“โชคชะตา ไร้สิ้น วาสนา
ใกล้เพียงเอื้อมมือ ไกลสุดปลายฟ้า
ไม่อาจไขว่คว้าเจ้าดวงจันทร์
เฝ้างมงาย รักลวงใจ ยากปล่อยวาง
กล้ำกลืนช้ำ ไร้จุดหมาย ใคร่รอคอย”
จางหลี่หมิงกอดร่างนุ่มนิ่มหอมกรุ่นในอ้อมแขนที่เริ่มขยับบิดกายเพราะความเมื่อยขบกระชับแขนแน่นยิ่งขึ้น ขณะมืออีกข้างกุมบังเ**ยนบังคับม้า หญิงสาวชาวป่าแสนงามกำลังหลับลึกไม่รู้สึกรู้สม แม้จะถูกมัดมือเท้าไว้ด้วยเชือกผ้าและผูกติดกับเอวเพื่อความสะดวกในการควบขี่ม้าศึกฝีเท้าจัด
เขามองใบหน้าแฉล้มที่กำลังพริ้มเปลือกตา ริมฝีปากน่าลิ้มที่ชายหนุ่มรู้ดีว่ารสชาติหวานล้ำเพียงใด พลางนึกด่าตัวเองด้วยความรู้สึกเจ็บใจ ผิดที่เขาทำให้นางคลายจากความรุ่มร้อนกระทั่งสิ้นสติ จึงต้องทนรุ่มร้อนเสียเอง
แม้ปรารถนาเชยชมสาวงามใจจะขาด แต่ชายชาตรีอกสามศอกไม่นิยมเสพสุขกับเรือนร่างหญิงสาวไร้สติ หลังรู้ว่านางยังเป็นสาวบริสุทธิ์ เขาก็ยิ่งต้องการทะนุถนอมนาง
“ตื่นแล้วหรือ”
หงกุ้ยฟางเริ่มดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง ทันทีที่สายตาคุ้นชินกับแสงสว่างสีส้มอ่อนของอรุณรุ่งและรับรู้ว่าร่างกายถูกจำกัดอิสระ
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! ”
นางตะคอกใส่หน้าเขาอย่างเกรี้ยวกราด ผิดกับท่าทางยั่วยวนของนางเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาราวฟ้ากับเหว
“เจ้าลืมสัญญาแลกเปลี่ยนระหว่างเราแล้วหรือ ? ”
เขากล่าวทวง
คำว่าเมื่อคืนนี้ทำให้ความหวาดกลัวปะทุขึ้นในหัวใจ นางเริ่มจดจำได้อย่างเลือนราง และภาพเหตุการณ์ต่างๆ ก็ฉายชัดขึ้นทีละน้อย
“ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น ปล่อยข้านะมนุษย์ใจชั่ว”
“แล้วตัวเจ้าไม่ใช่มนุษย์หรือ ? ”
จางหลี่หมิงยอกย้อน เพราะรู้ดีว่านางไม่ใช่คนธรรมดา
“ข้าจะเป็นอะไรก็เรื่องของข้า ท่านไม่มีสิทธิจับข้ามัด”
“หากสิ่งที่ข้าทำคือพระเสาวนีย์มารดาของแผ่นดิน สิทธิเท่านี้เพียงพอจะจับเจ้ามัดได้รึไม่” เขาล่อหลอกลองเชิง
หญิงสาวฮึดฮัดอย่างไม่เกรงกลัว ต่อให้เป็นคำสั่งของโอรสสวรรค์ หงกุ้ยฟางก็ไม่คิดจะก้มศรีษะน้อมรับ เพราะนางถือว่าตนเองเป็นอิสระจากกฏเกณฑ์ทั้งปวงและไม่ได้อยู่ใต้อำนาจเบื้องสูง
“ข้าไม่มีความผิดหรือทำความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ใครก็ไม่มีสิทธิจับข้าทั้งนั้น”
“เจ้าไม่ได้ถูกจับกุมเพราะทำเรื่องมิชอบ... แต่ที่ถูกมัดก็เพื่อความสะดวกในการเดินทาง”
น้ำเสียงที่ดังเหนือศรีษะของหงกุ้ยฟาง เริ่มส่อเค้าความหงุดหวิดรำคาญเมื่อร่างเล็กดิ้นรนไม่ยอมหยุด
“ต้องการอะไรจากข้า” นางตะวาดเสียงดัง
“ฮองเฮาทรงมีพระประสงค์จะขอความช่วยเหลือจากเจ้า”
“โดยไม่สอบถามความสมัครใจข้าหรือ ? ”
แม้สิ่งที่ได้ยินไม่ใช่เรื่องร้าย แต่หงกุ้ยฟางก็ไม่ไว้วางใจมนุษย์ เผ่าพันธุ์ที่ครั้งหนึ่งได้เข่นฆ่าบุพการีของนางอย่างเลือดเย็น
“ข้าถามเจ้าแล้ว... เมื่อคืนนี้”
ราวกับว่านัยน์ตาสีนิลกาฬของเขาสามารถเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้ เสียงทุ้มลึกคุ้นหูและเรือนกายกำยำที่แนบชิดกับนางยังช่วยตอกย้ำซ้ำว่าทุกอย่างไม่ใช่ความฝัน
“เมื่อคืนนี้...” หงกุ้ยฟางพึมพำ แววตาของนางเต้นระริกด้วยความรู้สึกเจ็บใจ
“ถูกต้อง สัญญาระหว่างสองเรามั่นคงลึกซึ้งยิ่งนัก”
เขาได้ทีพูดจายั่วเย้านาง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาขณะที่ชายหนุ่มจดจ้องดวงหน้าหวานแฉล้มเกลี้ยงเกลา
ความรู้สึกโหยหารสรักยากระงับ เมื่อสะโพกผายกับแผ่นหลังบางแนบชิดกับกายกำยำและริมฝีปากน่าลิ้มอยู่ห่างไม่ถึงคืบ
ทว่าความเจ้าชู้ยักษ์ที่เขาแสดงออกทางสีหน้าทำให้หงกุ้ยฟางบันดาลโทสะ หญิงสาวผลักไสความผิดทั้งหมดให้กับจางหลี่หมิง
“ที่ข้าทุรนทุรายเมื่อคืนนี้ก็คงเป็นเพราะฝีมือของเจ้าสินะ”
ทว่าชายหนุ่มไม่ถือสาเอาความและเขาไม่ใช่ผู้เริ่ม “ข้าช่วยให้เจ้าหายทุรนทุราย จนต้องเป็นฝ่ายทุรนทุรายเสียเอง เจ้ายังไม่สำนึกบุญคุณกันเลยรึ”
จางหลี่หมิงเย้าหยอกนางอย่างนึกสนุก นัยน์ตาคมกริบยังตรึงอยู่ที่ใบหน้าหวานและริมฝีปากสีเรื่อของนาง ปล่อยให้ม้านำทางโดยไม่ได้สนใจมองหนทางคดเคี้ยวเบื้องหน้า
“ไอ้คนเจ้าเล่ห์!”
ชายหนุ่มหัวเราะดังลั่น เมื่อได้เห็นผิวขาวผ่องของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด
ทั้งคู่ปะคารมกันอย่างดุเดือดไปตลอดการเดินทาง บางครั้งเขาแกล้งโน้มลงเฉียดจมูกกับแก้มนุ่ม บางหนแกล้งกอดร่างบางและอ้างว่านางจะตกม้า
กระทั่งม้าคู่ใจวิ่งเข้าใกล้ขบวนกองทัพทหารม้าที่เดินทางล่วงหน้ามาก่อนหลายชั่วยาม กระชั้นชิดจนได้ยินเสียงเกือกเหล็กหุ้มกีบม้าย่ำพื้นดิน ชัดเจนเหมือนเสียงพายุลูกเห็บห่าใหญ่หล่นกระทบหลังคา
แม่ทัพหนุ่มควบขี่ม้าเลี่ยงไปยังเส้นทางลัดซึ่งเป็นถนนเล็กแคบแต่ระยะทางนั้นโค้งยาวมากกว่า ทว่าม้าศึกแค่เพียงหนึ่งตัวย่อมเคลื่อนตัวคล่องแคล่วว่องไวกว่าฝูงม้านับหมื่น
กระทั่งพลบค่ำ จางหลี่หมิงเลือกจะพาหงกุ้ยฟางไปพักค้างแรมที่วัดป่าในเขตปกครองของเมืองหน้าด่านซึ่งบรรพชนตระกูลจางก่อตั้งให้แก่พระธรรมาจารย์ผู้เป็นพระอาจารย์ฝ่ายบุ๋นของประมุขรุ่นแรกของตระกูลจาง และวัดป่าแห่งนี้ยังเป็นโรงเรียนสอนวิชาการปกครองรวมถึงศาสตร์การแพทย์แก่ลูกหลานตระกูลจางและเหล่าเชื้อพระวงศ์
หงกุ้ยฟางรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาดใจเมื่อพบกับเจ้าอาวาสเฉิงอวี้
“เจ้ามีชื่อว่าอะไร”
“ข้าชื่อหงกุ้ยฟาง”
จางหลี่หมิงยิ้มกริ่มเมื่อได้ยินชื่อแซ่ของนาง เขาหรืออุตส่าห์หาเรื่องหลอกถามมาตลอดทาง แต่หงกุ้ยฟางกลับไม่ยอมหลงกล
“ตามคนของอาตมาไปพำนักที่ห้องพักฝั่งเดียวกับเหล่าสีกาที่มาถือศีลกินเจเถิด”
หลังจากหงกุ้ยฟางปลีกตัวออกไปจากห้องโถง พระอาจารย์เฉิงอวี้จึงหันมาซักไซร้ที่มาของนางมนุษย์ครึ่งจิ้งจอกกับจางหลี่หมิง
“นางคือมนุษย์ครึ่งจิ้งจอกเช่นเดียวกับ หลี่หยางเฟยเพื่อนร่วมรุ่นของข้าใช่หรือไม่ ? ”
“ใช่แล้ว ขออาตมาดูลายมือของท่านแม่ทัพด้วยเถิด”
เจ้าอาวาสถอนหายใจยาว หลังจากเพ่งพิจารณาลายเส้นบนฝ่ามือของแม่ทัพหนุ่ม ทำให้คนรอฟังคำทำนายยิ่งเกิดความอยากรู้
หงกุ้ยฟางนอนหลับพักผ่อนจนหายเหนื่อย และตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ล่วงเข้ายามสี่ของอีกวัน หญิงสูงอายุสามสี่คนที่นอนร่วมห้องพักยังขดตัวอยู่ใต้ผ้าแพรเพราะยามดึกสงัดอากาศในเรือนนอนของสีกาค่อนข้างเย็น ร่างเล็กบางแอบย่องออกมาจากห้องพัก
ความมืดไม่ใช่อุปสรรคสำหรับหญิงสาว แม้ในยามค่ำคืนแต่นางสามารถมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนไม่ต่างจากตอนกลางวัน
หงกุ้ยฟางวางฝ่าเท้าลงบนพื้นหินอย่างระมัดระวัง ที่มาของเสียงสายน้ำไหลเอื่อยซึ่งดังแทรกในบรรยากาศสงัดเงียบแห่งราตรีกาล จะนำทางไปสู่ทางออก ไม่ว่าหนทางนั้นคือถนนหรือแม่น้ำล้วนไม่ใช่ปัญหา
“เจ้าไม่สามารถย้อนกลับไปอยู่ในป่าแห่งเดิมได้อีกแล้ว หากไม่ใช่ข้าก็ย่อมมีผู้อื่นหรือนักล่ารางวัลออกตามล่าเจ้าอยู่ดี”
ร่างเล็กบางชะงักอยู่กับที่เมื่อได้ยินเสียงทุ้มคุ้นหูดังแหวกความเงียบขึ้นมาอย่างกระทันหัน
เขามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ความสงสัยในตัวเขาทำให้หงกุ้ยฟางแทบลืมว่ากำลังหนี สัญชาตญาณของจิ้งจอกแม่นยำว่องไวและไม่เคยพลาดท่า แต่ทำไมนางถึงไม่รู้ว่ามีบุรุษร่างสูงใหญ่ปานกำแพงหินสะกดรอยตาม
“จะถือว่าการจับข้ามาคือบุญคุณเช่นนั้นหรือ”
นางชวนทะเลาะเมื่อรู้ว่าหนีไปไหนไม่รอด
“ไม่ใช่... แต่ข้าถือว่าเจ้าไม่รักษาสัจจะ”
จางหลี่หมิงใช้เสียงทรงอำนาจกล่าวโทษหญิงสาว ขณะพิศมองนัยน์ตาสีดำนิลคู่งามที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวหยกเรืองรองในเวลากลางคืน ผิวพรรณของนางขาวนวลผุดฝาดละออตาท่ามกลางม่านราตรีสลัว
หากพาหงกุ้ยฟางเข้าวังหลวงคงไม่พ้นเป็นการสร้างความโกลาหล แม้ว่านางสวมใส่เสื้อผ้าคล้ายผู้ชายยังไม่อาจบดบังความงดงาม หากนางสวมเสื้อผ้าแบบสตรีตามกฏเกณฑ์ในวังหลวงจะงามล่มเมืองขนาดไหน
“ข้าควรทำตัวเบาปัญญาเชื่อถือสัจจะของพวกมนุษย์ใจมารที่เข่นฆ่าครอบครัวตัวเองหรือ”
“ทุกชีวิตในโลกล้วนเข่นฆ่ากันเองไม่เว้นมนุษย์กับมนุษย์”
บิดาของนางก็เป็นมนุษย์ยังถูกฆ่า หงกุ้ยฟางครุ่นคิดและคล้อยตาม เขาพูดถูกต้องทุกอย่าง สิ่งสำคัญที่สุดคือนางต้องรักษาสัจจะและศักดิ์ศรีแม้ว่าตัวต้องตาย
“ข้าสัญญาว่าจะดูแลเจ้าด้วยชีวิต”
น้ำเสียงทุ้มของเขามั่นคง หงกุ้ยฟางมองชายหนุ่มอย่างพิจารณา ความสง่าน่าเกรงขามของเขามีส่วนทำให้นางอ่อนตามก็จริง
แต่ไม่ใช่เหตุผลที่นางยอมจำนน หญิงสาวรู้สึกราวกับว่ายังมีเชือกผูกพันธุ์เขากับนางเอาไว้หรืออาจจะเป็นคำสัญญาเพียงประโยคเดียว