อันน์เดินไปจนเห็นแสงไฟหน้ากระท่อมหลังงาม ซึ่งอยู่หากจากโรงเรือนกุหลาบพอสมควร กระท่อมหลังนั้นปลูกติดทะเลสาบ ด้านหลังมีท่าน้ำยื่นลงไปด้วย พร้อมเรือที่ผูกไว้
ชายหนุ่มเดินสำรวจรอบๆ ก่อนเห็นว่ามีรถจักรยานยนต์จอดอยู่พร้อมกุญแจเสียบคาไว้ แต่แรกเขาตั้งใจขี่มันเพื่อหาทางเอาตัวรอด แต่หูแว่วได้ยินเสียงแปลกๆ
ฟังได้สักพัก เสียงนั้นก็เปลี่ยนเป็นเสียงครางอย่างสุขสม!!
ชายหนุ่มใจเต้นแรง ความอยากรู้อยากเห็นท่วมท้นใจ เขามองไปยังแสงสุดท้ายของวัน และมันพอให้ความสว่างจนเห็นเงาของคนสองคนที่ยืนอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ห่างจากเขาราวสิบกว่าเมตร
แวบหนึ่งอันน์อยากถอยหลังแล้วจากไปเสีย แต่เสียงหอบกระเส่าซึ่งแหบพร่าฉุดให้เขาก้าวไปดูราวกับมีเวทมนตร์
เมื่อเขาเข้าไปใกล้อีกนิด จึงเห็นร่างเพรียวของผู้ชายจากด้านหลัง ร่างนั้นขยับตัวเป็นจังหวะเร่งเร้า และอีกร่างที่หันหน้าทาบกับต้นไม้ก็สั่นสะท้านไปตามแรงที่ถูกกระแทกกระทั้น และส่งเสียงครวญครางราวกับกินของรสเผ็ดจัด
อันน์มองบั้นท้ายของผู้ชายที่ไหวไปมา เป็นภาพที่ชวนให้ระทึกใจแต่สวยงาม ด้วยเห็นกล้ามเนื้อเด่นชัด
ภาพดังกล่าวทำให้เขาไม่อาจละสายตา เขามองอยู่อย่างนั้นโดยที่หัวใจเต้นระส่ำ และยอมรับว่าติดใจจนยากถอนสายตา อึดใจต่อมาทั้งคู่ก็ส่งเสียงสนทนากัน
“พี่ต้องรีบลงมือนะ อย่าให้เสียแผนเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีอะไรเหลือสักอย่าง”
“ถ้านายรู้ ทุกอย่างไม่จบเหรอ พี่กลัวนะ กลัวนายไล่พี่ออกไปจากที่นี่” เสียงผู้หญิงดูตื่นกลัวมาก
“ไม่ใช่แค่พี่คนเดียวน่ะซี ผมคงพลอยซวยไปด้วย คืนนั้นผมก็ทำพลาด... และถ้านายจับได้ว่าเป็นฝีมือผม... ผมซวยแน่ นี่ผมยังงงมาก ทำไมนายถึงไปที่นั่น แถมจับไอ้เด็กคนนี้มาอีก”
“เธอก็ไม่น่าไปยุ่งกับคนบ้านนั้น หาเรื่องเหลือเกิน” อีกฝ่ายเอ่ยแล้วถอนหายใจตามมา
“พี่ก็รู้ ของที่นายชอบ ผมอยากครอบครองทั้งนั้น แต่ไม่เหมือนพี่นะ ผมรักตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหน้า”
“อย่ามาทำเป็นปากหวาน เธอไม่ได้รักพี่จริงหรอก”
“พี่แหม่ม... ถ้าไม่รักพี่ ผมจะยอมเสี่ยงทุกอย่างแบบนี้เหรอ และพี่ต้องมีสติให้มาก นายกำลังหลงเด็กเหี้ยนั่น ทั้งที่มันเอ่อเป็นผู้ชาย แล้วพี่ทนได้เหรอที่เห็นนายมีความสุขกับผู้ชายด้วยกัน แทนที่จะเป็นพี่!” พรรคพลว่าแล้วจึงขยับสะโพกรัวๆ จนแหม่มครางติดกันด้วยความเสียวซ่าน
“ไม่... พี่จะไม่ยอมให้ใครมายุ่งกับนายอีก แค่นังพี่สาวมันก็ทำให้นายช้ำใจหนักจนเกือบเสียผู้เสียคน พะ พี่จะ ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้นาย อะ อีก โอ๊ย...” แหม่มตอบก่อนจูบปากพรรคพลอย่างดูดดื่ม “แรงๆ แรงขึ้นอีก แรงๆ ทำไม่เป็นรึไง” เธอออกคำสั่ง และยื่นมือข้างหนึ่งมาบีบก้นเขา
“พี่นี่โคตรน่าเอาทั้งข้างหน้าและข้างหลัง มีแต่นายนั่นแหละที่ไม่เห็นค่า”
“อย่าพูดแบบนั้น ปะ เป็นพี่เองที่ไม่คู่ควรกับนาย อุ๊ย..โอ๊ย พี่ชอบนะ ทำแบบนั้น ทำกับพี่อีก” แหม่มร้องขอ
“แต่เชื่อผมเถอะ สักวันนายจะต้องกลับมามองพี่สาวคนสวยคนนี้”
“ใช่... พี่จะทำให้ไอ้อีแรดๆ ที่อยู่ใกล้นาย ตายไปจากโลกนี้ให้หมด” เมื่อกล่าวจบ หญิงสาวก็ถูกกระแทกถี่ยิบจนร่างสั่นสะท้าน พอเธอถูกจับหมุนตัวกลับ ดวงตาก็มองเห็นอันน์เข้าพอดี “พล หยุด!!”
อันน์ตกตะลึงอยู่ไม่กี่วินาที ก่อนทำทีเสมองไปทางอื่น และรีบวิ่งหนีไปราวกับไม่เคยรับรู้ภาพร่วมรักของคนทั้งคู่ และจุดหมายเดียวตอนนี้ก็คือรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่
อันน์สตาร์ทเครื่องด้วยเท้าอยู่สองครั้ง ด้วยความไม่คุ้นชิน เขาเกือบพุ่งชนต้นไม้ หากพอทรงตัวได้ก็ขี่มุ่งหน้าไป ยามนั้นลำคอแห้งผาก ร่างกายร้อนรุ่ม ภาพและเสียงของพรรคพลกับแหม่มยังติดตา
ชายหนุ่มไม่รู้เหนือรู้ใต้ แต่อยากไปให้ไกลจากที่นี่ เขาบิดคันเร่งไปได้อีกราวๆ สองนาที ข้อเท้าก็มีสีแดงโร่ขึ้น พร้อมเสียงหวีดแหลมดังเตือน
อันน์ตกใจมาก เขาไม่ทันได้บึ่งรถต่อ เหล่าคนงานก็โผล่ออกมาจากข้างทาง และยืนขวางเขา ทุกคนมีสีหน้าเครียดจัด
ชายหนุ่มจำต้องเบรกรถจนตัวโก่ง แวบหนึ่งเขาอยากหักคอรถขี่หลบหนีไปอีกทาง หากด้านหลังมีพรรคพลขับรถกระบะคันใหญ่ไล่กวดมา
“เชื่อยายเถอะหนู กลับขึ้นเรือนใหญ่ไป อยู่กับนายนะ ไม่มีอะไรหรอก”
หญิงที่สูงวัยที่สุด สืบเท้าอย่างช้าๆ มาหาอันน์ ยามนั้นเขารู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
“อย่าไปสนใจใคร อยู่ให้ห่างทุกคนไว้ นายจะดูแลหนูเอง” คุณป้าที่อันน์เห็นตอนแรกเดินเข้ามา และบอกเขาอย่างนั้น
“พวกป้าช่วยผมไม่ได้เหรอ ผมอยากไปจากที่นี่”
หญิงวัยกลางคนยิ้มแหย นางเอ่ยทำนองเดิมราวกับถูกป้อนโปรแกรมมา
“ดงกุหลาบ ไม่ได้เลวร้ายอะไร นายอยากให้หนูอยู่ที่นี่ ก็ดีแล้ว พวกป้ากับยายทำงานมาตั้งแต่สาวๆ ก็ได้ฝากผีฝากไข้นายธรรศนั่นแหละ”
อันน์ไม่อยากเชื่อว่าคนอย่างธรรศจะแสนดี และน่าไว้ใจ
“ตกลงจะไม่ช่วยผมจริงเหรอ ทำไมไม่เห็นใจผมบ้างเลย”
คุณยายและป้าคนดังกล่าวไม่ทันได้เอ่ยคำใด แหม่มก็ก้าวมาถึง เธอแสดงสีหน้าร้ายกาจผิดกับยามที่อยู่ในเรือนไม้หลังใหญ่
“มีอะไร ทำไมไม่ไปทำงานกัน อย่ามาเสนอหน้าแถวนี้”
“จะกลับแล้วค่ะคุณ พอดีเห็นน้องเขาขี่รถมาทางนี้ ป้ากลัวจะหลงทาง” ป้าบอกกับแหม่ม
“เดี๋ยวฉันดูแลเอง ทีหลังไม่ต้องจุ้นจ้าน นายไม่ต้องการให้ใครพูดกับคุณเขา” แหม่มกล่าวเสียงดังข่มขู่
“พอทีนี้ก็มีปากมีเสียง ทำไมก่อนหน้านี้เวลานายอยู่ผมเห็นเงียบมาก อ้อ ไม่ใช่สิ ตะกี้ก็ร้องซะลั่นป่า คงจะเจ็บมากใช่ไหม!”
“คุณ! อย่าพูดอะไรแบบนี้นะ” แหม่มหน้าซีดเผือดทันที เมื่อถูกจับได้ว่าแอบทำเรื่องงามหน้า
“โอ๊ะๆ ไม่พูดก็ได้ กลัวแล้วจ้า กลัวจริงๆ” อันน์ว่าพร้อมเหลียวมองทางหนีทีไล่ แต่ตอนนี้เขาไม่เหลือโอกาส คงต้องรอจังหวะที่ดีกว่านี้
“คุณกลับขึ้นเรือน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวได้ถูกช็อตด้วยไฟฟ้าแน่” แหม่มขู่ เธอมองที่ข้อเท้าอันน์ ซึ่งมีแสงกะพริบวูบวาบ และตอนนั้นมือถือเธอมีสายโทรเข้ามาพอดี แหม่มมีสีหน้าตกใจ ก่อนเดินเลี่ยงถอยห่างออกไป แล้วกดรับสาย “ค่ะ... ทุกอย่างโอเคค่ะนาย เพียงแต่...” เธอดูเหมือนคนละคนกับเมื่อครู่ และอาการลนลานบอกให้รู้ว่าปลายสายคือธรรศ
อันน์หัวเราะขบขัน เมื่อแหม่มหันกลับมา เธอพยายามปั้นสีหน้าเหมือนตัวโกงในละครหลังข่าว
“ไปขึ้นรถกับพล เดี๋ยวคันนี้ฉันขี่กลับเอง”
“ไม่ ผมไม่อยากไปกับเขา เดี๋ยวผมให้พี่ๆ พวกนี้ไปส่งที่เรือนไม้ก็ได้” อันน์มองไปยังจักรยานของชายหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งที่เบาะหลังของเขายังมีที่ว่างให้นั่งซ้อนได้
“อย่ามาทำให้มันยุ่งยาก ไม่งั้นฉันจะฟ้องนาย”
“หึๆๆ ฟ้องคุณธรรศเหรอ ไม่รู้สิ ผมก็มีเรื่องบอกคุณเขาเหมือนกัน”
แหม่มโมโหมาก จนต้องกำหมัดทั้งสองข้าง เพื่อสกัดกลั้นอารมณ์
“อย่าอวดดี ฉันอยู่ที่นี่มาก่อนแก ถ้ายังอยากนอนสุขสบายบนเรือนใหญ่ก็อย่าก่อเรื่องแบบนี้อีก”