บทที่ 14 ปักใจไม่เผาผี
ไม่ทันที่ไป๋ลี่เฟยจะได้บอกปัดหรือตัดสินใจเลือกสถานที่กับองค์ชายหก ความกระอักกระอ่วนก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงเรียกของผู้ที่มาใหม่
“น้องลี่เฟย” หลินเจียหยุนร้องทักลี่เฟยขึ้นมาเมื่อเห็นสหายรุ่นน้องอยู่ในระยะสายตา
“พี่หญิงเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” ลี่เฟยเลือกเดินเข้าไปหาเจียหยุน ผละออกห่างจากจ้าวโจวเฉิงในทันทีที่มีผู้มาใหม่
“พี่สบายดีทุกอย่าง วันนั้นได้พบที่ร้านเครื่องประดับ ได้คุยกันเพียงเล็กน้อย วันนี้จึงตั้งใจมาหาเจ้าด้วยส่วนหนึ่ง” เจียหยุนที่เอ็นดูไป๋ลี่เฟยส่วนหนึ่งกล่าวอย่างใจดี
“เสียดายนักที่คุณหนูฉือและเจียจูมิได้มาด้วย” ลี่เฟยพยักหน้ายิ้ม นึกถึงฉือจี้ผ่าและหลินเจียจูสหายอีกผู้หนึ่งของนาง
“น้องสาวของเจียหยุนก็มาด้วยกัน นั่งเล่นอยู่ในศาลาด้านหน้า แต่คุณหนูฉือเห็นทีข้าจะไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น” คุณชายโอส่ายหัวเบาๆ
“ข้าส่งเทียบเชิญไปแล้ว แต่เห็นว่าสกุลฉือไปไหว้พระที่อารามประจำสกุลกันทั้งครอบครัว” องค์ชายหกที่เดินตามมาสบทบกล่าวขึ้น
“อ๋า เป็นเช่นนี้” ลี่เฟยรับคำ เมื่อทักทายกันพอประมาณก็ตัดสินใจกลับไปนั่งที่ศาลา ติดแต่ไป๋ลี่เฟยที่เสียดายว่ายังไม่ได้สำรวจสวนงดงามนี้สักเท่าใดเลย
จ้าวโจวเฉิงเห็นสีหน้าเช่นนี้ของไป๋ลี่เฟยจึงลอบยิ้มแล้วกระซิบกับแม่นางข้างกายว่าวังแห่งนี้ยังเปิดให้นางมาเที่ยวเล่นได้ตามใจ ไม่ดูครานี้คราหน้าย่อมดูใหม่ได้ เรียกรอยยิ้มสุขใสของลี่เฟยให้กลับมาประดับบนใบหน้าได้ทันใด
.
.
.
ในศาลากลางสวนเจือไปด้วยเสียงหัวเราะ เพราะโอจินโม่เล่าเรื่องราวที่เพื่อนคนหนึ่งในสำนักของตน ผู้ดึงพลังปราณผิดพลาด ทำให้พลังลมที่ใช้วิชายืมธาตุจากจินโม่ไปออกจากช่องทางที่ไม่ควรจะออกมา แทนการเกิดลูกปราณในอุ้งมือ
“เช่นนี้ไม่ไหว ฮ่าๆๆๆ” ไป๋ช่างชางหัวเราะอย่างสุดกำลัง เพราะในยามนั้น ตนถูกอาจารย์เรียกใช้งานจึงไม่ได้เห็นเรื่องตลกเช่นนี้ด้วยตัวเอง
“หากไม่มีธาตุลมในกาย ข้าก็จะไม่ยืมของผู้ใดแล้ว กลัวเหลือเกิน” หลินเจียจูส่ายหน้าดูระแวงอย่างปิดไม่มิด ตัวนางยังมิได้เข้าเรียนเพราะอ่อนกว่าเกณฑ์เข้าเรียนไปถึงครึ่งปี จำต้องรอเข้าเรียนในปีต่อไปเท่านั้น
“นับว่าเป็นอันตรายของวิชายืมธาตุได้หรือไม่ คิกคิก” ไป๋ลี่เฟยที่มีพลังธาตุลม เมื่อให้คนอื่นหยิบยืมธาตุก็มีความผิดพลาดเกิดขึ้นบ้าง แต่กลายเป็นการผายลมเช่นนี้แปลกใหม่อย่างแท้จริง
“ธาตุลมของข้าร้ายกาจจริงๆ” โอจินโม่เจ้าของพลังธาตุกล่าวยกยอตัวเองอย่างขบขัน
“ยังดีที่เป็นศิษย์ฝ่ายชาย หากเกิดเรื่องเช่นนี้ ข้าคงต้องลาออกแน่แล้ว” เจียหยุนส่ายศีรษะนำมือปิดหน้า หากเป็นตัวนางเรื่องน่าอายปานนี้ คงต้องหนีไปบวชชีเท่านั้น
“…ขะ” องค์ชายหกที่กำลังจะร่วมวงสนทนาถูกตัดบทไปเสียก่อน
“อันใดกัน เหตุใดไม่รอข้า สนุกกันเข่นนี้ สกุลเสิ่นยังสำคัญหรือไม่” เสิ่นหรงฮวาที่เปลี่ยนชุดเชื่องช้า พึ่งจะเดินออกมาสมทบบริเวณศาลาร้องทักขึ้น แค่นางได้ยินเสียงพูดคุยคล้ายว่าสนุกนักหนาก็โมโหเกินทนแล้ว แต่เมื่อเห็นตำแหน่งการนั่งยิ่งทำให้หรงฮวามีโทสะ
รอบโต๊ะกลมบนศาลามีลำดับการนั่งคือเก้าอี้ที่เว้นว่างให้ตัวเสิ่นหรงฮวา ถัดไปเป็นเจียจู จากนั้นเป็นเจียหยุน ตามด้วยโอจินโม่ผู้เป็นคู่หมั้น จากนั้นคือองค์ชายหก ไป๋ลี่เฟย ตามด้วยไป๋ช่างชาง เสิ่นหรงฮวาโกรธนักที่เว้นที่ว่างริมนอกไว้ให้ตัวนางนั่ง เพราะในใจของเด็กสาวต้องการนั่งท่ามกลางวงสนทนาเป็นจุดศูนย์กลาง และอยู่ติดชิดองค์ชายหก
“เรื่องนี้เกี่ยวอันใดถึงสกุลเสิ่น อย่าโยกโยงให้ไกลเกินไปนัก” จ้าวโจวเฉิงไม่สบอารมณ์ ในระหว่างที่ทุกคนกำลังพูดคุยอย่างสนุกสนาน เหตุใดหรงฮวาต้องทำลายบรรยากาศให้เสียหายเช่นนี้กัน
“พวกเราพูดคุยกันก็เพื่อรอคุณหนูเสิ่นนะเจ้าคะ ขนมและของว่างยังไม่มีผู้ใดแตะต้อง รอครบคนจึงจะเริ่มลิ้มลอง” ไป๋ลี่เฟยที่เป็นตัวตั้งตัวตีให้ทุกคนรอคอยหรงฮวากล่าวออกมา
กล่าววาจาอันใดกัน เป็นชนชั้นสูงเพียงผู้เดียวในเมืองหลวงหรืออย่างไรกัน!
“ใช่แล้ว กลิ่นเรียกความหิวได้ดีนัก หากให้นั่งเงียบรอเจ้าจะอดใจไหวได้อย่างไร” หลินเจียจูสหายของลี่เฟยกล่าวเสริม
ขนมและของว่างวันนี้มาจากในวังหลวง แม้จะเป็นชนชั้นสูงแต่โอกาสที่จะได้ชิมตามใจชอบก็ไม่ใช่จะมีได้ทุกเมื่อ เหล่าคุณหนูคุณชายจึงหาเรื่องคุย รอให้เสิ่นหรงฮวามาถึง แล้วค่อยเริ่มลิ้มลองพร้อมเพรียงกัน
“เจ้าจะดูถูกว่าข้าไม่มีปัญญากินขนมจากในวังหรือ!” คำพูดเหล่านี้ คล้ายไปกระตุ้นความกรุ่นโกรธให้คุณหนูเสิ่นเสียมากกว่าจะทำให้นางซาบซึ้งที่ทุกคนรอคอย
“ตีความไปเช่นนั้นได้อย่างไร ทุกคนในที่นี้ ล้วนแล้วแต่เคยทดลองชิม หากแต่ไม่ใช่ของที่กินได้ทุกวันเสียเมื่อไหร่ ควบคุมสติบ้าง” หลินเจียหยุนที่ทนไม่ไหวกับพฤติกรรมของสตรีรุ่นน้องตัดสินใจกล่าวสั่งสอนออกมา
“เจ้าเป็นใครมาสอนข้า!!!” หรงฮวากระทืบเท้าแรงๆ ติดกันหลายครา
“เหมือนน้องหญิงสามไม่มีผิด” ไป๋ช่างชางส่ายหัวเบาๆ ยามที่ต้องร่วมโต๊ะกันครบทุกคน ก็มักจะได้เห็นฤทธิ์เดชเช่นนี้ของน้องสาวต่างมารดาเสมอ เหมือนเป็นภาพซ้อนทับกับคุณหนูเสิ่นยามนี้ไม่ผิดเพี้ยน
คำพูดของพี่ชาย ทำให้ไป๋ลี่เฟยคิดอ่านบางประการออก “ข้าไม่เคยเห็นคุณหนูบุตรฮูหยินเอกสกุลชั้นสูงผู้ใดต้องคอยตอกย้ำว่าตนสูงศักดิ์ และกดคนอื่นให้ต่ำลงเช่นเจ้าเลย เจ้ากำลังบอกใครกัน บอกพวกข้า หรือบอกตนเอง เจ้าไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของมารดาเจ้าหรือ เหตุใดต้องคอยประกาศไปทั่วเช่นนี้” ท่าทีเช่นนี้ มักมีให้เห็นจากคุณหนูสกุลชั้นกลางค่อนมาทางสูง และบุตรอนุของสกุลชั้นสูงที่ต้องการรู้สึกสูงศักดิ์ทัดเทียมผู้อื่นเท่านั้น หากนางเป็นลูกแท้ๆ จริง ก็คงถูกเลี้ยงมาผิดมหันต์ แต่หากไม่ใช่บุตรในครรภ์แต่ต้น ก็คงต้องการย้ำให้ตนเองมั่นใจในสถานะคุณหนูเหมือนอย่างน้องสามของนาง
“เจ้า นังคุณหนูใหญ่สกุลไป๋ ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้! ข้าเป็นลูกท่านแม่ นังบ้า ข้าเป็นบุตรของนาง พูดบ้าอะไร” คุณหนูเสิ่น จู่ๆ ก็ร้องโวยวายจับต้นชนปลายไม่เป็นภาษาขึ้นมา แล้วพุ่งตรงเปิดกาน้ำชาสาดใส่ไป๋ลี่เฟย โชคยังดีที่น้ำชาไม่ร้อนระอุแล้ว และองค์ชายหกเอี้ยวตัวมาบดบังไว้ ส่วนไปช่างชางปัดกาน้ำให้หลุดออกจากมือของหรงฮวา ทำให้ไป๋ลี่เฟยไม่บอบช้ำอันใดมาก
“โกเว่ย! นำรถม้าไปส่งคุณหนูหรงฮวาที่จวนสกุลเสิ่น” องค์ชายหกตั้งสติได้ก่อนผู้ใด เขาเปล่งวาจาลั่นศาลาให้องครักษ์ของตนจัดการสั่งบ่าว เขาต้องการให้นำคุณหนูผู้นี้ออกไปจากวังลมพฤกษาของตนในทันใด
เสิ่นหรงฮวาที่เห็นว่าใบหน้าขององค์ขายหกเขียวคล้ำ และแผ่นหลังเปียกแฉะไปด้วยน้ำชาในกาที่ตนเองสาดออกไป ก็ไม่กล้าวุ่นวายอันใด ก้มหัวปล่อยให้น้ำตาริไหลเดินตามบ่าวของตนออกไป แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันใบหน้ามาคาดโทษไป๋ลี่เฟย แน่แล้วว่าหรงฮวาคงจะปักใจอาฆาตไม่เผาผีกับไป๋ลี่เฟยเสียแล้ว
ลี่เฟยยกยิ่มมุมปากให้เห็นเพียงแค่ตัวนางและคุณหนู
เสิ่นหรงฮวา จากนั้นก็พลิกสีหน้ากลับมาเป็นสตรีหน้าสงสารดุจดอกบัวขาว ยั่วโมโหหรงฮวาให้ต้องกลืนน้ำตาของตนลงไปอึกใหญ่
ความจริงหากจะให้ลี่เฟยหลบเลี่ยงเองก็สามารถหลบออกไปได้ แต่นางต้องการใช้ข้อผิดพลาดนี้เป็นตราอนุญาตในการหาเรื่องเสิ่นหรงฮวาไปตลอดกาล จึงนั่งนิ่งเตรียมรับน้ำชาอุ่นๆ ไม่นึกเลยว่าทั้งองค์ชายหก และพี่ชายของตนจะใส่ใจถึงเพียงนี้
.
.
.
“แต่ข้าขอยืนยัน นางเป็นลูกแท้ๆ ของฮูหยินเอก ไม่ผิดแน่ แต่เหตุที่เป็นเช่นนี้ ข้าเองก็จนใจ” องค์ชายหกถอนหายใจ ตัวเขาก็เข้าใจดี หากเสด็จแม่เต๋อเฟยต้องการให้เขาแต่งกับหลานสาวของตน เขาเองคงไม่นึกรังเกียจอันใด แต่เพราะพฤติกรรมเช่นนี้ จึงทำใหเขาต้องปฏิเสธสุดหัวใจ
กลายเป็นว่าวันนั้นมีผู้ที่ต้องเปลี่ยนอาภรณ์ในจวนองค์ชายหกถึงสี่คนด้วยกัน เทียบกับงานเลี้ยงใหญ่ๆ แล้ว นี่นับว่าเป็นจำนวนที่มากพอดูเลย แต่ข้อดีของเหตุการณ์นี้ก็มีอยู่ เพราะหลังส่งตัวน่ารำคาญในใจของทุกคนกลับออกไปแล้ว การเที่ยวเล่นชิมของว่างก็สนุกขึ้นทันตา
ทั้งยังมีช่วงที่คนทั้งหมดเปิดโอกาสให้โอจินโม่และหลินเจียหยุนได้อยู่ตามลำพังบ้างอีกด้วย จนลี่เฟยอดแซวเจียหยุนไม่ได้ แต่กลับถูกคุณหนูหลินหยอกล้อกลับว่าองค์ชายหก และไป๋ลี่เฟยเองก็ดูมีบางอย่างไม่ธรรมดาเช่นกัน
บ้าจริง! พี่เจียหยุนจะเอาไปเล่าให้เจียจูฟังแล้วหรือไม่