Chapter 14: I Hate Your Dirty Mouth!

1142 คำ
“โชคชะตา ไร้สิ้น วาสนา ใกล้เพียงเอื้อมมือ ไกลสุดปลายฟ้า  ไม่อาจไขว่คว้าเจ้าดวงจันทร์ เฝ้างมงาย รักลวงใจ ยากปล่อยวาง กล้ำกลืนช้ำ ไร้จุดหมาย ใคร่รอคอย” จางหลี่หมิงกอดร่างนุ่มนิ่มหอมกรุ่นในอ้อมแขนที่เริ่มขยับบิดกายเพราะความเมื่อยขบกระชับแขนแน่นยิ่งขึ้น ขณะมืออีกข้างกุมบังเ**ยนบังคับม้า หญิงสาวชาวป่าแสนงามกำลังหลับลึกไม่รู้สึกรู้สม แม้จะถูกมัดมือเท้าไว้ด้วยเชือกผ้าและผูกติดกับเอวเพื่อความสะดวกในการควบขี่ม้าศึกฝีเท้าจัด เขามองใบหน้าแฉล้มที่กำลังพริ้มเปลือกตา ริมฝีปากน่าลิ้มที่ชายหนุ่มรู้ดีว่ารสชาติหวานล้ำเพียงใด พลางนึกด่าตัวเองด้วยความรู้สึกเจ็บใจ ผิดที่เขาทำให้นางคลายจากความรุ่มร้อนกระทั่งสิ้นสติ จึงต้องทนรุ่มร้อนเสียเอง  แม้ปรารถนาเชยชมสาวงามใจจะขาด แต่ชายชาตรีอกสามศอกไม่นิยมเสพสุขกับเรือนร่างหญิงสาวไร้สติ หลังรู้ว่านางยังเป็นสาวบริสุทธิ์ เขาก็ยิ่งต้องการทะนุถนอมนาง “ตื่นแล้วหรือ” หงกุ้ยฟางเริ่มดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง ทันทีที่สายตาคุ้นชินกับแสงสว่างสีส้มอ่อนของอรุณรุ่งและรับรู้ว่าร่างกายถูกจำกัดอิสระ “ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! ”  นางตะคอกใส่หน้าเขาอย่างเกรี้ยวกราด ผิดกับท่าทางยั่วยวนของนางเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาราวฟ้ากับเหว “เจ้าลืมสัญญาแลกเปลี่ยนระหว่างเราแล้วหรือ ? ”  เขากล่าวทวง คำว่าเมื่อคืนนี้ทำให้ความหวาดกลัวปะทุขึ้นในหัวใจ นางเริ่มจดจำได้อย่างเลือนราง และภาพเหตุการณ์ต่างๆ ก็ฉายชัดขึ้นทีละน้อย  “ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น ปล่อยข้านะมนุษย์ใจชั่ว” “แล้วตัวเจ้าไม่ใช่มนุษย์หรือ ? ” จางหลี่หมิงยอกย้อน เพราะรู้ดีว่านางไม่ใช่คนธรรมดา “ข้าจะเป็นอะไรก็เรื่องของข้า ท่านไม่มีสิทธิจับข้ามัด” “หากสิ่งที่ข้าทำคือพระเสาวนีย์มารดาของแผ่นดิน สิทธิเท่านี้เพียงพอจะจับเจ้ามัดได้รึไม่” เขาล่อหลอกลองเชิง หญิงสาวฮึดฮัดอย่างไม่เกรงกลัว ต่อให้เป็นคำสั่งของโอรสสวรรค์ หงกุ้ยฟางก็ไม่คิดจะก้มศรีษะน้อมรับ เพราะนางถือว่าตนเองเป็นอิสระจากกฏเกณฑ์ทั้งปวงและไม่ได้อยู่ใต้อำนาจเบื้องสูง “ข้าไม่มีความผิดหรือทำความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ใครก็ไม่มีสิทธิจับข้าทั้งนั้น” “เจ้าไม่ได้ถูกจับกุมเพราะทำเรื่องมิชอบ... แต่ที่ถูกมัดก็เพื่อความสะดวกในการเดินทาง” น้ำเสียงที่ดังเหนือศรีษะของหงกุ้ยฟาง เริ่มส่อเค้าความหงุดหวิดรำคาญเมื่อร่างเล็กดิ้นรนไม่ยอมหยุด “ต้องการอะไรจากข้า” นางตะวาดเสียงดัง “ฮองเฮาทรงมีพระประสงค์จะขอความช่วยเหลือจากเจ้า” “โดยไม่สอบถามความสมัครใจข้าหรือ ? ” แม้สิ่งที่ได้ยินไม่ใช่เรื่องร้าย แต่หงกุ้ยฟางก็ไม่ไว้วางใจมนุษย์ เผ่าพันธุ์ที่ครั้งหนึ่งได้เข่นฆ่าบุพการีของนางอย่างเลือดเย็น  “ข้าถามเจ้าแล้ว... เมื่อคืนนี้” ราวกับว่านัยน์ตาสีนิลกาฬของเขาสามารถเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้ เสียงทุ้มลึกคุ้นหูและเรือนกายกำยำที่แนบชิดกับนางยังช่วยตอกย้ำซ้ำว่าทุกอย่างไม่ใช่ความฝัน “เมื่อคืนนี้...” หงกุ้ยฟางพึมพำ แววตาของนางเต้นระริกด้วยความรู้สึกเจ็บใจ  “ถูกต้อง สัญญาระหว่างสองเรามั่นคงลึกซึ้งยิ่งนัก” เขาได้ทีพูดจายั่วเย้านาง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาขณะที่ชายหนุ่มจดจ้องดวงหน้าหวานแฉล้มเกลี้ยงเกลา ความรู้สึกโหยหารสรักยากระงับ เมื่อสะโพกผายกับแผ่นหลังบางแนบชิดกับกายกำยำและริมฝีปากน่าลิ้มอยู่ห่างไม่ถึงคืบ  ทว่าความเจ้าชู้ยักษ์ที่เขาแสดงออกทางสีหน้าทำให้หงกุ้ยฟางบันดาลโทสะ หญิงสาวผลักไสความผิดทั้งหมดให้กับจางหลี่หมิง  “ที่ข้าทุรนทุรายเมื่อคืนนี้ก็คงเป็นเพราะฝีมือของเจ้าสินะ” ทว่าชายหนุ่มไม่ถือสาเอาความและเขาไม่ใช่ผู้เริ่ม “ข้าช่วยให้เจ้าหายทุรนทุราย จนต้องเป็นฝ่ายทุรนทุรายเสียเอง เจ้ายังไม่สำนึกบุญคุณกันเลยรึ” จางหลี่หมิงเย้าหยอกนางอย่างนึกสนุก นัยน์ตาคมกริบยังตรึงอยู่ที่ใบหน้าหวานและริมฝีปากสีเรื่อของนาง ปล่อยให้ม้านำทางโดยไม่ได้สนใจมองหนทางคดเคี้ยวเบื้องหน้า “ไอ้คนเจ้าเล่ห์!”  ชายหนุ่มหัวเราะดังลั่น เมื่อได้เห็นผิวขาวผ่องของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด  ทั้งคู่ปะคารมกันอย่างดุเดือดไปตลอดการเดินทาง บางครั้งเขาแกล้งโน้มลงเฉียดจมูกกับแก้มนุ่ม บางหนแกล้งกอดร่างบางและอ้างว่านางจะตกม้า  กระทั่งม้าคู่ใจวิ่งเข้าใกล้ขบวนกองทัพทหารม้าที่เดินทางล่วงหน้ามาก่อนหลายชั่วยาม กระชั้นชิดจนได้ยินเสียงเกือกเหล็กหุ้มกีบม้าย่ำพื้นดิน ชัดเจนเหมือนเสียงพายุลูกเห็บห่าใหญ่หล่นกระทบหลังคา  แม่ทัพหนุ่มควบขี่ม้าเลี่ยงไปยังเส้นทางลัดซึ่งเป็นถนนเล็กแคบแต่ระยะทางนั้นโค้งยาวมากกว่า ทว่าม้าศึกแค่เพียงหนึ่งตัวย่อมเคลื่อนตัวคล่องแคล่วว่องไวกว่าฝูงม้านับหมื่น กระทั่งพลบค่ำ จางหลี่หมิงเลือกจะพาหงกุ้ยฟางไปพักค้างแรมที่วัดป่าในเขตปกครองของเมืองหน้าด่านซึ่งบรรพชนตระกูลจางก่อตั้งให้แก่พระธรรมาจารย์ผู้เป็นพระอาจารย์ฝ่ายบุ๋นของประมุขรุ่นแรกของตระกูลจาง และวัดป่าแห่งนี้ยังเป็นโรงเรียนสอนวิชาการปกครองรวมถึงศาสตร์การแพทย์แก่ลูกหลานตระกูลจางและเหล่าเชื้อพระวงศ์ หงกุ้ยฟางรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาดใจเมื่อพบกับเจ้าอาวาสเฉิงอวี้ “เจ้ามีชื่อว่าอะไร” “ข้าชื่อหงกุ้ยฟาง” จางหลี่หมิงยิ้มกริ่มเมื่อได้ยินชื่อแซ่ของนาง เขาหรืออุตส่าห์หาเรื่องหลอกถามมาตลอดทาง แต่หงกุ้ยฟางกลับไม่ยอมหลงกล “ตามคนของอาตมาไปพำนักที่ห้องพักฝั่งเดียวกับเหล่าสีกาที่มาถือศีลกินเจเถิด” หลังจากหงกุ้ยฟางปลีกตัวออกไปจากห้องโถง พระอาจารย์เฉิงอวี้จึงหันมาซักไซร้ที่มาของนางมนุษย์ครึ่งจิ้งจอกกับจางหลี่หมิง “นางคือมนุษย์ครึ่งจิ้งจอกเช่นเดียวกับ หลี่หยางเฟยเพื่อนร่วมรุ่นของข้าใช่หรือไม่ ? ” “ใช่แล้ว ขออาตมาดูลายมือของท่านแม่ทัพด้วยเถิด” เจ้าอาวาสถอนหายใจยาว หลังจากเพ่งพิจารณาลายเส้นบนฝ่ามือของแม่ทัพหนุ่ม ทำให้คนรอฟังคำทำนายยิ่งเกิดความอยากรู้ หงกุ้ยฟางนอนหลับพักผ่อนจนหายเหนื่อย และตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ล่วงเข้ายามสี่ของอีกวัน หญิงสูงอายุสามสี่คนที่นอนร่วมห้องพักยังขดตัวอยู่ใต้ผ้าแพรเพราะยามดึกสงัดอากาศในเรือนนอนของสีกาค่อนข้างเย็น ร่างเล็กบางแอบย่องออกมาจากห้องพัก  ความมืดไม่ใช่อุปสรรคสำหรับหญิงสาว แม้ในยามค่ำคืนแต่นางสามารถมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนไม่ต่างจากตอนกลางวัน  หงกุ้ยฟางวางฝ่าเท้าลงบนพื้นหินอย่างระมัดระวัง ที่มาของเสียงสายน้ำไหลเอื่อยซึ่งดังแทรกในบรรยากาศสงัดเงียบแห่งราตรีกาล จะนำทางไปสู่ทางออก ไม่ว่าหนทางนั้นคือถนนหรือแม่น้ำล้วนไม่ใช่ปัญหา  “เจ้าไม่สามารถย้อนกลับไปอยู่ในป่าแห่งเดิมได้อีกแล้ว หากไม่ใช่ข้าก็ย่อมมีผู้อื่นหรือนักล่ารางวัลออกตามล่าเจ้าอยู่ดี” ร่างเล็กบางชะงักอยู่กับที่เมื่อได้ยินเสียงทุ้มคุ้นหูดังแหวกความเงียบขึ้นมาอย่างกระทันหัน เขามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ความสงสัยในตัวเขาทำให้หงกุ้ยฟางแทบลืมว่ากำลังหนี  สัญชาตญาณของจิ้งจอกแม่นยำว่องไวและไม่เคยพลาดท่า แต่ทำไมนางถึงไม่รู้ว่ามีบุรุษร่างสูงใหญ่ปานกำแพงหินสะกดรอยตาม  “จะถือว่าการจับข้ามาคือบุญคุณเช่นนั้นหรือ”  นางชวนทะเลาะเมื่อรู้ว่าหนีไปไหนไม่รอด “ไม่ใช่... แต่ข้าถือว่าเจ้าไม่รักษาสัจจะ” จางหลี่หมิงใช้เสียงทรงอำนาจกล่าวโทษหญิงสาว ขณะพิศมองนัยน์ตาสีดำนิลคู่งามที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวหยกเรืองรองในเวลากลางคืน ผิวพรรณของนางขาวนวลผุดฝาดละออตาท่ามกลางม่านราตรีสลัว  หากพาหงกุ้ยฟางเข้าวังหลวงคงไม่พ้นเป็นการสร้างความโกลาหล แม้ว่านางสวมใส่เสื้อผ้าคล้ายผู้ชายยังไม่อาจบดบังความงดงาม หากนางสวมเสื้อผ้าแบบสตรีตามกฏเกณฑ์ในวังหลวงจะงามล่มเมืองขนาดไหน “ข้าควรทำตัวเบาปัญญาเชื่อถือสัจจะของพวกมนุษย์ใจมารที่เข่นฆ่าครอบครัวตัวเองหรือ” “ทุกชีวิตในโลกล้วนเข่นฆ่ากันเองไม่เว้นมนุษย์กับมนุษย์”  บิดาของนางก็เป็นมนุษย์ยังถูกฆ่า หงกุ้ยฟางครุ่นคิดและคล้อยตาม เขาพูดถูกต้องทุกอย่าง สิ่งสำคัญที่สุดคือนางต้องรักษาสัจจะและศักดิ์ศรีแม้ว่าตัวต้องตาย “ข้าสัญญาว่าจะดูแลเจ้าด้วยชีวิต”  น้ำเสียงทุ้มของเขามั่นคง หงกุ้ยฟางมองชายหนุ่มอย่างพิจารณา ความสง่าน่าเกรงขามของเขามีส่วนทำให้นางอ่อนตามก็จริง  แต่ไม่ใช่เหตุผลที่นางยอมจำนน หญิงสาวรู้สึกราวกับว่ายังมีเชือกผูกพันธุ์เขากับนางเอาไว้หรืออาจจะเป็นคำสัญญาเพียงประโยคเดียว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม