ตอนที่ 3 พายุ

2482 คำ
ฝนเม็ดใหญ่เริ่มตกไล่หลังมาติดๆ สองเท้าเล็กกับเท้าเปลือยเปล่าของชายหนุ่มปริศนาจึงรีบย่ำไปตามพื้นทรายเร็วขึ้นกว่าเดิมกระทั่งมาถึงบ้านหลังเล็ก สายน้ำประคองร่างนั้นขึ้นไปนั่งตรงเก้าอี้ไม้ไผ่หน้าบ้าน แล้วรีบคว้าผ้าขนหนูผืนใหญ่ส่งให้เขาใช้เช็ดตัว “โชคดีนะเนี่ย ที่ไม่มีใครเห็นว่าฉันพาผู้ชายแปลกหน้าเข้าบ้าน” ร่างเล็กบ่นพึมพำก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามบุรุษแปลกหน้าในขณะที่อีกคนยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง ดวงตาคล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยวจ้องมองใบหน้าของหญิงสาวอย่างไม่วางตา ไม่ใส่ใจที่จะเช็ดเนื้อตัวของตัวเองเลยด้วยซ้ำ ริมฝีปากบางเผลอกระตุกยิ้มออกมาอย่างลืมตัวเมื่อเห็นท่าทางคล่องแคล่วของหญิงสาวที่กำลังง่วนอยู่กับกล่องยาตรงหน้าโดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่ามีคนกำลังแอบมอง เกิดความเงียบขึ้นภายในบ้านหลังเล็ก ได้ยินเพียงแค่สายฝนและสายฟ้าฟาดลงมาเป็นระยะเท่านั้น สายน้ำค่อยๆทำความสะอาดบาดแผลตรงหัวคิ้วให้กับชายหนุ่มแปลกหน้าอย่างเบามือ เมื่อเสร็จแล้วจึงใช้ผ้าก๊อตสีขาวปิดแผลเอาไว้จากนั้นจึงเก็บอุปกรณ์กลับเข้าที่ “เดี๋ยวคุณไปอาบน้ำอาบท่าที่ห้องน้ำหลังบ้านก่อนละกัน เด๋ยวฉันจะหาอะไรให้ทาน ดูท่าคุณคงหิวมาก ปากซีดหมดแล้วนั่น” เจ้าของเสียงใสกับเรือนร่างเบาหวิวดีดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ จัดการกับปลาที่ตัวเองเพิ่งตกมาได้ แต่เมื่อหันกลับมาเห็นว่าร่างสูงยังคงนั่งอยู่ที่เดิม หญิงสาวจึงเอ่ยถามอีกครั้ง “คุณไม่ไปอาบน้ำเหรอ หรือว่าเจ็บตรงไหนแล้วลุกไม่ไหวหรือเปล่า” “...” คนที่ถูกเอ่ยถามขมวดคิ้วเล็กน้อย สายน้ำจึงทิ้งตัวนั่งลงตรงข้ามกับเขาอีกครั้งเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “หรือว่าคุณฟังภาษาไทยไม่ออก เพราะดูจากหน้าแล้วคุณน่าจะเป็นคนเอเชีย ถ้าไม่ใช่คนไทย...หรือว่าคุณเป็นคนจีน ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์” หญิงสาวร่ายยาวพลางกระพริบตาปริบๆเพื่อรอฟังคำตอบ แต่ทว่าเขากลับส่ายหน้าเบาๆกลับมาเท่านั้น ร่างบางจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจจับแขนกำยำของเขาให้ยืนขึ้นแล้วออกแรงลากเขาให้เดินตามไปที่ห้องน้ำซึ่งตั้งอยู่สุดทางเดินเล็กๆของบ้าน ร่างเล็กเปิดประตูห้องน้ำที่ทำจากสังกะสีออกแล้วเหยียบย่ำไปบนพื้นที่ทำขึ้นเองง่ายๆด้วยการนำก้อนหินน้อยใหญ่มาโรยปูเอาไว้ เสียงฝนตกลงมากระทบกับหลังคาสังกะสีของห้องน้ำเสียงดังลั่นจนแทบไม่ได้ยินเสียงอะไร “คุณต้องอาบน้ำ แบบนี้ๆ เข้าใจรึยัง” พูดพลางตักน้ำในโอ่งใบใหญ่ขึ้นมาทำท่าทางให้ดูว่าเขาจะต้องอาบน้ำ ร่างสูงจ้องมองท่าทางต่างๆของสายน้ำอย่างนึกขบขัน ก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบว่าเขาเข้าใจแล้ว หญิงสาวจึงยอมเดินออกไปเพื่อหาเสื้อผ้าของบิดามาให้เขาใส่ ก่อนจะหันไปเตรียมอาหารต่อจนเสร็จ เพราะกับข้าวส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีอะไรมากนอกจากปลาทอด ผัดผักกาดกับไข่แล้วก็แกงเหลืองปลากับหน่อไม้ดองเท่านั้น ผ่านไปเพียงไม่นานร่างสูงก็ปรากฏตัวอีกครั้ง ชายหนุ่มเดินเก้ๆกังๆออกมานั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม้ไผ่ดังเดิมเพราะไม่คุ้นชินกับเสื้อผ้าที่สวมใส่ซึ่งเป็นกางเกงเลสีเข้มกับเสื้อยืดคอกลมสีขาว กระทั่งหญิงสาวเจ้าของบ้านค่อยๆนำอาหารมากมายมาวางไว้ให้บนโต๊ะ สายน้ำจึงสังเกตเห็นว่าเขานั่งนิ่งจับขอบเอวกางเกงไว้แน่นร่างบางถึงกับหัวเราะร่าออกมาเสียงดังลั่นจนเจ้าตัวหน้าเสียเล็กน้อย “ฮ่าๆๆ คุณใส่กางเกงแบบนี้ไม่เป็นแสดงว่าไม่ใช่คนไทยแน่นอน ยืนขึ้นสิเดี๋ยวฉันสอนให้” หลังจากหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหล ร่างเล็กจึงเอื้อมมือไปจับกางเกงของเขาไว้แทนก่อนจะใช้เชือกที่ห้อยอยู่ด้านหลังมามัดไว้อย่างแน่นหนา โดยไม่รู้ตัวเลยว่าความใกล้ชิดชนิดที่ลมหายใจรดกันแบบนี้ มันกำลังปลุกสัญชาตญาณบางอย่างของเขาให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าหากไม่มีสร้อยคอที่สวมอยู่ เขาอาจจะควบคุมตัวเองไม่ได้จนเผลอกลายร่างเดิมให้เธอเห็นเป็นแน่ “อ่ะ เสร็จแล้ว” “...” ร่างสูงพยักหน้าน้อยๆเป็นเชิงขอบคุณ จากนั้นจึงทิ้งตัวนั่งลงจัดการกับข้าวตรงหน้า โดยเลือกกินแค่ผัดผักกาดกับไข่เท่านั้น “คุณไม่ชอบกินเผ็ดเหรอ” พูดพลางชี้นิ้วไปที่แกงเหลืองซึ่งเป็นแกงเผ็ดขึ้นชื่ออย่างหนึ่งของภาคใต้ “...” เขาไม่ตอบอีกตามเคยแต่กลับพยักหน้าแทน สายน้ำจึงหันไปแกะเนื้อปลาที่เพิ่งทอดเสร็จร้อนๆแล้ววางมันในจานของเขา “คุณยังไม่บอกฉันเลยว่าคุณชื่ออะไร ถ้าเกิดพายุสงบลงฉันจะได้ช่วยคุณตามหาญาติหรือว่าคนรู้จักได้ไง” “...” เป็นอีกครั้งที่เขาส่ายหน้ากลับมาเป็นคำตอบ หญิงสาวจึงลองเปลี่ยนภาษาในการถามเป็นภาษาอังกฤษแทน “เนมอ่ะ วอท อิท ยัว เนม” สำเนียงเปล่งๆเอ่ยออกไป เพราะเธอเองก็ไม่ได้เก่งภาษาอะไรเท่าไหร่นัก ทำได้แค่พอสื่อสารงูๆปลาๆเท่านั้น นี่ถ้าชาณาทิปเจ้าของทุนการศึกษารู้เขาเองก็คงจะเสียใจมากแน่ๆที่ลงทุนส่งควายตัวน้อยๆไปเรียนถึงระดับมหาวิทยาลัย “...” มีแต่ความเงียบเป็นคำตอบเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วเธอเองก็ไม่ได้นับ “อ้าว แล้วแบบนี้ฉันจะช่วยคุณได้ไงล่ะ แล้วพวกบัตรหรือพาสปอร์ตล่ะ คุณเอาติดตัวมาไหม” “...” ร่างสูงส่ายหน้าเป็นคำตอบอีกครั้ง พลางยื่นจานข้าวไปตรงหน้าเพื่อจะขอมันเพิ่มอีกจาน “หรือว่าหัวคุณจะไปกระแทกเข้ากับอะไรสักอย่างจนกระทบกระเทือนแล้วทำให้คุณความจำเสื่อม จำชื่อตัวเองไม่ได้” สายน้ำตบโต๊ะเสียงดังแล้วเด้งตัวขึ้นเดินไปรอบๆโต๊ะ จ้องมองร่างสูงอย่างเพ่งพิจารณา “มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ” “พี่น้ำ!” ไม่ทันที่จะได้เอ่ยถามอะไรต่อเสียงคุ้นหูก็ดังขึ้นจากประตูหน้าบ้านเสียก่อน พร้อมกับร่างเล็กของน้องสาวที่ยืนถือร่มคันใหญ่อ้าปากค้างอยู่กลางอากาศ “ใครอ่ะพี่ แฟนพี่เหรอ” “จะบ้ารึไง! แฟนที่ไหนเล่า” สายน้ำละสายตาจากเจ้าของใบหน้าขาวใสเพื่อหันไปอธิบายน้องสาวในทันที “ไม่ใช่แฟนแล้วใครอ่ะพี่ มาอยู่ในบ้านเราได้ไง” “เขาเป็นนักท่องเที่ยวที่ถูกพายุเมื่อคืนซัดมาติดเกาะนี่ แล้วพี่ไปช่วยเขาต่างหาก” “จริงดิ” สายป่านวางร่มในมือพิงไว้กับฝาผนังบ้านแล้วปรี่เข้ามานั่งข้างๆจ้องมองร่างสูงตรงหน้าด้วยความอยากรู้อีกคน “หล่อจัง...” “ไม่ต้องมาแก่แดดเลย ว่าแต่แกเถอะ ทำไมถึงเดินฝ่าฝนกลับมาแบบนี้ ไหนบอกไปช่วยพี่สมใจทำความสะอาดบ้านไง ทำไมไม่รอให้ฝนหยุดก่อนแล้วค่อยกลับมา” ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มเปลี่ยนเป็นอีกอารมณ์ทันทีเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านหลังใหญ่ หลังจากที่เจ้าของบ้านอาสานวดคลายเคล็ดให้เขาก็หยิบเรื่องจดหมายรักสีชมพูนั่นมาเป็นประเด็นอีกครั้ง หาว่าเธอเป็นเด็กแก่แดดไม่รู้จักรักษาเนื้อรักษาตัววิ่งตามจีบผู้ชาย จนเธอทนไม่ได้เผลอถีบยอดอกเขาไปหนึ่งทีแล้วหยิบร่มคันใหญ่วิ่งกลับมาบ้านนี่แหละ “เอ้า! ถามไม่ตอบอีก พักนี้พี่ว่าแกกินรังแตนบ่อยไปนะ มีอะไรหรือเปล่า” สายน้ำจ้องจับผิด “ก็ช่วยงานสเร็จแล้วจะอยู่ต่อทำไมล่ะ พี่ก็รู้ว่าหนูไม่ชอบขี้หน้าคุณเตของพี่” สายป่านตอบแบบขอไปทีแล้วจึงหันไปจ้องหน้าร่างสูงอีกคนแทน “ว่าแต่...คุณ...เอ่อ...พี่ชื่ออะไรเหรอ” “เขาไม่ตอบแกหรอก พี่ว่าเขาน่าจะความจำเสื่อมจำอะไรไม่ได้อ่ะ อีกอย่างเขาน่าจะฟังภาษาไทยไม่ออกถามอะไรไปก็ส่ายหน้าอย่างเดียว” “หูย นี่มันเรื่องใหญ่เลยนะพี่” “ก็นั่นน่ะสิ พายุก็เข้าอีกกี่วันก็ไม่รู้ เรือขึ้นฝั่งก็ไม่มี พี่จะได้พาเขาไปรักษาบาดแผลที่หัวนั้นแล้วจะได้แจ้งความตามหาญาติด้วย“ สายน้ำครุ่นคิดเหลือบมองร่างสูงข้างๆเป็นระยะ “แล้วทำไมไม่บอกคุณเตของพี่ล่ะ ทีเรื่องอื่นยังบอกเขาได้เลยนี่” น้องสาวประชดประชันแต่สายน้ำกลับยิ้มปริขึ้นมาทันที “จริงด้วย เกาะนี้เป็นของเขา มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเราก็ต้องไปรายงานเขาสิถึงจะถูก บางทีคุณเตมินทร์อาจจะช่วยคุณตามหาญาติได้นะ” หญิงสาวเสนอขึ้นอย่างมีความหวังแต่คนที่ถูกพาดพิงถึงกลับนั่งเงียบไปพูดไม่จา ชายหนุ่มแปลกหน้าวางช้อนในจานแล้วเงยหน้าขึ้นมองสายน้ำด้วยสีหน้าราวกับจะอ้อนวอน เมื่อเห็นเขาส่ายหน้าเบาๆสายป่านจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมาบ้าง “พี่ไม่อยากให้พวกเราบอกใครเหรอว่าพี่มาติดเกาะที่นี่” “...” ร่างสูงนิ่งเงียบแต่พยักหน้าเป็นคำตอบ “ไหนพี่บอกว่าเขาฟังภาษาไทยไม่ออกไง แล้วทำไมเขาถึงรู้ล่ะว่าเราพูดถึงเรื่องอะไร” สายป่านหันมาถามพี่สาวด้วยความสงสัย “จะไปรู้เหรอ เห็นถามอะไรไปก็เอาแต่ส่ายหน้า ถ้าคุณเข้าใจที่พวกเราพูดแล้วบอกพวกเราได้ไหมล่ะ ว่าคุณชื่ออะไร บ้านอยู่ไหน” “...” ชายหนุ่มไม่ตอบสายน้ำแต่กลับหันหน้ามาทางสายป่านแทนก่อนจะส่ายหน้าเบาๆอีกครั้ง “เขาอาจจะเข้าใจที่เราพูด แต่พูดตอบไม่ได้ไงพี่” มือหนาปรบมือทันทีที่หญิงสาวพูดจากนั้นจึงยกหัวแม่มือให้ราวกับจะชื่นชมที่สายป่านเข้าใจ “แล้วทีนี้จะทำยังไง ทำไมคุณถึงไม่ให้พวกเราบอกคนอื่นล่ะ ว่าคุณถูกพายุซัดมาติดเกาะนี่” “พี่จะถามเขาอีกทำไมล่ะ ในเมื่อพี่บอกเองว่าถามไปเขาส่ายหน้าอย่างเดียว” สายป่านค้อนขวับแต่สายตายังจับจ้องไปที่ใบหน้าของผู้มาเยือนคนใหม่ “ดูจากหน้าแล้ว ถ้าไม่ใช่คนไทยก็น่าจะเป็นจีน เกาหลี หรือญี่ปุ่น” คราวนี้ร่างสูงหลบสายตาแล้วแกล้งก้มลงตักข้าวใส่ปากเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นราวกับจะเลี่ยงตอบคำถาม “ช่างเหอะ ถ้าคุณไม่ยอมบอก พวกเราไม่อยากรู้แล้วก็ได้” สายน้ำตัดบทอย่างไม่สบอารมณ์ “ในเมื่อเขาไม่รู้จักชื่อตัวเอง เราก็มาตั้งให้เขาใหม่สิพี่” สายป่านเอ่ยขึ้นอย่างนึกสนุก พลางทำสีหน้าครุ่นคิด “ว่าแต่...จะชื่ออะไรดีล่ะ” “พายุมั้ง เขาถูกพายุซัดมานี่” ร่างบางอีกคนเสนอขึ้นพลางตักข้าวอีกจานส่งให้สายป่าน “ใช่เลย! งั้นต่อไปนี้พวกเราขอเรียกพี่ว่าพี่พายุละกันนะ...พี่ชอบไหม” ร่างสูงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบ “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรอให้ช่วงมรสุมนี่สงบลงก่อน เดี๋ยวฉันจะพาคุณขึ้นไปแจ้งความตามหาญาติบนฝั่งเอง ระหว่างนี้คุณก็พักที่นี่ไปก่อนละกันแล้วถ้าไม่อยากให้คนอื่นรู้ คุณก็ห้ามออกไปเดินป้วนเปี้ยนข้างนอกล่ะ” หญิงสาวตอบเสียงราบเรียบอย่างคนยอมรับในชะตากรรม เพราะถึงอย่างไหร่เธอเองไม่ใช่เหรอที่เป็นคนใจกล้าบ้าบิ่นพาเขาซึ่งเป็นคนแปลกหน้าเข้ามาถึงบ้าน ชายหนุ่มพยักตอบตกลงแล้วจึงก้มลงตักข้าวใส่ปากอีกหลายคำเพราะความหิวโหย หลังจากที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เมื่อคืน ประตูไม้ในห้องฝั่งริมสุดถูกเปิดออกก่อนที่สายน้ำจะเดินนำเข้าไปในห้อง หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ หญิงสาวก้มลงหยิบตุ๊กตาหมูกระต่ายและหมอนใบเก่าขึ้นมาแนบกาย จากนั้นจึงผายมือไปที่เตียงของตัวเองเพื่อให้อีกคนใช้เป็นที่พักผ่อนชั่วคราว “คุณนอนห้องฉันไปก่อนละกันนะ เดี๋ยวฉันจะไปนอนกับน้องอีกห้องนึง ที่นอนอาจจะไม่สบายเท่าไหร่นักคุณพอจะนอนได้ใช่ไหม” คนที่กลายมาเป็นแขกของบ้านอย่างเต็มตัวพยักหน้ายิ้มรับเป็นคำตอบ สายน้ำจึงเดินอ้าปากหาวหวอดไปที่ห้องของสายป่านทันที คืนนี้ฝนตกหนากว่าคืนก่อนมาก จนทำให้หลังคามีรอยรั่วเป็นบางจุดจนต้องเอากะละมังใบใหญ่มารองรับน้ำไว้ ร่างเล็กทิ้งตัวลงนอนข้างๆน้องสาว ก่อนจะหลับใหลสู่ห้วงนิทราไปในที่สุด โดยไม่รู้เลยว่าคนที่กำลังอาศัยห้องของเธอในตอนนี้เขายังนั่งนิ่งอยู่บนที่นอนหนานุ่มของเธอ มือหนาเลื่อนขึ้นมาจับสร้อยคอซึ่งมีแหวนสีเงินแวววับเป็นจี้ห้อยอยู่ ชายหนุ่มจับมันไว้แน่นครู่หนึ่งอย่างชั่งใจ จากนั้นจึงตัดสินใจถอดมันออกจากคอมาถือเอาไว้ในมือ “กรรซ์” เกิดเสียงคำรามออกมาครู่หนึ่งหลังจากที่เขาถอดสร้อยออกจนพ้นคอ โชคดีที่เสียงฝนห่าใหญ่ข้างนอกกลบเสียงไว้ได้ ไม่เช่นนั้นคนที่นอนอยู่อีกห้องคงจะพากันสะดุ้งตกใจเป็นแน่ ร่างสูงขบกรามแน่นเพื่อข่มไม่ให้สิ่งที่เขาซ่อนเอาไว้แสดงตัวออกมาอย่างยากลำบาก ดวงตาสีแดงเพลิงปรากฏขึ้นในความมืดอย่างชัดเจน จนในที่สุดเขาก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ มือหนาจึงต้องรีบสวมสร้อยคอกลับไปตามเดิม ถึงตอนนี้ร่างกายเขาจึงกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เหงื่อกาฬไหลประทุขึ้นทั่วใบหน้า รู้สึกเหนื่อยล้าราวกับวิ่งมาราธอนมาหลายพันกิโล
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม