับตกอยู่ในขั้วโลกเหนือทั้งทวีป
“พวกเราผิดไปแล้ว! เจ๊ใหญ่ ให้อภัยพวกเราสักครั้ง!”
“เอามา!” หญิงสาวยืนกอดอก แบมือเรียวสวยออกมาข้างหนึ่ง พูดด้วยเสียงต่ำแฝงแววอำมหิต
“ผมแค่รอลุ้นว่าจะมีใครล้มตำนานได้หรือเปล่าก็เท่านั้นเอง!”
“เอา-มา!” เสียงเริ่มสูงขึ้นอย่างไร้ความปราณี
“โธ่! ผมไม่บอกใครหรอก แค่คิดยังไม่กล้าเลย! คุณก็ยั้งมือไว้ไมตรีผมบ้าง!”
“หุบปาก! เอามา!” น้ำเสียงตอนนี้เหมือนจะสั่งประหารคนได้แล้ว
คนถูกขู่ค่อยๆ ล้วงกระเป๋าสตางค์ใบเล็กออกมาเปิด แต่ถูกคว้าไปเสียก่อนต่อหน้าต่อตา
“เบี้ยเลี้ยงผมได้น้อยกว่าคุณอีก! แล้วนี่มันต่างประเทศนะ ไม่ใช่ต่างจังหวัด ออกนอกพื้นที่ไปผมจะเอาไรกินล่ะ!” เขาพูดโอดครวญขอความเห็นใจ แต่ดูเหมือนจะไม่เข้าหูหญิงสาว เพราะเธอหยิบออกมานับไปปึกใหญ่ ประมาณด้วยสายตาคร่าวๆ ราวหมื่นกว่าๆ
“ใครสน! ไปหาทำเรื่องดีๆ มาชดใช้ความผิดซะสิ!” หญิงสาวพูดทิ้งท้าย โยนกระเป๋าลงบนโต๊ะแล้วเดินขึ้นห้องไป
“ได้ข่าวว่าของเก่าคุณยังไม่ได้คืนเลยไม่ใช่เหรอ?” คนข้างๆ ตอกย้ำให้รู้สึกเจ็บใจเข้าไปอีก
“โอ๊ย! จะบ้า! เมื่อไหร่จะมีคนทำให้ยัยนี่สิ้นฤทธิ์เสียทีนะ! ผมจะไม่ยอมตาย..จนกว่าจะได้เห็นวันนั้นให้ได้!”
อัลวานีปล่อยขำออกมา ตอนแรกเธอก็ประหลาดใจกับปฏิกิริยาของพวกเขาที่มีต่อหญิงสาว แต่พอเห็นแบบนี้ก็ทำให้เข้าใจ เป็นเพราะพวกเขามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน จึงเหมือนกับล้อเล่นกันไปมา แต่ดูเหมือนจะเล่นแรงกันไปสักหน่อย
“พวกคุณดูเหมือนจะกลัวคุณพริมมากเลยนะคะ”
“ไม่ใช่กลัวหรอกครับ เป็นเพราะผมเคยทำผิดต่อเขา ถึงแม้เขาจะไม่ถือสาแต่ผมก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี ตั้งแต่นั้นมาก็เลยให้สัญญากับเขาว่า ถ้าผมทำอีก เขาจะทำอะไรกับผมก็ได้เท่าที่เขาสบายใจเพื่อเป็นการลงโทษ เขาก็เลยเลือกที่จะยึดเงินผมแทน แต่ผ่านไปไม่นานก็คืนให้ครับ แต่นั่นก็ก่อนที่ผมจะอดข้าวตายในไม่กี่วัน ฮ่าๆๆ” ชายหนุ่มพูดแล้วก็หัวเราะ ทำให้อัลวานียิ่งแน่ใจในความคิดของตัวเอง
ผู้ชายคนนี้ชื่อขันเงิน เป็นคนหน้าตาดี ดูเป็นมิตรร่าเริงและมีอารมณ์ขัน ส่วนอีกคนชื่อจอช ดูเป็นคนเงียบๆ แต่ก็น่าคบหาอยู่ไม่น้อย
“อีกอย่างเทควันโดสายดำดั้งห้า ยูโดดั้งสอง แชมป์ยูยิดสูสายม่วง ทั้งคิกบ็อกซิ่ง ทั้งยิงปืนแม่นราวกับจับวาง ต่อให้ใจกล้าบ้าบิ่นแค่ไหนก็ไม่กล้าหือหรอกครับ!” จอชพูดขึ้นมาบ้าง ทำให้ทุกคนหัวเราะออกมา
…
พริมโรสเปิดประตูเข้ามาในห้อง แล้วก็อดแปลกใจไม่ได้ที่สภาพความเป็นระเบียบเรียบร้อยคืนกลับมาดังเดิม แตกต่างไปจากสงครามย่อมๆ เมื่อก่อนหน้านี้ เธอเดินเข้าไปดูในห้องน้ำ แต่เขาก็ไม่อยู่แล้ว ยิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิม เพราะไม่รู้ว่าเขาออกไปทางไหน ถึงได้รวดเร็วปานนี้
…………………….
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ขณะที่หญิงสาวกำลังดูกล้องวงจรปิดของทางหลวง
“เชิญค่ะ”
คนหน้าประตูค่อยๆ ยื่นหน้าเข้ามาดูเพื่อหยั่งเชิงอารมณ์คนในห้อง เห็นนั่งนิ่งองค์ไม่ลงจึงค่อยๆ เปิดประตูให้กว้างขึ้น ในมือถือถาดน้ำชาและขนมมาด้วย
“ผมเอาน้ำชากับขนมมาให้ เผื่อคุณจะหิว”
“นี่! นายตัวเงิน!” คำเรียกนี้ทำให้คนที่เข้ามาใหม่ ถึงกับสะดุ้งโหยง
“ขันเงินเถอะ! แม่คุณ!”
“ก็ได้ ขันเงินตัวทอง นายไปเอาความกล้าจากไหนถึงได้ตั้งชื่อแบบนี้?”
“ก็เธอเป็นคนเลือกให้ฉันไม่ใช่หรือไง ยังจะมาทำพูดดี”
“ฉันเนี่ยนะ? เมื่อไหร่ ไม่เห็นรู้เรื่อง!”
“ก็วันที่ฉันโทรไปถามเมื่อสองวันก่อนไง เธอพูดเองว่าขันเงิน แล้วก็วางสาย”
“ห๊ะ! นายประสาทหรือเปล่า ฉันตะโกนเรียกแมว! นี่สมองนายเป็นรูจนจำชื่อแมวฉันไม่ได้หรือไง?” นายขันเงินตัวทองมองหญิงสาวด้วยสายตาตัดพ้อ
“ไม่รู้ล่ะ! เรื่องนี้เธอต้องรับผิดชอบ เธอทำให้ความเป็นแมนที่ฉันสั่งสมมาตลอดชีวิตต้องด่างพร้อย!” น้ำเสียงออดอ่อย อ้อนขอความเห็นใจ
“นายเตวิช!..ตัวออกใหญ่อย่ามาทำใจบอบบางเท่ามด! เอ้าเอานี่ไป!” หญิงสาวส่งกระดาษให้ “จับสัญญาณได้เมื่อเช้า แต่เราก็ไม่รู้หรอกว่าเขาอยู่ตรงพิกัดนั้นจริงๆ หรือเปล่า ฝ่ายนั้นอาจจะกำลังลวงเราอยู่ก็ได้”
สีหน้าเตวิชเปลี่ยนแปลงเป็นจริงจังขึ้นมาทันที ต่างจากความขี้เล่นเมื่อนาทีก่อนอย่างสิ้นเชิง เขารับกระดาษมาพิจารณาอยู่ชั่วครู่
“นายอิฟราอิมคนนั้นคือคนที่คอยประสานกับเราใช่ไหม?”
“อืม ฉันให้พิกัดเขาไปแล้ว คุณก็เริ่มงานได้เลยหลังจากที่ได้ข้อมูลแบบแปลนอาคารจากเขา คุณจำหมายเลขอีมี่เครื่องส่วนตัวเครื่องใหม่ของจักรินได้หรือเปล่า?”
“ได้!” เตวิชจดมาให้ทั้งเครื่องหลักที่ใช้ทำงาน และเครื่องส่วนตัว”
หญิงสาวไม่รอช้าเปิดคอมมานด์ไลน์ขึ้นมา พิมพ์คำสั่งรัวเร็วอย่างชำนาญ แล้วใส่หมายเลขอีมี่เข้าไป สักพักก็ส่งภาพผ่านโปรเจคเตอร์ยิงเข้าผนัง แสดงตำแหน่งของโทรศัพท์ทั้งสองเครื่อง
“เป็นอย่างที่คิด..พวกนั้นไม่ได้โง่ มันกำลังเล่นซ่อนหากับเรา!”
“พาสปอร์ตล่ะ?” เตวิชถามหาตำแหน่งของพาสปอร์ตทันที เธอจึงกดเปิดให้เขาดู
“อยู่คนละมุมประเทศเลย!” พริมโรสอุทาน
“ห่างกันขนาดนี้ เราไปตรวจสอบทีละตำแหน่งคงต้องใช้เวลา ถ้าไม่อยากให้พวกมันรู้ตัว ต้องลงมือพร้อมกัน!”
“เราต้องการคนเพิ่ม เพราะถ้าฉันไปเอง จะไม่มีใครแบคอัพให้พวกคุณ!”
ขณะนั้นจอมทัพก็ได้เปิดประตูเข้ามาพอดี เขาเข้าใจสถานการณ์ทันทีที่เห็นภาพพิกัดบนผนัง
“นี่เป็นคนของเรา ถ้าขอความช่วยเหลือจากนายอิฟราอิมคนนั้น เขาจะช่วยพวกเราไหม?” จอมทัพถามขึ้นมา
“ไม่แน่ใจนะ ต้องลองถามดู” พริมโรสแบ่งรับแบ่งสู้
“เรารอกำลังเสริมไม่ได้! ถ้าเป็นเธอพูด เขาต้องยอมช่วยอย่างไม่มีเงื่อนไขแน่ๆ ฉันรับรอง!” เตวิชพูดออกมาอย่างมั่นใจ
“นี่! นายตัวเงิน ในหัวนายมีของเหลวอะไรลอยอยู่ฉันรู้นะ อย่าได้แม้แต่จะคิดแบบนั้นเลยเชียว!”
“ไม่มีใครในที่นี้โง่จนดูไม่ออกหรอกว่า เกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเธอสองคน มีแต่เธอเท่านั้นแหละที่กำลังหลอกตัวเอง! แล้วฉันก็ชื่อขันเงิน ขอบคุณ!”
หญิงสาวหงุดหงิดกับวาจาที่ฟังไม่เข้าหู จึงลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู พอดีกับที่อิฟราอิมยกมือกำลังจะเคาะ พริมโรสเห็นตัวต้นเรื่องอยู่ตรงหน้าจึงชักสีหน้าใส่ แล้วเดินลงไปข้างล่างอย่างไม่สบอารมณ์ เขาเข้าใจว่าหญิงสาวยังไม่หายโกรธ จึงเดินตามลงมาด้วย
“ฉันก็ทักนายแล้วว่า ชื่อนี้มันคุ้นๆ ว่าเป็นชื่อแมว นายก็ไม่ฟัง!” จอมทัพบ่นขึ้นมาบ้าง
“พระเจ้าจอชเพื่อนรัก ช่วยหุบปากไม่พูดเรื่องนี้ได้ไหม?”
“ฉันก็รู้เหมือนกันนะว่าในสมองของนายมีของเหลวอะไรลอยอยู่! ฮ่าๆๆ” เตวิชถลึงตาใส่เพื่อน แต่ก็ไม่พูดอะไรอีก