บทที่ 18 ต้นท้อกลางสวนเบญจมาศ

1469 คำ
บทที่ 18 ต้นท้อกลางสวนเบญจมาศ เหตุที่ไป๋ลี่เฟยลุกขึ้นมาอย่างรีบร้อนเป็นเพราะนึกได้ว่า องค์ชายหกนัดแนะให้นางมาพบที่สวนเบญจมาศในเวลาพัก คุณหนูไป๋เดินลัดเลาะมาจนถึงบริเวณสวน แต่ถูกศิษย์ในสำนักที่กำลังรีบร้อนอีกผู้หนึ่งชนจนเซไปหลังภูเขาจำลอง ลี่เฟยไม่ได้คิดเอาความเพราะอีกฝ่ายได้หันมาขออภัยอย่างเร่งรีบแล้ว คุณหนูผู้ถูกชนจึงหยุดเดินและปัดอาภรณ์ของตนให้เรียบร้อยก่อน เมื่อเสร็จสิ้นจึงโผล่หน้าออกไปเตรียมสอดส่องว่าจ้าวโจวเฉิงยืนอยู่ที่มุมใดของสวนแห่งนี้ สายตาของไป๋ลี่เฟยกวาดไปทั่วๆ จนมาหยุดยังต้นท้อใหญ่กลางสวนเบญจมาศ นางเห็นแผ่นหลังที่จำได้ทันทีว่าเป็นขององค์ชายหก จึงเตรียมจะเดินเข้าไปหา แต่กลับต้องชะงักมาหลบหลังภูเขาจำลองดังเดิม เพราะเห็นว่ามีคุณหนูรุ่นพี่ที่งดงามดั่งดอกเบญจมาศผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าจ้าวโจวเฉิง คุณหนูผู้นี้คือลี่จวี๋ฮวา บุตรสาวของพี่ชายฮูหยินรองสกุลลี่ในจวนไป๋นั่นเอง คุณหนูลี่คือผู้ที่ถือครองฉายาโฉมงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงคนปัจจุบัน หากจะมีสิ่งใดที่ตระกูลลี่ไม่ขาดแคลน อาจบอกได้ว่าเป็นสาวงาม ไป๋ลี่เฟยถูเหงื่อกลางฝ่ามือไปมา ความรู้สึกอึดอัดจุกอยู่บริเวณลำคอ ท่าทางการพูดคุยของคนทั้งสองดูเบาสบายดั่งภาพฝัน ความงามของลี่จวี๋ฮวาที่สะท้อนออกมาทั้งดวงหน้าสะกดสายตา จนลี่เฟยมิอาจกดความรู้สึกที่มักเปรียบเทียบความงามของตนเองกับน้องรองอยู่เนืองๆ ได้อีก ยิ่งเมื่อได้มาเห็นสตรีสกุลลี่อีกผู้หนึ่งในฉากหลังที่เป็นใจเช่นนี้ ยิ่งทำให้น้อยเนื้อต่ำใจ แม้นางจะนับว่าเป็นหญิงงามผู้หนึ่ง แต่ก็งามอย่างน่ารักมิใช่สะกดคนได้เช่นนี้ ไป๋ลี่เฟยคล้ายเห็นภาพซ้อนทับระหว่างองค์ชายสาม และองค์ชายหกที่กำลังประคองคุณหนูลี่ด้วยท่าทางสนิทสนม ความรู้สึกชาปะทะเข้าที่ใบหน้า หรือแท้จริงแล้วไม่ว่าชาติภพใด ชายสกุลจ้าวก็จะต้องยกสตรีสายเลือดลี่ไว้เหนือนนาง ใช้ตัวข้าปะทะกับคุณหนูเสิ่นแทนตัวคนรักตัวจริงหรือนี่…คนสกุลจ้าว สันดานเดียวกันโดยแท้! หากเป็นเช่นนี้ก็มีเพียงเรื่องเดียวที่ไป๋ลี่เฟยยังสงสัย นั่นคือเหตุใดบันทึกของไป๋ซินหยาน จึงออกไปในทิศทางว่าองค์ชายหกชมชอบและหลงรักตัวของคุณหนูรองสกุลไป๋ หาใช่ลูกพี่ลูกน้องสกุลลี่ของไป๋ซินหยานกัน หลังเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ความคิดฟุ้งซ่านที่ตบตีกันยุ่งเหยิงก็บรรเทาลง ลี่เฟยจึงคิดจะใช้พลังปราณลอบแอบฟังบทสนทนาของคนทั้งคู่ แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าใดก็มิอาจได้ยินสิ่งใด จึงล้มเลิกความคิด และถอยออกมาในที่สุด หากตกลงจะร่วมมือกันแล้ว แต่กลับไม่ยอมบอกความต้องการอย่างจริงใจเช่นนี้ ลี่เฟยก็ไม่ต้องการเป็นพรรคพวกด้วยอีก ระหว่างทางกลับ ลี่เฟยหยิบถุงหอมที่ตั้งใจจะนำมาให้องค์ชายหกออกมา นางจรดสายตาลงมองอยู่ชั่วลมหายใจหนึ่ง ก่อนจะโยนทิ้งออกไปในดงดอกเบญจมาศวงนอกของสวน ใบหน้าที่เคยปรากฏแววความสดใสของแม่นางวัยเยาว์ กลับกลายเป็นกลิ่นไอที่คล้ายมีหมอกเมฆดำโอบอุ้มไว้ทั้งร่าง ความผิดหวังสายหนึ่งผุดขึ้นภายในใจ แต่ก็ถูกกดให้ลึกลงจนไม่ปรากฏขึ้นมาอีก ทิ้งไว้แต่สีหน้าเฉยชามุ่งตรงออกจากสวน ก่อนจะเดินลับออกมาบริเวณด้านนอกคล้ายว่าไป๋ลี่เฟยจะได้ยินเสียงเรียกคราหนึ่ง แต่เพราะกระแสห้วงอารมณ์ในยามนี้ ทำให้ความตั้งใจอยู่ที่การเดินกลับ จนมิได้สนใจสิ่งรอบข้าง . . . เมื่อกลับมาถึงศาลาหลังเรือนเรียนก็พบจูจู และบ่าวของฉือจี้ผ่า บ่าวทั้งสองกำลังนำอาหารขึ้นเรียงรายจัดแจงไว้จนเต็มโต๊ะ แม้ในห้องเรียนจะไม่อาจนำบ่าวติดตามมาได้ แต่ยามพักไม่มีกฎเกณฑ์ห้ามมิให้พาบ่าวของตนมารับใช้ อาหารบนโต๊ะทำให้ลี่เฟยคลายความขุ่นข้องหมองใจลงได้สองในสามส่วน จึงเผยรอยยิ้มยินดี “จูจูกับอาผิงเจอพวกข้าได้อย่างไรกัน” “ความจริงพวกบ่าวก็รออยู่ที่โรงทานอาหารนั่นแหละเจ้าค่ะ แต่คุณชายตงที่เห็นพวกบ่าวยืนนิ่งไม่ได้รับใช้ผู้ใดอยู่จึงมาถามไถ่ และบอกกล่าวให้รู้เจ้าค่ะ” จูจูอธิบายความส่วนหนึ่ง “ข้าอาสาไปเอาข้าวมาให้จี้ผ่านั่งกินที่นี่ นางจึงบอกให้ตามหาอาผิงกับจูจูด้วย เห็นว่าสองคนชะเง้อหาคนเลยคิดว่าอาจเป็นพวกนาง” ตงหม่าจางยิ้มแย้มอธิบาย “ข้าพึ่งมานึกได้ตอนพี่หม่าจางพูดเรื่องอาหาร” ฉือจี้ผ่าบอกออกมา “ข้าก็ลืมไปเสียสนิทเช่นกัน หากไม่เจอก็อาจอยู่ที่นี่ หรือข้างหอตำรา ต่อไปก็ไปหาที่นั่นแล้วกัน” ลี่เฟยคลี่ยิ้มบางออกมาบอกกล่าวให้บ่าวคนสนิทรู้ “กินกันเถิด จะได้ไปส่งจี้ผ่าที่ลานกลาง” ตงหม่าจางเอ่ยวาจาปิดท้าย . . . รถม้าส่งเสียงกุบกับอยู่ภายนอก แต่ก็มิอาจรบกวนการหลับตาลงพักผ่อนของไป๋ลี่เฟยที่ทุ่มตัวไปกับการฝึกฝนวันนี้ได้ นางพยายามออกกระบวนท่า และเดินปราณจนร่างกายเหนื่อยล้า นิสัยดั้งเดิมของคุณหนูใหญ่สกุลไป๋ก็เป็นเช่นนี้ หากมีเรื่องราวในใจก็มักจะทุ่มเทกับการฝึกฝนของตนเอง วันนี้นางคาดคะเนว่ามีความเป็นไปได้สูงส่งที่จ้าวโจวเฉิง จะโผล่มาวุ่นวายที่ริมหน้าต่างห้องนอนของตน จึงคิดที่จะแช่น้ำให้ผ่อนคลาย แล้วปลีกตัวไปนอนเรือนมารดา ทันทีที่ก้าวลงจากรถม้า ไป๋ลี่เฟยสั่งให้บ่าวเตรียมน้ำอาบให้ทันที การกระทำหลายอย่างของจ้าวโจวเฉิง สามารถตีความให้ตัวนางเข้าใจผิดได้ว่าองค์ชายหกผู้นี้เองก็สนใจนางอยู่บ้าง มิใช่ว่าเป็นการแสดงไปเสียหมด เมื่อมาเจอเรื่องเช่นนี้จึงทำให้รู้สึกเสียหน้า ที่หลงขัดเขินไปกับการกระทำเหล่านั้น ทั้งยังซ้ำรอยเป็นสตรีสายเลือดลี่ ยิ่งทำให้รู้สึกพาลมากกว่าเดิม ลี่เฟยตั้งใจแล้วว่า หากจ้าวโจวเฉิงไม่บอกกล่าวความจริง นางก็จะไม่ใช้องค์ชายหกเป็นเครื่องมือกีดกันการหมั้นหมายของตัวนางและจ้าวหลินไฉ่อีก คุณหนูสกุลไป๋ตระหนักได้ว่ามิจำเป็นต้องยอมร่วมมือกับคนที่ไม่จริงใจ ชาติก่อนแม้มีสิ่งที่ขัดเคืองนางก็อดทน แต่ชาตินี้นางขอไม่เป็นคนมากเหตุผลจนต้องสละตัวเองเช่นเดิมอีก ใครจะกล่าวหาว่าข้าเป็นสตรีงี่เง่า ข้าก็จะยืดอกรับด้วยความเต็มใจ “คุณหนูขึ้นจากอ่างเถิดเจ้าค่ะ น้ำเริ่มเย็นแล้ว” จูจูกล่าวเรียกสติคุณหนูของตน เมื่อเห็นว่าแช่น้ำด้วยสีหน้าคร่ำเครียดจนนานเกินไป “อืม ช่วยข้าแต่งตัวที ข้าจะไปออดอ้อนขอนอนกับท่านแม่” คุณหนูใหญ่ของจวนลืมตาขึ้น ยื่นแขนให้บ่าวคนสนิทประคองขึ้นจากน้ำ ยามนี้นางยังไม่พร้อมพูดคุยกับโจวเฉิง หากความรู้สึกเสียหน้าเจือจางลง ลี่เฟยจึงจะเปิดโอกาสให้คนทั้งสองได้พูดคุย และให้ตัวนางได้ถามไถ่หาความจริง . . . การคาดคะเนของไป๋ลี่เฟยนับว่าไม่ห่างจากความเป็นจริงแม้แต่น้อย เพราะยามนี้นอกหน้าต่างของจวนที่ถูกปิดเงียบ มีองค์ชายผู้หนึ่งยืนมองจากกิ่งของต้นไม้สูงใหญ่ จ้าวโจวเฉิงที่ใช้ก้อนหินเล็กปาใส่ประตูหน้าต่างที่ถูกปิดไว้เท่าใด ก็ไร้ความเคลื่อนไหวดั่งคราก่อนที่เคยผ่านมา จึงได้แต่ลอบถอนหายใจ แล้วนำจดหมายที่ตั้งใจจะมอบให้ไป๋ลี่เฟยวันนี้เสียบเข้าไปในร่องหน้าต่างห้องนอนนาง เมื่อลอบฟังอีกครู่หนึ่ง ได้ยินคำสนทนาของบ่าวในเรือนว่าแม่นางที่มาหาอยู่ในเรือนมารดา ก็รู้ตัวแล้วว่าในราตรีนี้หมดโอกาสได้พบเจอกับไป๋ลี่เฟย จ้าวโจวเฉิงจึงทำได้เพียงออกไปจากจวนโดยที่ยังไม่สมความต้องการของตนเอง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม