ดอกบัวขาวกอน้อย

1942 คำ
ฮูหยินจางรับฟังคำรายงานที่ถูกส่งต่อมาจากปากพ่อบ้านปิ๋งจื่อด้วยกิริยาสงบนิ่งขณะจิบน้ำชายามบ่าย นางอายุครบห้าสิบปีแล้วแต่บุตรทั้งสองยังไม่มีทายาทให้ช่วยอบรมเลี้ยงดู หลังจากอดีตท่านแม่ทัพได้เสียชีวิตในสนามรบเมื่อหลายปีก่อน ฮูหยินจางก็กลับมาอาศัยอยู่ที่บ้านตระกูลจางเพียงลำพัง นางมักจะเดินทางไปเยี่ยมจางหลี่หมิงที่จวนแม่ทัพเป็นประจำ และยังคอยส่งคนไปติดตามถามข่าวสารทุกข์สุขดิบบุตรชายเพียงคนเดียวของนางอยู่เสมอ  “หญิงรับใช้ยังลือกันอีกว่า คุณชายท่านนี้รูปงามนัก ผิวพรรณขาวละมุนยิ่งกว่าคุณชายหลี่บุตรชายของอดีตเสนาบดีกรมคลังเชียวเจ้าคะ” ใบหน้าที่ยังดูสาวกว่าวัยปรากฏรอยยิ้มบางเบา นางเลิกคิ้วอย่างสนใจคำกล่าวเยินยอน้องชายบุญธรรมของจางหลี่หมิง  ‘คุณชายตระกูลหลี่ไม่ใช่คนธรรมดาเป็นไปได้หรือที่จะมีคนรูปงามกว่า’ ฮูหยินจางครุ่นคิด น้อยคนนักจะรู้ความลับเรื่องที่คุณชายหลี่เคยเป็นมนุษย์ครึ่งจิ้งจอก นานมาแล้วหลี่หยางเฟยถูกแปลงสายเลือดจนกลายเป็นคนธรรมดา จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่หลี่หยางเฟยจะมีรูปลักษณ์งดงามราวเทพเซียน “สั่งให้คนเตรียมเกี้ยว ข้าจะไปจวนแม่ทัพ” หญิงรับใช้คนสนิทของฮูหยินจางโค้งตัว ก่อนเดินไปถ่ายทอดคำสั่งแก่บ่าวรับใช้อย่างเร่งรีบ  ระยะทางจากบ้านสกุลจางกับจวนแม่ทัพในเมืองหลวงไม่ไกลมากนัก เดินทางด้วยเกี้ยวแบกหามไม่ถึงครึ่งชั่วยาม คิมหันต์ฤดูอากาศร้อนแดดแรงจัดราวกับมีดวงอาทิตย์สิบดวงกำลังแข่งขันกันแผดเผาโลกมนุษย์ แม้อยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ก็ใช่ว่าจะเย็นสบายหากไม่มีลมพัดผ่าน เมื่อยามใกล้เที่ยงเช่นนี้จึงทำให้รู้สึกร้อนอบอ้าวเกินต้านทาน  จางหลี่หมิงสั่งให้หงกุ้ยฟางเลือกอาวุธที่อยากเรียนรู้และเขาช่วยสอนวิธีการใช้งานพร้อมการรับมืออาวุธเหล่านั้นให้หงกุ้ยฟางโดยไม่หวงวิชา ที่แทบไม่ต้องสอนคือการขว้างมีดเพราะนางดูจะชำนาญและใช้มีดบินบ่อยยิ่งกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ  “ยกแขนให้ตั้งฉากกับคันธนู ตามองตรงไปที่เป้า” จางหลี่หมิงกำชับ ศรีษะของหงกุ้ยฟางสูงเพียงรักแร้ของชายหนุ่มเท่านั้นเมื่อยืนอยู่ด้านหลังจึงเห็นชัดเจนว่านางควบคุมแรงน้าวสายป่านไม่สม่ำเสมอและลำแขนข้างที่ยกคันธนูก็สั่นสะเทือนปานกิ่งไม้ไหว คันธนูทำจากโลหะน้ำหนักค่อนข้างมาก อาวุธชนิดนี้จึงไม่เหมาะสมสำหรับสตรี แต่เขามั่นใจว่าหงกุ้ยฟางที่มีเลือดในกายครึ่งหนึ่งเป็นจิ้งจอกย่อมไม่อ่อนแอเช่นหญิงสาวธรรมดา  “แขนข้างที่ถือลูกธนูต้องขนานกับไหล่ของเจ้าเสมอ” “หุบปากเสียที” หงกุ้ยฟางต่อว่าเขาด้วยโทสะ เพราะถูกตอกย้ำความผิดพลาดหลายครั้ง นางหงุดหงิดจนอยากขว้างคันธนูทิ้งเมื่อร่างกายรู้สึกร้อนและเหนื่อยล้าจนแทบละลายเป็นของเหลว ทว่าความหยิ่งในศักดิ์ศรีทำให้นางยังดื้อรั้นพยายาม จางหลี่หมิงลอบมองหงกุ้ยฟางด้วยแววตาขบขันและชื่นชม เขาไม่นึกโกรธที่ถูกนางฮึดฮัดใส่ แม้ว่าจะไม่เคยมีใครกล้าทำกิริยาเช่นนี้กับตน ‘ฟึ่บ! ’  ธนูขนนกที่ถูกยิงออกไปหลุดจากกรอบแผ่นไม้กระดาน พร้อมกับเสียงหัวเราะของใครบางคนที่กำลังแอบมองนางกับจางหลี่หมิง หงกุ้ยฟางเจ็บใจจนไม่อยากรับรู้ว่าถูกใครหัวเราะเยาะ นางไม่ลดละความพยายาม ลูกธนูขนนกดอกใหม่ถูกหยิบขึ้นมายิง แม้จะร้อนจนผิวแทบลุกเป็นไฟและเหนื่อยล้าราวกระดูกในกายกำลังแตกละเอียด  ครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งลูกธนูปักลงในวงกลมสีแดง หัวใจที่ห่อเหี่ยวพลันพองโตด้วยความยินดีปรีดา เสียงปรบมือดังขึ้นจากด้านหลังของจางหลี่หมิงและหงกุ้ยฟาง ก่อนทั้งสองจะหันกลับไปมองผู้มาเยือน “ท่านแม่” จางหลี่หมิงปรี่เข้าไปประคองมารดานั่งลงบนเก้าอี้ไม้กระดานแผ่นยาว ก่อนกล่าวแนะนำให้นางรู้จักผู้ที่ตนรับไว้เป็นน้องชายบุญธรรม “เจ้าอาศัยอยู่ในป่าแห่งนั้นเพียงคนเดียวหรือ” ฮูหยินจางเอ่ยถามด้วยความรู้สึกประหลาดใจ รูปลักษณ์บอบบางและผิวพรรณขาวเนียนราวหยกเนื้ออ่อนของเด็กหย่งฟางไม่เหมือนกับคนที่เติบโตมาเพียงลำพังในป่าเขาแม้แต่น้อย   “ฮูหยินจาง ข้าอาศัยอยู่ในป่าลำพังเพราะท่านพ่อกับท่านแม่เสียชีวิตตั้งแต่ตอนข้าอายุสิบขวบ” หงกุ้ยฟางเล่าอดีตความเป็นมาของตนสู่หญิงสูงวัย “ข้าเสียใจด้วย ต่อไปนี้ไม่ต้องเรียกข้าว่าฮูหยินจาง ให้เจ้าเรียกข้าว่าท่านแม่เหมือนหลี่หมิง” ฮูหยินจางยิ้มกับหย่งฟางอย่างอ่อนโยน ไม่กล้าเอ่ยถามสาเหตุการเสียชีวิตคนในครอบครัวของเด็กหนุ่ม เพราะเกรงจะเป็นการทำลายบรรยากาศเสียเปล่า  “ขอบคุณฮูหยิน เอ่อ ท่านแม่” ทั้งสามพูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระหลายอย่าง ก่อนที่ฮูหยินจางจะวกมาเล่าประวัติของประมุขตระกูลจางรุ่นแรกซึ่งสามารถควบคุมพญาอินทรีได้เช่นเดียวกับหย่งฟาง “ท่านปูทวดของหลี่หมิงคือจอมแม่ทัพคนแรกของต้าชิง เป็นมหาบุรุษที่ช่วยราชวงศ์ต้าชิงรวบรวมแผ่นดิน ท่านกล้าหาญจิตใจเด็ดเดี่ยวและสามารถควบคุมพญาอินทรีได้เช่นเดียวกับหย่งฟาง กล่าวกันว่าทุกร้อยปีจะมีบุคคลเช่นนี้ถือกำเนิด”  “พญาอินทรีคือราชัน์แห่งมวลวิหค เป็นสัตว์เลือดเย็นที่หยิ่งทรนงไม่ก้มหัวให้ผู้ใดง่ายๆ หากคนผู้นั้นไม่พิสูจน์ตนก่อนว่ามีอำนาจเหนือสัตว์ร้ายทั้งปวง” จางหลี่หมิงลอบเบือนหน้าซ่อนรอยยิ้มขบขัน เมื่อเห็นมารดาแสดงความปลาบปลื้มในตัวหงกุ้ยฟาง ทั้งที่ตัวเองเป็นคนต้นคิดเรื่องการปลอมตัวของนาง ทว่าฮูหยินจางทันสังเกตุเห็นพิรุธของบุตรชาย “เจ้าเป็นอะไร” “ข้านึกขึ้นได้ว่ากองทัพทหารม้าจะเดินทางมาถึงเมืองหลวงบ่ายวันนี้” แม่ทัพหนุ่มเรื่องเสกล่าวถึงเรื่องอื่น “เจ้าไม่ได้หนีทัพ ไม่เห็นต้องเกรงคำครหา” “ไม่ได้ท่านแม่ ฮองเฮาเป็นสตรียังทรงทนลำบากอยู่เคียงข้างเหล่าทหารตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย” “ฮองเฮาเป็นคนรับสั่งให้เจ้าเข้าป่าไปเสี่ยงอันตรายไม่ใช่หรือ สำหรับแม่ถือว่าหลินหมิงบกพร่องในหน้าที่พี่ใหญ่”  หงกุ้ยฟางนิ่งงันไปชั่วขณะด้วยความรู้สึกผิดหวังที่จางหลี่หมิงไม่เคยบอกกล่าวว่าผู้ที่สั่งให้จับนางมาคือพี่สาวของเขาเอง   จวนแม่ทัพอยู่ไม่ไกลจากพระราชวังที่ตั้งอยู่บนผืนแผ่นดินรูปทรงสามเหลี่ยมซึ่งมีเส้นสายของแม่น้ำรั่วซีและแนวขุนเขาน้อยใหญ่โอบรอบ  โดยส่วนใหญ่จางหลี่หมิงมักจะใช้เรือเดินทางเข้าวังหลวง ทว่าวันนี้มีธุระหลายอย่างให้จัดการเขาจึงเลือกใช้ม้าเพื่อความสะดวก ก่อนออกจากจวนเขาได้สั่งให้พ่อบ้านปิ๋งจื่อสอนความรู้เรื่องกาค้าการเมืองและการปกครองแก่หงกุ้ยฟาง  “คุณชายสามเฉลียวฉลาดเป็นเลิศ เพียงวันเดียวก็สามารถจดจำบทกฏหมายได้ทุกข้อ ปิ๋งจื่อไม่เคยเห็นใครปัญญาเฉียบแหลมเท่าคุณชายสามมาก่อน” พ่อบ้านปิ๋งจื่อกล่าวด้วยความรู้สึกชื่นชมอย่างจริงใจ  “ท่านกล่าวชมเกินจริง ว่าแต่วันนี้... ข้าขออนุญาตออกไปเดินเล่นข้างนอกจวนได้หรือไม่” หงกุ้ยฟางยืดแขนบิดขี้เกียจด้วยท่าทางเมื่อยขบ เพราะนั่งหลังขดหลังแข็งท่องตำราความรู้เล่มหนาเป็นเวลานาน “คุณชายสามโปรดอภัยด้วย ปิ๋งจื่อมิกล้าตัดสินใจแทนคุณชายรอง”  “ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้น ข้าจะเดินเล่นในสวนหลังหอคัมภีร์แก้เบื่อไปก่อนก็ได้” นางทำท่าโบกมือโบกไม้ เพราะไม่ต้องการทำให้พ่อบ้านปิ๋งจื่อต้องรู้สึกลำบากใจ  “ขอบคุณคุณชายสาม” ปิ๋งจื่อโน้มตัวลง นับวันชายชรายิ่งรู้สึกนิยมชมชอบในตัวคุณชายสาม   “ข้าสิต้องเป็นฝ่ายขอบคุณท่านที่อุตส่าห์อดทนสั่งสอนความรู้ให้คนโง่ทั้งวัน ข้าไปละ” ร่างบางเผ่นแผล็วออกไปจากห้องเรียนแทบทันที  บ่าวรับใช้จวนแม่ทัพส่วนใหญ่จะเป็นทหารนายกองซึ่งจะต้องเข้าวังพร้อมกับจางหลี่หมิงเมื่อมีวาระประชุมสำคัญ หงกุ้ยฟางสำรวจดูจนทั่วว่าในจวนไม่มีผู้ชายอยู่อีกนอกจากพ่อบ้านปิ๋งจื่อ ส่วนที่เหลือคือหญิงรับใช้ ซึ่งแต่ละคนล้วนผ่านการคัดเลือกรูปร่างหน้าตาและกิริยามาอย่างดี  อากาศก็ร้อนแทบเนื้อหนังไหม้เกรียม พอนึกถึงเรื่องหญิงรับใช้ของจางหลี่หมิงยิ่งทำให้นางรู้สึกหงุดหงิด  “เดินตามข้าทำไม” หงกุ้ยฟางหันไปดุเพ่ยจูกับสาวรับใช้อีกคนที่เดินติดตามนางเหมือนเงาตามตัว  “เราสองคนมาคอยดูแลปรนนิบัติคุณชายสาม” หญิงรับใช้ทั้งสองก้มหน้าลงด้วยกิริยานอบน้อม เกรงกลัวว่าจะทำให้คุณชายสามรู้สึกไม่พอใจ ยิ่งพักหลังมานี้คุณชายสามกลายเป็นบุตรชายคนโปรดของฮูหยินจางกับพ่อบ้านปิ๋งจื่อไปแล้ว แม้แต่ท่านแม่ทัพยังถูกฮูหยินจางต่อว่าเพราะมีเรื่องกับคุณชายสาม “พวกเจ้าสองคนอยากดูแลข้ามากใช่ไหม ? ” เพ่ยจูกับหญิงรับใช้อีกคนพยักหน้า   “ถ้าเช่นนั้น... ช่วยดูต้นทางให้ข้า และห้ามให้ใครเข้ามาในเขตท่าน้ำหลังจวนเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นพวกเจ้า... ”  หงกุ้ยฟางทำท่าเอานิ้วเชือดคอ “กว่าจะไปได้” นางบ่นพึมพำ “อากาศก็ร้อนอบอ้าวไปเที่ยวที่ไหนก็ไม่ได้”   คราบความเป็นคุณชายสามหย่งฟางถูกหญิงสาวถอดออก และนำไปซุกซ่อนในพุ่มไม้หนาตา จากนั้นร่างบางจึงลงไปดำผุดดำว่ายในแม่น้ำเย็นฉ่ำอย่างเพลิดเพลิน รอบบริเวณริมฝั่งท่าน้ำมีต้นไม้ใหญ่เรียงรายเป็นแนวหนาทึบทำให้วางใจว่าจะไม่มีใครรู้เห็นความลับของนาง  หญิงสาวแหวกว่ายทั่วบริเวณท่าน้ำหลังจวนกระทั่งสังเกตเห็นว่าบ้านใกล้เรือนเคียงปลูกดอกบัวขาวไว้เต็มเวิ้งน้ำ หงกุ้ยฟางดำน้ำมาโผล่ตรงกลางกอบัวกลุ่มหนา  นางวาดแขนโอบเอาดอกบัวรอบกายมารวมกันแล้วก้มลงสูดกลิ่นหวานหอม เป็นครั้งแรกที่นางเห็นและสัมผัสดอกบัวสีขาว  ความคิดอยากครอบครองผุดขึ้นมาในใจ ปรารถนาจะนำมันไปปลูกไว้ในบึงรวมกับดอกบัวแดงหลังหอคัมภีร์   หงกุ้ยฟางใช้สายตากวาดสำรวจโดยรอบจนมั่นใจว่าปลอดคน นางมุดลงไปในน้ำและดึงบัวก่อหนึ่งขึ้นมา  “ใจคอแม่นาง ไม่คิดจะเอ่ยปากขอดอกบัวกับเจ้าของเสียก่อนเชียวหรือ”  ร่างบางสะดุ้ง หงกุ้ยฟางแหงนหน้าขึ้นไปมองต้นเสียงทุ้มที่ดังอยู่เหนือศีรษะ ดวงตาหวานคมฉายแววตื่นตระหนก ก่อนหญิงสาวจะมุดลงใต้น้ำแล้วดำหนีเอาตัวรอดแบบไม่คิดชีวิต  ดอกบัวขาวกอน้อยถูกทิ้งให้ลอยคว้างเช่นเดียวกับชายหนุ่มรูปงามที่นอนเอกเขนกบนต้นไม้ เขายังคงมองตามเงาร่างเลือนรางที่เคลื่อนไหวในใต้น้ำไปจนสุดสายตา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม