หลังจากที่สองพี่น้องบ้านเหวินย้ายไปอยู่กับไป๋เฟิ่งจื่อแล้วชาวบ้านต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า คนบ้านรองกู้นั้นโง่เขลาที่ยอมถอนหมั้นกับเหวินหนวน ถึงแม้จะสองพี่น้องจะเป็นเด็กกำพร้า แต่อย่าลืมว่าในตอนนี้ทั้งสองถูกอุปการะโดยหญิงสาวที่ชื่อว่า ไป๋เฟิ่งจื่อ แน่นอนว่าหลังจากนี้คงไม่มีใครส่งแม่สื่อไปทาบทามสองพี่น้องนั่นได้ เพราะจากฐานะของคุหนูไป๋ที่ชาวบ้านต่างรับรู้กันดี หล่อนจะต้องหาชายหนุ่มที่ดีและมีฐานะให้สองพี่น้องได้ไม่ยาก…
“ นี่เธอให้ลูกไปถอนหมั้นกับเสี่ยวหนวนงั้นหรือ “ พ่อของกู้ชวนที่กลับมาบ้านพอดีเอ่ยถามขึ้นเพราะระหว่างทางที่เขาเดินกลับมาที่บ้านนั้นชาวบ้านต่างต่อว่าเขาทั้งสิ้น
“ ก็เด็กนั่นทั้งยากจน ทั้งยังกำพร้าอีก ใครจะอยากได้หล่อนกัน “ กู้ซื่อเอ่ยบอกอย่างไม่ใส่ใจนัก กับเสียงนินทาด้านนอก
“ หึ โง่จริงๆ รู้ไหมว่าตอนนี้สองคนนั่นเป็นคนของคุณหนูไป๋ไปแล้ว เธอลืมไปแล้วหรอไงว่าแม่หนูนั่นเป็นใคร ฉันไม่อยากจะคิดเลยจริงๆ เฮ้อ เธอกับอาชวนพลาดแล้วล่ะ “ กู้ชุนเอ่ยออกมาอย่างปลงตก พลางมองสองแม่ลูกด้วยสายตาผิดหวัง
ทางด้านเหวินหนวนนั้นวันนี้เธอได้อาบน้ำแต่งตัวใหม่สวมเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ไป๋เฟิ่งจื่อขอให้เฮ่อเหมยช่วยตัดขึ้นมาให้ใหม่ ผมที่ยาวเหยียดพันกันยุ่งเหยิงเพราะไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควรได้ตัดจนสั้นเหลือแค่ปะบ่าเท่านั้น เหวินหนวนในเวลานี้เป็นเด็กสาวที่หน้าตาสดใสน่ารักกว่าเมื่อก่อนมากนัก ไม่ว่าจะมองยังไงก็น่ารักสมวัย
“ ชอบชุดนี้ไหม เสี่ยวหนวน “
“ ชอบมากค่ะพี่สาวจื่อ ขอบคุณมากๆค่ะ “ เด็กสาวเอ่ยขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจกับเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ตนเองสวมใส่อยู่
“ พี่เฮ่อเหมย รบกวนช่วยตัดเย็บเสื้อผ้าให้เสี่ยวหนวนกับเสี่ยวอี๋แบบเดียวกันอีกสักสิบชุดนะคะ รูปร่างของพวกเธอคล้ายกันค่ะ แต่เสี่ยวอี๋จะสูงแค่อกของเสี่ยวเหวินค่ะ “
“ ได้ค่ะพีี่จะรีบจัดการให้นะคะ ” เฮ่อเหมยเอ่ยรับปากเพราะงานตัดเย็บกระโปรงนั้นเสร็จไปมากกว่าครึ่งแล้ว เธอจึงสามารถแบ่งเวลาในช่วง 2-3วันนี้มาตัดเย็บเสื้อผ้าให้เด็กสาวได้
“ งั้นเดี๋ยวฉันจะพาเสี่ยวหนวนไปโรงพยาบาลก่อนนะคะ เย็นๆจะกลับมาค่ะ “ เธอเอ่ยบอกแล้วเดินไปยังร้านค้าที่อยู่ตรอกหน้าตลาด เพื่อสั่งงานกับคนงานทั้งสองที่นี่
” พี่หลิวฟาง ของที่อยู่ในโกดังพี่เอามาจัดเรียงขึ้นชั้นได้เลยค่ะ ราคาก็ตามที่ฉันติดป้ายเอาไว้นะคะ “
“ ได้ค่ะเจ้านาย “ หลิวฟางเป็นหญิงสาววัย 18 ปีที่พี่สาวของหล่อนทำงานอยู่ที่ร้านค้าสหกรณ์ของหน่วย ซึ่งสองพี่น้องอาศัยอยู่ด้วยกันที่บ้านพักซึ่งทางหน่วยได้จัดสรรให้ สำหรับพนักงานของหน่วย ซึ่งถือว่าเป็นสวัสดิการอย่างหนึ่ง
“ จูเอ๋อ เธอเรียงสบู่พวกนี้ไว้บนชั้นด้านนั้นดีกว่านะ ชั้นตรงนี้เอาของในลังที่วางมุมห้องมาจัดแทน อย่าลืมติดป้ายด้วยนะ “
“ ค่ะเจ้านาย “ จูเอ๋อเป็นเด็กสาววัย 16 ปี ซึ่งไป๋เฟิ่งจื่อพบเธอระหว่างทางกลับหมู่บ้านหลวนชุน ซึ่งเธอจะต้องขี่รถสามล้อผ่านหมู่บ้านหลวนซานที่จูเอ๋ออาศัยอยู่
และเธอได้บังเอิญช่วยเหลือแม่ของจูเอ๋อที่เป็นลมอยู่ข้างทางจึงได้พาไปส่งที่บ้าน และได้เจอกับจูเอ๋อกับครอบครัวที่บ้านนั่น ซึ่งบ้านของจูเอ๋อนั้นอยู่ด้วยกันถึง 6 คน มีย่า พ่อแม่และมีน้องชายสองคนด้วย
เพราะฐานะที่ยากจนอย่างมากสามพี่น้องจึงได้เรียนจบแค่ชั้นประถมไม่ได้เรียนต่อมัธยมแต่อย่างน้อยก็อ่านออกเขียนได้ ไป๋เฟิ่งจื่อสงสารและเห็นใจจึงรับเข้าทำงานที่ร้านค้าด้วย
เมื่อสั่งงานจบแล้วเธอก็จูงมือเหวินหวนไปยังโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมไข้เหวินอี๋ ซึ่งหมอบอกว่าอนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วเพราะไม่มีไข้และร่างกายก็แข็งแรงขึ้นแล้วด้วย
“ จื่อเอ๋อ “ หลี่ซื่อหมิงเอ่ยเรียกคนรักของเขา เมื่อเห็นว่าหล่อนเดินจูงมือมากับเหวินหนวน
“ พี่เองหรอคะ ตกใจหมดเลย “ ไป๋เฟิ่งจื่อเอ่ยถามเขาพลางมองค้อนให้อีกด้วย เพราะเขาเรียกเธอเสียงดังในขณะที่เธอกำลังคิดอะไรเพลินๆ
“ ตกใจหรอ ผมขอโทษครับ “ หลี่ซื่อหมิงเอ่ยขอโทษคนตัวเล็กกว่า พลางส่งสายตาหวานเชื่อมไปให้อย่างออดอ้อน
“ เปลี่ยนเวลาทำงานแล้งหรอคะ “
“ ครับ ทั้งสัปดาห์จะเข้าทำงานบ่าย จนถึง 4 ทุ่ม “ เขาเอ่ยบอกกับเธอทันที เพราะทั้งคู่มักจะชวนกันไปกินอาหารเย็นด้วยกันแทบจะทุกวัน
“ ค่ะ ไว้จะทำอาหารเย็นมาให้นะคะ “ เธอเอ่ยบอกกับเขาก่อนจะพาเหวินหนวนเดินไปที่ห้องพักผู้ป่วย
“ เสี่ยวอี๋พี่มาแล้ว “ เหวินหนวนเอ่ยบอกกับน้องสาวของตนเองด้วยรอยยิ้ม
“ ว้าวพี่ใหญ่ตัดผมหรอคะ สวยจัง “ เหวินอี๋เอ่ยชมพี่สาวของตนเอง พลางมองสำรวจเมื่อเห็นว่าพี่สาวสวมชุดใหม่ก็ยิ้มกว้างออกมา
“ ที่บ้านยังมีชุดใหม่ของเสี่ยวอี๋ด้วยนะ พี่สาวจื่อสั่งตัดให้พวกเรา “
“ อือ รอฉันหายป่วยแล้ว ฉันจะกลับไปใส่เสื้อผ้าใหม่เหมือนพี่ค่ะ” เหวินอี๋เอ่ยบอก สองพี่น้องมองหน้ากันอย่างมีความสุข ชีวิตใหม่ของพวกเธอสดใสขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากนัก
“ สวัสดีค่ะคุณไป๋ คุณหมอซูบอกว่าเสี่ยวอี๋สามารถกลับไปพักที่บ้านได้แล้วค่ะ “ พยาบาลสาวเอ่ยบอกเมื่อไป๋เฟิ่งจื่อเดินเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยแล้ว
“ ได้ค่ะงั้นฉันขอออกไปจ่ายเงินและรับยาให้เสี่ยวอี๋ก่อนนะคะ “ ไป๋เฟิ่งจื่อเอ่ยบอกอย่างดีใจ
“ ได้เลยค่ะ “ พยาบาลสาวเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินกลับมานั่งข้างเตียงทำหน้าที่ของตนเองต่อไป