บทที่ 17 สหายสนิทและศิษย์พี่
เสียงร้องของฉือจี้ผ่าเรียกให้ทุกสายตาจับจ้องมาตามเสียง ไป๋ลี่เฟยรีบนำน้ำสะอาดข้างเตาหลอมชะโลมที่หลังมือของจี้ผ่าทันที ในระหว่างนั้นเอง คุณหนูเสิ่นผู้เป็นตัวการยังคงร่ำร้องโวยวายไม่แผ่วเสียงลง
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้ากลัวถูกหูของเตาหลอมลวกมือจึงตกใจ อย่าร้องจนจะเป็นจะตายอย่างนี้สิ คนเข้าใจข้าผิดกันหมดแล้ว” เสิ่นหรงฮวาแก้ตัวคิดกลับดำเป็นขาว โบ้ยความผิดให้ผู้เคราะห์ร้ายในเหตุการณ์ครั้งนี้
“เจ้าพูดจาพล่อยๆ ตีสีหน้าตายได้อย่างไร เพียงแค่กลัวถูกหูเตาลวกจึงสาดของเหลวเดือดมาถูกจี้ผ่า แต่สหายของข้าร้องด้วยความเจ็บปวดคือการทำให้คนเข้าใจเจ้าผิดงั้นหรือ” ไป๋ลี่เฟยที่อดทนกับวาจาน่าขันไม่ได้อีก ลุกขึ้นก่นด่าหรงฮวากลางห้อง
ศิษย์ร่วมชั้นไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวหาว่าไป๋ลี่เฟยเลยแม้แต่คนเดียว เพราะภาพที่เห็นคือมือแดงจัดของคุณหนูฉือ และน้ำตาของแม่นางน้อยที่มักจะยิ้มร่าเริงและหัวเราะอยู่ตลอดเวลาก็ทำให้คนทั้งหลายรู้สึกสงสารอยู่ในใจ
“ยื่นมือออกมา” อาจารย์กุนที่เห็นเหตุการณ์รีบเข้ามาดูแผลก่อนสิ่งใด เมื่อแน่ใจแล้วว่าควรให้ยาแบบใด จึงหยิบโอสถขี้ผึ้งสมานผิวออกมา “นี่จะทำให้เจ็บน้อยลง หากแสบร้อนเกินหนึ่งเค่อให้ไปหาข้า จะให้ศิษย์ที่มีธาตุลมและน้ำช่วยบรรเทาความแสบ
“ขอบคุณเจ้าค่ะอาจารย์” ฉือจี้ผ่าปาดน้ำตาด้วยมือข้างที่ไม่เจ็บ และทายาลงบนมือของตนเบาๆ
“อาจารย์เจ้าคะ ลูกกลอนของกลุ่มข้าและนางมิได้ถูกปนเปื้อน ข้าส่งให้ตรวจ แล้วพาฉือจี้ผ่าไปพักเลยได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ย่อมได้” อาจารย์ประจำวิชาพยักหน้ารับ ดูเม็ดกลมทั้งสิบที่มีขนาดเท่ากันสวยงามไม่ขาดไม่เกิน พลางคิดในใจว่าเด็กหญิงที่อาจารย์โฉ่เลือกย่อมต้องมีความพิเศษ
ระหว่างที่ไป๋ลี่เฟยกำลังประคองฉือจี้ผ่าออกจากชั้น ไป๋ซินหยานก็ก้มหัวแสดงความขออภัย “ข้าขอโทษคุณหนูฉือด้วยเจ้าค่ะ หากข้าเป็นผู้ยกหม้อ คง…ไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้”
ไป๋ลี่เฟยกระแอมหนหนึ่งเพื่อห้ามไม่ให้ตนเองอาเจียนออกมา น้องสาวของนางคนนี้มีเวลามากมายในการเลือกจะขอโทษขอโพย แต่นางกลับเลือกเวลาที่อยู่ต่อหน้าอาจารย์และศิษย์พี่ทั้งหลาย ดึงตนเองให้เป็นจุดศูนย์กลางในเรื่องที่นางมิได้เกี่ยวข้องแม้แต่น้อย
ซินหยาน…เดินหมากในบทบาทดอกบัวขาวได้ละมุนละไมยิ่ง
“เดี๋ยวก่อน” ฉือจี้ผ่าเอ่ยบอกกับลี่เฟยเบาๆ
“อันใดกัน งานก็ส่งแล้ว ไปนั่งพักรับลมกันเถิด” ลี่เฟยได้แต่มองอย่างสงสัย
“อาจารย์กุนเจ้าคะ คุณหนูเสิ่นจะได้รับบทลงโทษใดหรือไม่” ฉือจี้ผ่าเปล่งวาจา ถามออกไปอย่างนอบน้อม เจ็บตัวเช่นนี้หากมิได้รับการชดเชยความรู้สึกใด นางคงต้องกรีดร้องอีกครา
“ย่อมต้องมี ขอสำคัญของการปรุงโอสถคือความรอบคอบ ระมัดระวัง และไม่สิ้นเปลืองทรัพยากร คุณหนูเสิ่นไม่ระวังส่งผลให้ผู้อื่นได้รับความเจ็บปวด คุณหนูรองไป๋ปล่อยให้คู่หูของตนทำวัตถุดิบเสียหาย ลงโทษทั้งสองให้คัดแยกหินธาตุวันละครึ่งชั่วยาม เป็นเวลาหกรอบพระจันทร์” อาจารย์กุนชี้แจงความผิดพร้อมจัดแจงบทลงโทษ
หลายฝ่ายจะคิดว่าบทลงโทษนี้อาจยาวนานเกินไปเสียหน่อย แต่เมื่อคิดได้ว่าคุณหนูฉือเป็นหลานสาวใกล้ชิดของฮองเฮาก็คิดว่าเหมาะสมดีแล้ว
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เสียขอบคุณของฉือจี้ผ้า และไป๋ซินหยานดังขึ้นพร้อมกันด้วยเจตนารมณ์ที่ต่างกัน ขาดก็แต่เสียงขอบคุณของคุณหนูเสิ่นที่เอาแต่ยืนอึกอักไม่อาจควานหาคำใดมาตอบโต้ได้
“ไปกันได้แล้ว” ไป๋ลี่เฟยดันหลังสหายของตนออกมา ตั้งใจพาไปนั่งที่หลังเรือนสอนของอาจารย์โฉ่
.
.
.
ในศาลาหลังเรือนเรียนศิษย์พี่หม่าจางผู้ครอบครองห้าธาตุนั่งอยู่พอดิบพอดี “ศิษย์พี่!”
“นี่สหายของข้า ฉือจี้ผ่า จี้ผ่านี่ศิษย์พี่ของข้า ตงหม่าจาง” เมื่อนั่งลงแล้วลี่เฟยก็กล่าวแนะนำคนทั้งสองให้รู้จักกัน
“คุณหนูฉือ” หม่าจางพยักหน้าให้จี้ผ่าหนหนึ่ง
“คุณชายตง อ๊ะ” จี้ผ่าเกิดเจ็บแปล๊บขึ้นมาชั่วขณะ
“ขอข้าดูหน่อย คุณหนูฉือโดนอันใดมา” ตงหม่าจางที่เห็นรอยแดงบนหลังมือขาวถึงกับตกใจ จนต้องประคองขึ้นมาจากโต๊ะ
“น้ำร้อนลวกเจ้าค่ะ ศิษย์พี่มีธาตุน้ำและลมนี่เจ้าคะ ผสมให้เป็นธาตุเหมันต์บรรเทาความแสบให้นางเถิด” ไป๋ลี่เฟยเป็นคนตอบออกมาแทน
ฉือจี้ผ่าที่มิกล้าตอบเป็นเพราะไม่รู้จะพูดอันใด เมื่อมีรุ่นพี่ที่เป็นชายจับมือถือแขนตนเองก็รู้สึกกระอักกระอ่วนบ้าง แต่หากจะว่ากล่าวก็คงไม่งาม เพราะคุณชายตงผู้นี้จับยกขึ้นด้วยเจตนาที่จริงใจ ทั้งยังใช้ธาตุปราณห่อหุ้มฝ่ามือเอาไว้แล้วเช่นนี้
“หายแสบร้อนหรือไม่” ลี่เฟยถามไถ่สหายที่มีไอธาตุปราณวนอยู่รอบข้าง
“เย็นสบายมากเลย ขอบคุณศิษย์พี่ของเจ้ายิ่งนัก” จี้ผ่าที่รู้สึกหายแสบร้อน กล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้มสดใสเต็มใบหน้า “คุณชายตงเก่งกาจยิ่ง!” คราแรกคิดจะแย้งว่ายังไม่ครบเวลารอคอยที่อาจารย์บอก แต่จี้ผ่าไม่สนใจแล้ว เมื่อความเจ็บถูกยกออกนั้นดีกว่าเป็นไหนๆ
“เจ้าเรียกข้าว่าพี่หม่าจางเถิด หรือจะเรียกศิษย์พี่ก็ย่อมได้ อย่างไรก็ศิษย์สำนักเดียวกัน” ตงหม่าจางที่กำลังตั้งใจควบคุมปราณไม่ให้เย็นเกินไป ขัดเขินกับคำชมซึ่งหน้าขึ้นมาเล็กน้อย คุณหนูชนชั้นสูงที่ยิ้มและพูดจาเปิดเผยเช่นนี้ หม่าจางมิเคยพบมาก่อนจึงอยากสนิทสนม เพราะแม้กระทั่งศิษย์น้องร่วมสาบานก็ยังมีกำแพงกลิ่นอายสูงส่งบางอย่างให้สัมผัสได้
“อ๋า…ได้สิเจ้าคะ ผู้ที่ทำให้ข้าคลายเจ็บปวดได้เช่นนี้จะร้องขออันใดจี้ผ่าย่อมทำตาม พี่หม่าจางก็เรียกข้าว่าจี้ผ่าเหมือนลี่เฟยเลยนะเจ้าคะ” ฉือจี้ผ่าที่หายเจ็บก็กลับมาเป็นคุณหนูผู้ร่าเริงดังเดิม
“วันนี้ตอนเช้าศิษย์พี่ไม่มีเรียนหรือ เหตุใดมานั่งเล่นอยู่ผู้เดียว”
“มีพรุ่งนี้ วิชาสัตว์พันธะเรียนทั้งสามในสี่วัน ข้าไม่มีวิชาพื้นฐานอื่นต้องเรียนแล้ว คงให้เตรียมการไว้ก่อนไปหาสัตว์ในพันธะหลังทดสอบพลังปราณอีกครั้งตอนเกือบท้ายปี”
“ไปได้แค่ผู้ที่มีปราณสีม่วงชั้นต่ำใช่หรือไม่เจ้าคะ สัตว์ในพันธะถือเป็นการสอบจบชั้นปีด้วย กดดันยิ่ง” ฉือจี้ผ่ากล่าววาจาเพื่อร่วมวงสนทนา
“ใช่แล้ว หากต่ำกว่านี้ย่อมอันตรายจนเกินไป ไม่ต้องกดดัน จี้ผ่ามีเวลาอีกมาก” ตงหม่าจางกล่าวยืนยัน จากนั้นก็ถอนพลังปราณเว้นช่วงให้ฉือจี้ผ่าทายาหนหนึ่ง ก่อนจะเริ่มใช้ไอเย็นบรรเทาความปวดแสบของฉือจี้ผ่าต่อ
ท่ามกลางบทสนทนาเบาสบาย ไป๋ลี่เฟยกลับเด้งตัวขึ้นมาอย่างแรง “ศิษย์พี่! ข้าขอฝากจี้ผ่าด้วย” กล่าวกำชับเพียงไม่กี่คำ ลี่เฟยก็วิ่งออกไปท่ามกลางความมึนงงของหม่าจางและจี้ผ่า
“สหายของเจ้ารีบไปที่ใดกัน” ตงหม่าจางถามออกมา น้ำเสียงเจือความฉงน
“ศิษย์น้องของท่านประหลาดยิ่ง” จี้ผ่าเอ่ยพลางมองไปยังหม่าจางที่นั่งอยู่ตรงข้าม ก่อนทั้งสองจะเปล่งเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน
_______
รอบพระจันทร์ หมายถึงระยะเวลาประมาณหนึ่งเดือน หกรอบพระจันทร์เท่ากับหกเดือน