ยามเช้าในช่วงต้นฤดูหนาวนั้นอากาศดีไม่น้อย ไป๋เฟิ่งจื่อตื่นขึ้นมาเตรียมอาหารเอาไว้รอสองพี่น้องที่ยังไม่ตื่น คาดว่าคงกำลังหลับสบายจนเพลิน
ซึ่งเธอก็ไม่คิดที่จะปลุกทั้งสองให้ตื่นขึ้นมาในตอนนี้ นานๆพวกหล่อนจะได้นอนหลับเต็มตื่นสักครั้ง
จนกระทั่งเวลาเกือบ 8โมงเช้าเหวินหนวนก็ตื่นขึ้นมา ส่วนน้องสาวนั้นยังคงนอนหลับอุตุอยู่บนที่นอนอย่างสบายใจ
“ สายแล้ว “ เด็กหญิงเอ่ยออกมาอย่างตกใจ เมื่อเธอเดินเดินมาที่หน้าบ้านแล้วพบว่าแสงแดดเจิดจ้าส่องเข้าพอที่ตัวพอดี
“ ไม่ต้องรีบหรอก วันนี้ก็ลางานสักวันเถอะ “ ไป๋เฟิ่งจื่อเอ่ยบอกก่อนจะบอกให้ไปล้างหน้าและมากินอาหารเช้าที่ตนเองเตรียมเอาไว้รอตั้งแต่เช้าตรู่
“ งั้นฉันไปล้างหน้าก่อนนะคะ “ เด็กหญิงเอ่ยบอกก่อนจะแอบไปปลุกน้องสาวให้ตื่นเพราะตอนนี้สายมากแล้ว อีกทั้งการนอนตื่นสายในบ้านของคนอื่นนั้นมันดูไม่ดีเอาเสียเลย
“ เสี่ยวอี๋ตื่น สายมากแล้ว ” เด็กน้อยตื่นขึ้นมาด้วยอาการงัวเงีย ผมเผ้าชี้ฟูไม่เรียบร้อย แล้วพากันไปล้างหน้าล้างตาแล้วออกมากินอาหารเช้าที่เจ้าของบ้านเตรียมเอาไว้ให้พวกตน
“ ขอโทษนะคะที่เราตื่นสาย “ เหวินหนวนเอ่ยบอก
” ไม่เป็นไร ตอนนี้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว งานในแปลงนาคงต้องหยุดพักแล้วล่ะมั้ง “
“ ใช่ค่ะ หัวหน้าหน่วยบอกว่า ฤดูหนาวพวกเราไม่ต้องลงงานในแปลงนาค่ะ “
“ อืม เช่นนั้นวันนี้ก็พักผ่อนอยู่ในบ้านก็แล้วกัน อากาศเย็นๆแบบนี้ถ้าไม่ดูแลตัวเองจะป่วยไข้ได้ “ เธอเอ่ยบอกกับเด็กๆ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าจนอิ่ม โดยมีสองพี่น้องอาสานำถ้วยชามไปล้างให้
“ ขอบใจจ้ะ ถ้างั้นพี่จะเข้าเมืองไปทำธุระสักหน่อนะ พวกเธอจะอยู่รอพี่ที่บ้านนี้หรือกลับบ้านของตนเอง “
“ เรากลับไปรอที่บ้านของเราดีกว่าค่ะ “
“ ตกลงจ้ะ ไว้เจอกันตอนเย็นนะ “ เธอเอ่ยบอกก่อนที่จะแยกกันไป เพราะวันนี้เธอตั้งใจจะไปจัดการงานที่ร้านค้าของตนเองก่อนที่จะเริ่มเปิดขาย แต่เนื่องจากช่วงนี้เริ่มเข้าฤดูหนาวแล้วจึงไม่มั่นใจว่าจะเปิดขายสินค้าในช่วงนี้ดีหรือเปล่า คงต้องดูราดราวบรรดาร้านค้าในตลาดไปก่อน
เมื่อนั่งรถประจำทางมาถึงตลาดแล้ว ก็มุ่งหน้าไปที่ร้านค้าเพื่อจัดการทำความสะอาดร้านค้าใหม่ กว่าจะสะอาดดั่งใจต้องการก็ใช้เวลาไปกว่าครึ่งวันไปแล้ว
หลังจากที่เสร็จเรียบร้อยเธอก็หยุดพักเหนื่อย ก่อนที่จะนำข้าวของที่ต้องการจะขายออกมาจากมิติ ไม่รู้ว่าข้าวของในมิติจะหมดไปเมื่อไหร่ เพราเธอก๊อปปี้จำนวนเอาไว้แค่พอใช้ได้ 2-3 ปีเท่านั้น แต่ถ้าเธอนำออกมาขายก็เท่ากับว่าของในนั้นจะหมดเร็วกว่าเดิม
แต่เธอยังสามารถเปิดร้านเสื้อผ้า และเครื่องบำรุงผิวได้อีก 2-3 ร้าน กว่าของในมิติจะหมดไป แต่เธอก็มั่นใจได้ว่า ตนเองมีเงินมากพอที่จะขยับขยายเส้นทางของตัวเองได้บ้างแล้ว
เธออยู่ที่ร้านจนถึงช่วงบ่ายสามจึงได้ซื้ออาหารสดกลับไปที่บ้าน ซึ่งในตอนที่เธอมาถึงบ้านนั้นก็ได้เจอกับชาวบ้านบางคนที่เข้ามาขอความช่วยเหลือกับเธอโดยตรง ส่วนนางซูซื่อที่มาร่วมด้วยนั้นเพียงแค่มารอดูว่าคุณหนูไป๋จะช่วยเหลือพวกชาวบ้านกันหรือเปล่า
“ เอ่อ คือพวกเรามาขอความช่วยเหลือจ้ะ “ แม่เฒ่าเจียงเอ่ยขึ้น
“ คุณยายมีอะไรหรือคะ “ ไป๋เฟิ่งจื่อเอ่ยถามออกไป
“ คือว่า เธอพอจะหาอาหารแบบที่เธอซื้อมาจากตลาดให้พวกเราได้ไหม ปีนี้ฤดูหนาวมาเร็วกว่าทุกปี พวกเราบางบ้านจึงยังไม่ได้รับส่วนแบ่งอาหารจากหน่วย จึงต้องหาซื้ออาหารมากักตุนเอาไว้ก่อน แต่ก็จนปัญญาที่ว่า อาหารในเมืองแพงจนพวกเราซื้อไม่ไหว “ ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยล้า
พวกเธอทำงานจนไม่มีเวลาที่จะเข้าเมืองไปกักตุนอาหารของตนเอง อีกทั้งไม่มีเงินมากพอที่จะทำเช่นนั้นด้วย
“ นั่นสิ เธอช่วยพวกเราหน่อยได้ไหม คุณหนูไป๋ “
“ ใช่ๆๆ ช่วยพวกเราเถอะ “ แม่เฒ่าเจียงเอ่ยอย่างเว้าวอน
“ นี่ถ้าเธอไม่อยากช่วยก็อย่าไปบังคับเธอสิ “ นางซูซื่อเอ่ยขึ้นอย่างเย้ยหยัน หล่อนไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะยอมช่วยเหลือชาวบ้านพวกนี้หนอก แต่ถึงอย่างนั้น ครอบครัวซูของหล่อนก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะสามีของหล่อนกักตุนอาหารสำรองเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
“ ฉันไม่แน่ใจค่ะว่าจะหาได้มากน้อยแค่ไหน อย่างที่พวกคุณรู้กันว่า อาหารในตลาดราคาเริ่มแพงขึ้นแล้ว ฉันจะซื้อมาให้โดยไม่เอากำไรก็ได้ค่ะ แต่ถ้าหากใครสร้างปัญหาขึ้นมา ฉันคงไม่ช่วยพวกคุณนะคะ “ ไป๋เฟิ่งจื่อเอ่ยบอก สายตาของเธอกวาดมองไปยังชาวบ้านที่มามุงกันอยู่
“ ได้ๆ ขอนั้นก็พอแล้ว “ แม่เฒ่าเจียงเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ เพราะตัวของหล่อนเองไม่สามารถออกไปไหนได้ จึงต้องอาศัยการช่วยเหลือจากผู้อื่น ยังจะกล้ามีปากมีเสียงได้เช่นไรกัน
เมื่อได้ข้อตกลงกันแล้วชาวบ้านต่างก็แยกตัวกันกลับไป ไป๋เฟิ่งจื่อที่คิดเอาไว้แล้วว่า เธอจะนำอาหารในมิติออกมาขายต่อให้พวกเขาในราคาเท่ากับตลาดตอนนี้ ก็ถือว่าได้กำไรพอสมควร ใครบ้างจะยอมเหนื่อยโดยที่ไม่ได้อะไรเลย …