บ่ายแก่ๆ วันนั้นก่อนเวลารับประทานอาหาร อันน์ได้มีเวลาส่วนตัวในห้องน้ำ ธรรศถอดสายรัดข้อเท้าให้เขา และไม่ได้เข้ามาวอแวเหมือนเช่นทุกครั้ง กระนั้นการมีคนคุมอยู่ด้านนอก ทำให้ต้องรีบใช้เวลาส่วนตัวอย่างรวดเร็วทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้เร่งเร้าอะไร
เมื่อออกมาเขาเช็ดเนื้อเช็ดตัวโดยไร้สายตาอีกฝ่ายคอยจับจ้อง กระทั่งสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย ธรรศจึงเข้ามาสวมสายรัดข้อเท้า และบอกว่า
“ไปกินข้าว” มันเป็นคำชวนง่ายๆ แต่อันน์รู้สึกอุ่นใจเป็นพิเศษ จนเขาเผลอยิ้ม รอยยิ้มนั้นเผื่อแผ่ไปถึงธรรศด้วย
“ฉันทำอาหารไม่เก่ง มีอะไรก็กินๆ ไป อีกอย่างที่นี่นอกจากฉัน เบิ้มกับบิ๊ก ยังมีคนงานกับคนสวนอีกหลายคน ปกติฉันไม่ชอบให้ขึ้นมายุ่มย่ามบนเรือนใหญ่ แต่ถ้าแกเหงาอยากเปลี่ยนบรรยากาศ ฉันคงอนุญาตเป็นครั้งคราวให้สมสู่กับพวกมัน!”
ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านในหัวใจเมื่อครู่พลันหดหาย เขาไม่รู้ว่าเหตุใดธรรศจึงต้องสร้างตัวตนร้ายๆ เพื่อให้เขาเกลียดชัง และรู้สึกขยะแขยง
“ฮึ ถ้าคุณอนุญาต สักวันผมจะลองทำดู!”
อันน์กระแทกเสียงใส่หน้าธรรศ ก่อนก้าวนำไปยังห้องรับประทานอาหาร แต่แรกเขาอิดออดด้วยยังไม่ถึงห้าโมงเย็นด้วยซ้ำ
“กินข้าวเร็วแบบนี้ ผมก็หิวตอนดึกสิ”
“ไม่ต้องห่วง อาหารมื้อดึกถึงใจกว่านี้แน่ และมันเป็นอาหารคาวทั้งนั้น คิดว่าแกคงชอบ!”
“คุณหมายถึงอะไร”
“ฮ่าๆๆ ไม่อายปาก เคยอม เคยเลียไปทั้งดุ้นแล้ว ยังทำเป็นลืม!”
“คะ คุณ... มันหยาบคายที่สุด”
“เฮ้อ ไม่รู้ควรโทษใคร ที่แกด่าได้ไม่กี่คำเนี่ย โลกคงสวยมากสินะ ถึงได้เบบี๋ และโคตรใสซื่อ”
อันน์เลิกตอบโต้ และเดินตามธรรศไปยังโต๊ะอาหาร เขาเห็นว่ามีอาหารหลายอย่าง รวมถึงชายหนุ่มที่เขาพบเมื่อยามสาย ซึ่งมีท่าทางเหมือนคนโรคจิต เขายืนอยู่ข้างหญิงสาวคนหนึ่งอายุคงเฉียดสามสิบปี
“นั่นไอ้พลคนสวนกับแหม่ม ทั้งคู่ช่วยฉันดูแลที่นี่” ธรรศบอก แล้วนั่งลงที่หัวโต๊ะ
อันน์ตกตะลึงไม่น้อย ชายหนุ่มที่ชื่อพรรคพล เมื่อพิศให้ดีอีกฝ่ายมีความละม้ายคล้ายธรรศ ทั้งโครงหน้า ริมฝีปาก ผิดแต่ดวงตาเจ้าเล่ห์ดูไม่จริงใจ รูปร่างบางกว่าและสูงต่างกันมาก เรียกว่าไล่เลี่ยกับอันน์ ส่วนฝ่ายหญิงหน้าตาพื้นๆ แบบลูกครึ่งทั่วไป ผมยาวเป็นลอนคลื่น ผิวออกขาวเหลือง ที่ดึงดูดสายตาคงเป็นหุ่นของเธอ หน้าอกอวบใหญ่ เอวคอดและสะโพกพาย
“รู้จักแล้วไม่ต้องไปสนิทสนมกันให้มาก แกกับพวกมันเป็นคนในความปกครองฉัน แต่ดีหน่อยที่แกเป็นเมีย เลยได้ร่วมโต๊ะอาหาร” คนใจหยาบเอ่ยตัดบท เมื่อเห็นว่าอันน์มองพรรคพลนานเกินกว่าเหตุ
ธรรศตักอาหารเข้าปากโดยไม่สนใจอันน์ที่กำลังเขี่ยผักในจานของตนอยู่ มันเป็นสเต๊กไก่ปรุงรสด้วยเกลือพริกไทยดำ มีซอสกระเทียมแบบง่ายๆ แต่เขาไม่ค่อยชอบกินแคร์รอตและบรอกโคลี รวมถึงข้าวโพดย่างเนย และยังมีผักโขมผัดน้ำมันมะกอกอีกด้วย
“แกควรกินผักบ้าง อย่าให้มันต้องเสียของ”
เมื่อถูกเตือน อันน์จึงพยายามหั่นผักด้วยมีดให้ชิ้นเล็กที่สุดแล้วส่งเข้าปาก รสชาติไม่ได้แย่แต่เขากินยากเอง
“บ่ายนี้ ฉันจะออกไปธุระสักหน่อย แกอยู่กับพวกมัน คงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม”
คำสั่งของธรรศทำให้อันน์ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
“คุณจะกลับตอนไหน” อันน์ถามเสียงเบา
“หือ เป็นห่วง หรือกลัวว่าฉันจะจับได้ว่าแอบมีอะไรกับพวกมัน” ธรรศกล่าวจบจึงวางมีดและส้อม ก่อนกระดิกนิ้วเรียกแหม่มเติมวิสกี้สีอำพันลงในแก้ว “แกชอบดื่มไหม วันหลังดื่มเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”
“มันไม่ใช่ธุระของผม แค่กินข้าวร่วมโต๊ะกับคุณผมก็เอือมเต็มทน” อันน์ตอบเขาด้วยใจที่เดือดดาล ด้วยไม่ชอบวิธีการจิกกัดของอีกฝ่าย โดยเฉพาะการมองว่าเขาเป็นทาสทางอารมณ์
“ช่วยไม่ได้ แกต้องกินแบบนี้กับฉันไปอีกนาน บางทีอาจยาวนานเท่าชีวิตที่เหลืออยู่ของแก”
“ไม่มีทาง สักวันคงมีคนตามผมเจอ และคุณต้องถูกจับขังคุก” อันน์เอ่ยด้วยความหวังอย่างแรงกล้า เขาคิดถึงปกป้อง อย่างน้อยที่สุดอีกฝ่ายคงต้องหาทางติดตามเขา
“ฮ่าๆๆ เอาอะไรมาพูด เมียอยากให้คนอื่นจับผัวสุดหล่อขังคุกขี้ไก่ ดูใจร้ายไปหน่อยไหมทูนหัว”
คราวนี้ธรรศรู้สึกสนุก เขาลุกจากเก้าอี้และสืบเท้ามาใกล้ร่างที่นั่งอยู่ซึ่งตอนนี้ออกอาการสั่นเล็กน้อย
“คะ คุณจะทำอะไร อย่าแม้แต่จะคิด” อันน์ปราม แต่เสียงเขาตื่นเต้นจัด ใจอยากลุกหนีจากตรงนั้น หากพรรคพลกับแหม่มไม่ตั้งท่าขวางทางไว้
“ฉันอยากจูบลาเมียไง คืนนี้ฉันสัญญาว่าเราจะสนุกกัน ยิ่งกว่าครั้งแรกในห้องใต้ดิน!” ธรรศว่าแล้วจึงฝังรอยจูบบนคออันน์ ตามด้วยการดูดแรงๆ ในจุดเดิมที่อันน์ถูกกระทำเหมือนเมื่อคืน
ประตูห้องนอนใหญ่งับลงแล้ว แต่หัวใจของอันน์เต้นในจังหวะแปลกๆ เขาไม่รู้ว่าเหตุใดธรรศต้องจับเขาขังไว้ที่นี่ และทั้งที่เกลียดกลัวขยะแขยงคนตัวโต แต่เมื่อเขาหายหน้ากลับเป็นอันน์ที่หวาดผวา โดยเฉพาะด้านนอกมีพรรคพลกับแหม่มเฝ้าอยู่ คนทั้งคู่ดูไม่น่าไว้ใจเลย
อันน์อยู่ในห้องเงียบๆ ความเงียบทำให้เขาปวดหัวจี๊ด ตามด้วยความรู้สึกหิวและกระหายน้ำ จึงต้องการออกไปด้านนอก เขาเปิดประตูแล้วต้องประหลาดใจที่ไม่เห็นเงาของพรรคพลกับแหม่ม
ก่อนก้าวขาออกจากประตู เขามองสายรัดข้อเท้าของตน มันไร้แสงสีแดงสว่างโร่ขึ้นจึงถือวิสาสะก้าวไปยังห้องครัว อากาศตอนโพล้เพล้เย็นชื้น มีเพียงเสียงแมลง และเสียงนกร้องอยู่ไกลๆ
หลังดื่มน้ำและหาของว่างกินเรียบร้อย อันน์จึงเดินสำรวจห้องหับต่างๆ กระทั่งมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่บนเรือนใหญ่ รถของธรรศทั้งสองคันก็ไม่อยู่ที่นี่
ชายหนุ่มคิดอยู่นานเกือบนาที ตอนนี้อาจเป็นเวลาเดียวที่เขาจะหนีจากคนหื่นโหด
คิดได้ดังนั้น อันน์จึงไม่รอช้ารีบก้าวลงจากเรือนไม้ แม้จะไม่รู้จุดหมายแต่มันคงดีกว่าตกเป็นเหยื่ออารมณ์ให้ธรรศกลั่นแกล้ง
เขาก้าวไปข้างหน้าไกลออกไป จนเหงื่อชื้นเต็มแผ่นหลัง ด้านหน้าเป็นทางเล็กๆ ที่ตรงไปโดยมีทะเลสาบขนาบข้าง แสงของดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า
เขาพยายามหาจุดที่สูงๆ เพื่อมองให้ไกล กระทั่งพบว่าเบื้องหน้ามีแสงสว่างจากบ้านคน อันน์ก้าวกึ่งวิ่ง แต่แสงไฟที่เหมือนจะอยู่ใกล้ๆ กลับไกลเหลือเกิน
ระหว่างนั้นเขาได้ยินเสียงหวูดรถไฟ จึงมั่นใจว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ได้อยู่ห่างเมืองมากนัก ที่นี่อาจเป็นไร่ขนาดใหญ่ ถ้าเขาใช้ความอดทนสักหน่อยคงออกไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นได้
อันน์วิ่งไปด้วยความหวัง กระทั่งใกล้ถึงแสงสว่างตรงหน้า แต่เขาต้องหยุดวิ่งเสียก่อน ด้วยหลังจากผ่านแนวต้นไม้หนาทึบ สิ่งที่เห็นต่อมาคือโรงเรือนขนาดใหญ่
และเมื่อสายลมพัดผ่านกาย เขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ซึ่งคล้ายกลิ่นที่ติดตัวธรรศ ... กุหลาบ
ชายหนุ่มก้าวไปโรงเรือนกุหลาบ เขามองเข้าไปด้านใน เห็นคนจำนวนหนึ่งอยู่ในนั้น อันน์โบกไม้โบกมือให้ แต่พวกเขากลับเดินมาล็อกประตูทางเข้า
“ช่วยด้วย ผมมีเรื่องให้ช่วย...”
คนกลุ่มนั้นหันไปซุบซิบกัน ก่อนโบกมือไล่เขาให้ไปไกลๆ
“จะบ้าเหรอ ช่วยผมด้วย ผมถูกจับตัวมาขังไว้ที่นี่”
คุณป้าท่านหนึ่ง ชะเง้อมองดู ท่าทางนางเหมือนสนใจเขามาก แต่กลับถูกชายชราอีกคนยกมือห้ามและดึงตัวห่างออกไป
“เปิดประตู ให้ผมยืมมือถือก็ได้ มีไหมครับ ช่วยผมด้วย ผมกลัว...”
เหล่าคนงานได้ยินเขาร้องตะโกนอย่างเสียขวัญ แต่ไม่มีใครกล้าหยิบยื่นความช่วยเหลือ
“เฮงซวยที่สุด กลัวอะไรหนักหนา พวกป้า พวกลุงถูกไอ้บ้าธรรศจับล้างสมองรึไง”
อันน์แค้นใจธรรศ อีกฝ่ายคงสั่งคนงานเอาไว้ คิดได้ดังนั้นความหวั่นวิตกจึงตามมา หากมีใครโทรรายงานคนใจหยาบช้า เขาอาจถูกจับตัวไปทรมานแน่ๆ อันน์รีบหมุนตัวกลับ โดยมีจุดหมายคือบ้านคนที่อยู่ห่างออกไป