บทที่ 15 องค์ชายชมชอบสีม่วง
หลังไป๋ลี่เฟยกลับมาจากวังลมพฤกษา พ่อบ้านประจำจวนก็แจ้งว่าวันมะรืนองค์ชายสามจะมาเยี่ยมเยียนที่จวนสกุลไป๋ ลี่เฟยแปรเปลี่ยนจากความรู้สึกผ่อนคลายเป็นความขุ่นเคืองในทันใด รสชาติหอมหวานของขนมที่ได้ชิมในวันนี้ขมขึ้นมาทันตา
นางไม่ใช่เด็กน้อยคนเดิมอีกแล้วดูอย่างไรก็รู้ว่าใช้ชื่อพี่สาวเป็นข้ออ้างมาหาน้องสาว ไป๋ลี่เฟยจึงเลือกเดินไปที่เรือนของฮูหยินรองเพื่อแจ้งข่าวด้วยตนเอง
“ข้าขอเข้าไปพบน้องรอง” ไป๋ลี่เฟยแจ้งกับบ่าวหน้าประตูจวน
“คุณหนูมาทำไมหรือเจ้าคะ” จูจูที่ไม่ค่อยต้องการให้คุณหนูของตนมายุ่งเกี่ยวกับคนเรือนรอง เอ่ยออกมาด้วยความเป็นห่วงในระว่างรอ
ไป๋ซินหยานเดินออกมาด้วยใบหน้าที่แม้จะดูซีดเซียวไปบ้าง แต่ริมฝีปากกลับอวบอิ่มฉ่ำน้ำติดสีแดงระเรื่อ “พี่หญิงใหญ่มีอันใดหรือ”
สวยจริงนะ…
“วันมะรืนองค์ชายสามจะเสด็จมาที่จวนไป๋…เจ้าใส่อาภรณ์สีม่วงด้วยละ องค์ชายชมชอบสีม่วง มองไปทางใดก็จะได้สบายตา” กล่าวจบก็หมุนตัวกลับเรือนตนทันทีไม่คิดจะอยู่เสวนาต่อ
“พี่หญิง เข้ามาก่อนสิเจ้าคะ พี่หญิง!” ไป๋ซินหยานเรียกตามหลังแต่ก็ไม่ทันเสียแล้วจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
คุณหนูใหญ่ไป๋ยังไม่สามารถทำอันใดมากมายได้ จึงอยากสร้างความคับข้องใจเล็กน้อยให้แก่ชายผู้นั้นเล็กน้อย และนางเองก็อยากจะรู้ด้วยเช่นกัน ว่าถ้าหากอาภรณ์สีที่นางโปรดปรานไปอยู่บนร่างกายของน้องรองจะยังสร้างความขุ่นเคืองให้แก่องค์ชายสามอยู่หรือไม่
ลี่เฟยไม่คิดกังวลว่าจะทำให้องค์ชายพาลไม่ชอบไป๋ซินหยาน เพราะทั้งสองได้ใช้เวลาลอบก่อสายใยบางอย่างต่อกันไปบ้างแล้ว ที่แสร้งว่าออกไปกับมารดา แต่แท้จริงฮูหยินรองเป็นผู้เปิดทางก็ใช่ว่าไป๋ลี่เฟยจะไม่รับรู้
ไป๋ลี่เฟยกลับมานั่งพักผ่อนรับลมอยู่ในเรือนของตนเองได้ครู่หนึ่งก็บิดกายหันไปหาจูจู “เตรียมของไว้เย็บถุงหอมให้ข้าที” ลี่เฟยหมายมาดในใจห่างเลี่ยงการพบเจอไม่ได้ ตัวนางก็ควรใช้เวลานั้นทำสิ่งอื่นเสีย แต่นางต้องเริ่มทำไว้บางส่วนก่อน เพื่อให้แน่ใจว่า หากจ้าวหลินไฉ่เห็นผู้ใดใช้ถุงหอมนี้ จะจดจำได้ทันทีว่าเป็นสิ่งที่นางบรรจงปัก
.
.
.
บรรยากาศแปลกประหลาดในศาลาไม่ก่อกวนใจไป๋ลี่เฟยแม้เพียงนิด นางไม่สนใจคนอีกสองผู้ที่นั่งร่วมในศาลาเดียวกันแม้แต่น้อย หลังจากดูสีหน้าของจ้าวหลินไฉ่ที่ชะงักค้าง เพราะไม่ว่าจะเป็นลี่เฟยหรือซินหยานต่างแต่งกายด้วยสีม่วง จนลี่เฟยอดระอาไม่ได้
ก็เป็นเพียงแค่สีอาภรณ์ มันจะอันใดนักหนากัน
คุณหนูไป๋สนใจเพียงการปักถุงหอมในมือให้เป็นลวดลายป่าไผ่ นางเลือกใช้ผ้าสีม่วงเข้ม ด้ายปักลายสีดำสีเงินและสีเทา ฮัมเพลงในใจมิได้คิดเริ่มต้นสนทนาอันใด
“พี่หญิงใหญ่เจ้าคะ องค์ชายนั่งรออยู่นานแล้วนะเจ้าคะ” ไป๋ซินหยานที่ถูกลี่เฟยให้ตามมานั่งเป็นเพื่อนในศาลาเอ่ยออกมาเมื่อเห็นว่าลี่เฟยเอาแต่ปักผ้า
“องค์ชายเป็นฝ่ายส่งเทียบขอมาเยี่ยมเยียน ข้ามิได้มีสิ่งใดต้องสนทนาจึงไม่ได้ชวนคุย หากเจ้ามีก็ชวนสิ ข้าไม่ว่าหรอก” ลี่เฟยตอบก่อนจะช้อนตาขึ้นมองเล็กน้อย ทันเห็นหลินไฉ่ขมวดคิ้วพอดี
“ปักให้ผู้ใดกัน” องค์ชายสามที่เห็นว่าสิ่งของสำคัญกว่าตนเองถามออกมา
“ปักให้ใครไม่สำคัญหรอกเพคะ รอคนผู้นั้นได้รับก็รู้กันแล้ว” ลี่เฟยยิ้มบางๆ แสร้งทำสีหน้าเอียงอายจงใจให้เข้าใจผิดว่าตนกำลังขัดเขิน ให้คนตีความไปว่าที่นางเขินอายเพราะถูกจับได้ว่าปักถุงหอมนี้ให้กับคนตรงหน้า ทั้งที่ไป๋ลี่เฟยคิดว่าจะปักถุงนี้ให้แก่พี่ชายของตน
“ข้าเกลียดสีม่วง” จ้าวหลินไฉ่พูดลอดไรฟันออกมา
ไป๋ซินหยานมีสีหน้าง้ำลงเล็กน้อยคล้ายเบื่อหน่ายที่ต้องนั่งอยู่ตรงนี้จึงเอ่ยขอตัว “ขอตัวนะเพคะ”
เมื่อนางลุกออกไปแล้วองค์ชายสามก็ตวัดสายตาโกรธเคืองมาครั้งหนึ่ง จากนั้นลุกขึ้นตามไป๋ซินหยานไป และชวนให้เดินเล่นในสวนของจวนไป๋ด้วยกัน
“นึกอย่างไรชวนคนในจวนให้เดินเล่นชมสวนบ้านตน” ไป๋ลี่เฟยเอ่ยประชดประชัน นางเคืองไม่น้อยที่ได้รับคำด่าว่าผ่านสายตา ทั้งที่ตัวนางมิได้ทำอันใดผิด
ทั้งสองคุยกันอยู่ไม่ไกลจากสายตาของไป๋ลี่เฟยนัก นางจึงได้เห็นว่าองค์ชายเอ่ยวาจาบางอย่าง จากนั้นไป๋ซินหยานก็หันกลับมามอง ตามด้วยสายตาอันแข็งกร้าวขององค์ชายสาม ลี่เฟยขบขันเล็กน้อย
“ดูท่าองค์ชายจะรู้ความจริงเสียแล้วว่าเหตุที่ซินหยานแต่งกายเช่นนั้นเป็นเพราะข้า” นางพึมพำกับจูจูที่ได้แต่มึนงง เพราะคุณหนูรองก็มิได้แต่งตัวแปลกประหลาดอันใด
สรุปแล้วไป๋ลี่เฟยจบวันได้ด้วยการสนทนากับคนที่นางเกลียดชังได้ในไม่กี่ประโยค ทั้งยังได้ถุงหอมมาอีกหนึ่งใบ แต่น่าประหลาดนักที่นางปักอักษรเฉิงที่เป็นชื่อขององค์ชายหก หาใช่ชางที่เป็นชื่อของพี่ชาย
สงสัยถุงนี้คงต้องมอบให้จ้าวโจวเฉิงเสียแล้ว…
ลี่เฟยน้ำเครื่องหอมในตู้มาผสมเป็นกลิ่นที่คล้ายคลึงกับกลิ่นที่นางได้จากตัวองค์ชายหก อย่างเช่นเปลือกสนและสมุนไพรอ่อนๆ เพียงแต่ไป๋ลี่เฟยเลือกจะเพิ่มกลิ่นของดอกท้อ และเปลือกส้มที่ตนเองชื่นชอบลงไปด้วย เกิดเป็นกลิ่นใหม่ที่มีมิติไม่น้อย
ในระหว่างที่นางกำลังใส่ทุกสิ่งลงให้ถุงหอมก็พลันได้ยินเสียงก้อนหินตกลงมายังพื้นเรือน ทำให้รู้ได้ทันทีว่าองค์ชายหกผู้ไม่เกรงกลัวสิ่งใด มาส่งสารให้นางถึงเรือนอีกคราแล้ว
แต่ครานี้ไป๋ลี่เฟยมือไว หยิบหยกทับกระดาษบนโต๊ะเขวี้ยงกลับไปยังทิศทางที่คาดว่าองค์ชายหกยืนอยู่ นางคาดหวังว่าจะได้ยินเสียงร้องโอดโอย หรือเสียงก้อนหยกกระทบพื้น แต่เมื่อคอยอยู่นานก็ยังไร้เสียงจึงก้มหน้าออกไปดู พบว่าองค์ชายหกห้อยโตงเตงอยู่ใกล้กับขอบหน้าต่างเรือนนอนของตนเอง พร้อมยกก้อนหยกขึ้นมาโบกน้อยๆ ให้ลี่เฟยเห็นว่าตัวเขารับของชิ้นนี้ได้ทันท่วงที
‘ข้าจะนำมาคืน’ องค์ชายหกขยับปากให้ลี่เฟยอ่านอย่างไร้เสียง แต่นางขยับคืนกลับไปเป็นคำว่า ‘ไม่เอา’
“จูจูปิดหน้าต่างที คืนนี้ข้าไม่ต้องการรับลม” รอบยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตาปรากฎบนใบหน้าของลี่เฟย ถึงเวลาที่จ้าวโจวเฉิงควรรู้เสียทีว่าการบุกมาเรือนผู้อื่นยามค่ำคืนเช่นนี้ ย่อมไม่ถูกต้อนรับ
“เจ้าค่า”
หลังจากไป๋ลี่เฟยขึ้นไปนอนบนเตียงพร้อมหยิบกระดาษห่อก้อนหินมาไว้กับตัว แล้วจึงสั่งให้จูจูวางตะเกียงไว้หัวเตียง “ไปเถอะ เดี๋ยวข้าดับไฟเอง”
นางคลี่กระดาษที่เสมือนว่าจะสำคัญจนต้องโผล่มายามค่ำคืน มันถูกเขียนไว้เพียงว่าพบกันสวนเบญจมาศ แม้คราแรกจะมึนงง แต่เมื่อนึกไปถึงบทสนทนาที่ผ่านมาก็พอจะเดาได้ว่า จ้าวโจวเฉิงต้องการบอกไป๋ลี่เฟยว่าสถานที่นัดพบคือสวนเบญจมาศในสำนักศึกษา แต่กลับไม่ระบุเวลามาเช่นนี้ ลี่เฟยก็ได้แต่คาดเดาว่าคงหมายถึงช่วงพักของศิษย์ทั้งหลาย
จะประหยัดหมึกอะไรเช่นนี้ วังท่านขาดหมึกหรืออย่างไร
ฟากฝั่งของไป๋ซินหยานก็ได้จดหมายน้อยจากองค์ชายผู้หนึ่งมาเช่นกัน แต่จดหมายนี้ถูกฝากมาผ่านบ่าวเฝ้าประตูหาใช่การลอบเข้ามาเองไม่
ตัวของคุณหนูรองผู้นี้ยังมิได้เปิดอ่าน และยังไม่ได้แจ้งต่อมารดาว่ามีบุรุษลอบส่งสารมาให้เช่นนี้ นางคลี่ออกดูช้าๆ พบว่าด้านในเขียนชื่อร้านอาภรณ์หรูหราแห่งหนึ่งไว้ และเขียนคำว่าของขวัญไว้ข้างกัน
ข้อความนี้ทำให้รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฎบนใบหน้าของคุณหนูรองจวนสกุลไป๋ ในใจคิดว่าหากลี่จีฮวาผู้เป็นมารดารับรู้ว่าองค์ชายสามซื้ออาภรณ์จากร้านหรูให้เป็นของขวัญ ท่านแม่ของตนย่อมต้องหายโกรธเคืองที่คราก่อนไม่อาจนำผ้าเนื้อดีกลับมาได้เพียงพอต่อความต้องการของนาง
“ท่านแม่เจ้าคะ” ซินหยานเคาะประตูห้องของฮูหยินรองลี่เบาๆ ก็