***“ราตรีเหน็บหนาวถวิลหาอ้อมกอดอุ่น
รุ่งอรุณ ไร้แสง แห่งความหวัง
สุขเพียงจั้ง ทุกข์ระทม ช่างยาวนาน
พบเพียงผ่าน รักลึกซึ้ง เกินหยั่งใจ
ฝนที่ตกโปรยปรายตั้งแต่หัวค่ำเมื่อคืนวานจนถึงเช้ามืดของอีกวันทำให้อากาศข้างนอกฉ่ำเย็น ทว่าภายในห้องนอนใหญ่ของคุณชายบ้านสกุลหลี่กลับร้อนระอุปานเตาไฟ
สาวงามคนแล้วคนเล่าผลัดเวียนกันเข้ามาปรนนิบัติมอบความสุขแก่ชายหนุ่ม หญิงสาวบางคนเหนื่อยล้าจนสลบไสล บางคนถูกไล่ตะเพิดเพราะลีลาอ่อนหัดไม่ได้ความ
“โอ... คุณชายหลี่”
สาวงามรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงหญิงสาวซึ่งหลี่หยางเฟยพบเจอที่ท่าน้ำเมื่อบ่ายวาน ร้องครางด้วยความรัญจวน
เอวคอดของนางมีมือแข็งแรงคอยประคอง นางยกสะโพกผายขึ้นลงเหนือหน้าตักแกร่งด้วยจังหวะเร่าร้อนกระชั้นถี่ ผิวกายขาวผ่องพราวด้วยเหงื่อ นางบิดเร่าหอบกระเส่าจนเสียงแห้งระโหย กระทั่งหญิงสาวสั่นสะท้านและร่างบางซวนซบลงบนอกกว้างอย่างอิดโรย
นางถูกชายหนุ่มผลักไสออกห่างจากกาย สาวงามที่เตรียมพร้อมเข้ามาทำหน้าที่ปรนนิบัติคนต่อไปถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
ร่างสูงผุดลุกขึ้นจากเตียงทั้งที่ความปรารถนาในกายยังไม่หมดสิ้น เขารู้ดีแก่ใจแล้วว่ามีหญิงงามเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นสามารถดับไฟร้อนในกายให้มอดลง ดอกบัวสีขาวงามพิสุทธิ์ที่จากไปโดยไม่เหลียวกลับมามอง
เกือบสองเดือนที่จางหลี่หมิงไม่ได้เข้าวังฟังการประชุมในท้องพระโรงอย่างเป็นทางการ นับแต่แม่ทัพหนุ่มนำกองทหารออกรบปราบกบฏที่หัวเมืองเหนือ วันนี้นอกจากจะหารือเรื่องการจัดสรรเตรียมเสบียงอาหารสำหรับเอาไว้แจกจ่ายประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แห้งแล้งยังมีเรื่องงานฉลองชัยการทำศึก รวมถึงประเพณีไหลโคมไฟนุ่งผ้าใหม่ ที่ถูกจัดขึ้นทุกปีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจการค้าในเมืองหลวง กว่าจางหลี่หมิงจะจัดการกิจธุระตามหน้าที่จนเสร็จสิ้นเวลาก็ล่วงเข้ายามบ่าย
“ท่านแม่ทัพ”
บุรุษร่างสูงสง่ากระตุกบังเ**ยนบังคับให้ม้าหยุดฝีเท้าและหันตามเสียงเรียกของขันทีรับใช้ประจำตำหนักฮองเฮาหลินหมิงซึ่งมาดักรออยู่บริเวณประตูทางเข้าออกราชสำนัก
“มีธุระอะไรกับข้า”
“ฮองเฮามีรับสั่งให้ข้าน้อยมาเรียนเชิญท่านแม่ทัพไปดื่มชาที่หอชมวิหค”
จางหลี่หมิงลอบถอนหายใจด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่าย เขารู้จักอุปนิสัยจางหลินหมิงดีเสียยิ่งกว่าตัวของนางเอง ถ้าหากนางปรารถนาในสิ่งใดแล้ว จางหลินหมิงไม่เคยถอดใจหรือวางมือไปง่ายๆ นางจักตามล่าจนกว่าจะได้สิ่งปรารถนามาครอบครอง
“พวกเจ้าออกไปก่อน”
จางหลินหมิงเอ่ยปากไล่หญิงรับใช้และขันทีทุกคน เมื่อแม่ทัพจางถวายความเคารพเสร็จตามธรรมเนียม
“พี่หญิงมีอะไรก็พูดมาตามตรงเถิด”
จางหลี่หมิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขนบจารีตถูกวางเอาไว้เบื้องหลังเมื่ออยู่กันเพียงสองคนพี่น้อง
จางหลินหมิงรินน้ำชาใส่ถ้วยให้น้องชายเพื่อถ่วงเวลา จางหลี่หมิงไม่ใช่คนพูดจาอ้อมค้อมเขาเถรตรงจนพี่สาวอย่างนางยังนึกเกรงใจ
“ท่านแม่ เล่าว่าเจ้าถูกอสรพิษกัดจริงรึ”
ชายหนุ่มไม่ตอบคำถาม เขาเลือกชี้แจงเรื่องที่นางอยากรู้ เพื่อตัดปัญหาค้างคา
“บนหุบเขาไม่มีจิ้งจอก แต่ข้าเจอเด็กกำพร้าไร้ญาติที่สร้างเรื่องวิญญาณจิ้งจอกหลอกคน”
“ใช่เด็กหนุ่มที่เจ้ารับเป็นน้องชายบุญธรรมหรือไม่ ได้ยินว่าท่านแม่กับปิ๋งจื่อโปรดปราณเด็กคนนี้”
จางหลี่หมิงพยักหน้า อากาศร่มรื่นเย็นสบายภายในอาณาเขตหอชมวิหคและพรรณไม้มงคลที่ปลูกประดับสวนหย่อม ทำให้ความหงุดหงิดไม่สบอารมณ์คลายลงไปมาก
“เขาชื่อ หย่งฟาง”
“ข้าอาจจะหาโอกาสไปพบเขาสักวัน”
สีหน้าของชายหนุ่มเรียบเฉยไม่ส่อพิรุธว่ากล่าวเท็จ ทำให้จางหลินหมิงถอดใจ และหากจิ้งจอกตนนั้นเป็นชายก็ย่อมไม่มีประโยชน์ใดสำหรับนาง
“เจ้าได้เจอชิงเหม่ยเหมยบางรึยัง”
“ช่วงนี้กิจธุระรัดตัว ข้าไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องอื่น” เขากล่าวอ้างอย่างไม่นึกสนใจคู่หมั้นที่ไม่ได้หมาย
ชิงเหม่ยเหมยคือพระธิดาคนเดียวของฮ่องเต้ชิงฟงกับพระสนมเหม่ยฮวา นางกับเขาถูกจับให้คู่กันเพียงเพราะผลประโยชน์การเมืองและเพื่อเสริมอำนาจทางการทหารของฮ่องเต้ชิงฟง
“คร้านจะฟังเจ้าแก้ตัว เหม่ยเหมยนับว่างามที่สุดในแผ่นดิน ทำไมเจ้าถึงยังเพิกเฉยต่อนาง”
“นางปักใจหลี่หยางเฟย พี่หญิงก็รู้ดี”
จางหลี่หมิงถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย
“มัวแต่ว่างท่า เจ้าถือว่านางเป็นดอกไม้ในแจกันที่ไม่มีชีวิตจิตใจหรืออย่างไร”
“เพราะข้าไม่ได้รักนาง”
จางหลินหมิงถือจอกดื่มชาค้าง คาดไม่ถึงว่าน้องชายจะกล้าบอกปัดองค์หญิงเหม่ยเหมยด้วยถ้อยคำไร้เยื่อใย โดยไม่เสียเวลาใคร่ครวญแม้แต่น้อย
“พี่หญิงคงหมดธุระแล้ว ข้าขอตัว”
ต่อให้ชิงเหม่ยเหมยงามล่มเมืองยิ่งกว่านี้ คำพูดของฮองเฮาก็ไม่มีน้ำหนักมากพอจะสามารถทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเดือดร้อน เขามิได้ปรารถนาจะครอบครองดอกไม้ในแจกันล้ำค่า เพราะมีเพียงดอกไม้ป่าหนึ่งเดียวที่จางหลี่หมิงพึงใจ
อากาศตอนรุ่งสางค่อนข้างเย็น ทว่าผู้ที่นั่งมองดูฝูงปลาหลากสีสันในสระบัวแหวกว่ายล้อเล่นกับหยดน้ำที่ร่วงหล่นลงจากชายคาของศาลาพักร้อนท่ามกลุ่มหมอกยามเช้ากลับไม่รู้สึกสะทกสะท้านต่อสิ่งเร้ารอบกาย
“ได้ยินว่าเจ้าอยากออกไปเดินเที่ยวนอกจวนหรือ”
ความเงียบสงบถูกทำลายด้วยเสียงดังกังวาล
เป็นครั้งแรกที่หงกุ้ยฟางมีโอกาสได้เห็นจางหลี่หมิงสวมชุดเครื่องแบบแม่ทัพเต็มยศ ชุดสีน้ำเงินเทาขับให้ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มอย่างชายชาตรีของชายหนุ่มงามสง่ายิ่งขึ้น นัยน์ตาสีนิลกาฬในกรอบดวงตาเรียวยาวเหมือนมีอำนาจสะกดผู้คนให้ยอมศิโรราบ จมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากหยักลึกได้รูป ทุกสิ่งประกอบกันอย่างลงตัว
“ทุกวันข้าต้องอยู่แต่ในจวน ที่นี่คับแคบและอุดอู้เกินไปถ้าหากเทียบกับบ้านป่าของข้า”
หลี่หมิงยิ้มให้นางอย่างเข้าใจ “วันนี้ข้าต้องไปตรวจดูความเรียบร้อยที่ด่านท่าน้ำหลังวังก่อนจัดงานฉลองและเทศกาลลอยโคมไฟที่ใกล้จะถึง ถ้าเจ้าอยากเที่ยวเปิดหูเปิดตานอกจวน ก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะเราจะล่องเรือไปด้วยกัน”
“ท่านพูดจริงหรือ ? ” หงกุ้ยฟางดีใจจนแทบลุกขึ้นกระโดดโลดเต้น
“หน้าตาของข้าเหมือนคนชอบพูดเล่นเช่นนั้น ? ”
หงกุ้ยฟางสั่นหน้า ช่วงเวลาไม่นานที่ได้ใกล้ชิดคลุกคลีกัน จางหลี่หมิงสามารถทำให้นางวางใจและเชื่อมันในตัวเขาได้ทุกเรื่อง
นางรู้ว่าเขามีหน้าที่สำคัญต้องรับผิดชอบความมั่นคงของบ้านเมือง เป็นงานที่หนักหนาและแทบไม่มีเวลาพักผ่อน แต่จางหลี่หมิงจะสั่งเสียให้ปิ๋งจื่อกับคนรับใช้คอยดูแลนางเป็นอย่างดี ไม่มีสิ่งใดบกพร่องหรือขาดแคลน
การเดินทางจากจวนแม่ทัพไปท่าด่านหลังวังต้องล่องเรือทวนกระแสน้ำ แดดอ่อนในตอนเช้าและลมพัดเย็นสบาย เรือล่องทำจากไม้เนื้อดีทั้งลำแล่นเอื่อยเหมือนเจตนาให้ผู้โดยสารชื่นชมความสวยงามของทิวทัศน์แมกไม้เขียวขจีสองฝั่งแม่น้ำรั่วซีอย่างสำราญ
หลังจากที่อากาศร้อนอบอ้าวมาหลายวันฝนฟ้าจึงตกหนัก แม่น้ำจึงไหลเชี่ยว มีนายทหารท้ายเรือเพียงสองนายถ่อไม้ค้ำยันทำให้ความเร็วค่อนข้างล่าช้า ทว่าแม่ทัพหนุ่มกลับอารมณ์ดีไม่เร่งรีบเหมือนเช่นทุกวัน
หงกุ้ยฟางหน้าเผือดสีตอนเรือล่องผ่านมาที่ท่าน้ำของบ้านใกล้เรือนเคียงซึ่งปลูกดอกบัวขาวไว้ทั่วบริเวณริมฝั่ง นางลอบผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่เห็นชายผมสีเงินคนที่เจอเมื่อวานนี้
“มีเรื่องกลุ้มอะไร เจ้าถึงต้องถอนใจเสียยาวเหยียด”
“ข้า… ข้ากังวลว่าจะรบกวนเวลาทำงานของท่าน”
หงกุ้ยฟางกล่าวปด ไม่กล้าบอกเรื่องที่ถูกเพื่อนบ้านจับได้ตอนกำลังจะขโมยดอกบัวและตอนนั้นนางยังเปลือยกายเล่นน้ำในคราบหญิงสาว
วันนี้ถือว่าโชคเข้าข้างนาง ที่จางหลี่หมิงไม่ซักไซร้มากความ เขาแค่ใช้สายตาบอกว่าไม่เชื่อสิ่งที่หงกุ้ยฟางแก้ตัว ชายหนุ่มชวนคุยถึงเรื่องสัพเพเหระอื่นๆ ทำให้นางผ่อนคลายความกังวลและหลงลืมมันไปได้ในที่สุด
“เจ้าเคยนั่งเรือมาก่อนหรือไม่”
หลี่หมิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงและอากัปกิริยาสงบนิ่ง แต่เงาที่ปรากฏบนนัยน์ตาสีนิลกาฬมีเพียงภาพสะท้อนด้านข้างของคู่สนทนาที่นั่งหันหน้าออกไปด้านนอกหน้าต่าง ท่าทางเหม่อลอยของนางทำให้เขาเป็นห่วงว่าหงกุ้ยฟางอาจกำลังเบื่อชีวิตที่ไร้ซึ่งอิสระภาพ และเขารู้ดีว่าครึ่งหนึ่งในกายนางมีเลือดของจิ้งจอกที่ไม่ชอบการถูกกักขัง
“สมัยยังเด็กข้าไปล่องเรือหาปลากับท่านพ่อเป็นประจำ”
หงกุ้ยฟางในคราบของหย่งฟาง พึมพำตอบเสียงเบาเหมือนบ่นให้ตัวเองฟัง ดวงตาคู่หวานจับอยู่ที่เกลียวคลื่นของสายน้ำที่ถูกลำเรือแหวกออกเป็นริ้วยาวและสะท้อนเข้าชายฝั่ง
หญิงสาวปิดเปลือกตาลง พยายามนึกถึงภาพความทรงจำเกี่ยวกับบุพพการีซึ่งลางเลือนจนนางแทบจะลืมใบหน้าของผู้ให้กำเนิด
“ขออภัยที่ทำให้เจ้าคิดถึงเรื่องเศร้า”
ชายหนุ่มกล่าวขอโทษ การที่เห็นนางเป็นทุกข์ทำให้เขาพลอยจิตใจสลดหดหู่ตาม
“ที่ข้าคิดถึงไม่ใช่เรื่องเศร้า แต่เป็นเรื่องสมัยเด็กของข้ากับครอบครัว ตอนนั้นเป็นช่วงที่ข้ามีความสุขมากที่สุด”
มุมปากซึ่งถูกหนวดเทียมปิดไว้รำไร บิดโค้งขึ้นจนข้างแก้มปรากฏรอยบุ๋มเล็กๆ นัยน์ตาหวานซึ้งเป็นประกายสว่างไสวเมื่อนางเล่าถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อสิบกว่าปีก่อน
“ท่านพ่อไม่ชอบปลาเพราะเกลียดเมือกของมัน แต่ต้องออกไปหาปลาและยอมทานปลาทุกวัน เพราะอยากเอาใจข้ากับท่านแม่”
“เจ้าชอบทานปลาหรือ” เขาเอ่ยถาม ท่าทางสนอกสนใจ
นางพยักหน้าและอมยิ้ม
“ข้าถึงสร้างบ้านไว้ติดลำธารอย่างไรเล่า”
จางหลี่หมิงหัวเราะในลำคอ เมื่อนึกถึงบ้านหลังน้อยเหนือแหล่งต้นน้ำของนางในหุบเขาจิ้งจอก
“ถ้าเจ้าชอบทานปลาขนาดนี้ ข้าจะบอกปิ๋งจื่อ ให้กำชับกับโรงครัวว่าต้องทำอาหารที่มีปลาทุกวัน”
แววตาเป็นประกายของนางสลดลง เพราะไม่ต้องการรบกวนพ่อบ้านปิ๋งจื่อ “ข้าเป็นเพียงผู้อาศัย ท่านไม่จำเป็นต้องทำเพื่อข้าถึงขนาดนั้น”
“เจ้าไม่ได้เป็นผู้อาศัย แต่เราเป็นครอบครัวเดียวกัน”
น้ำเสียงจริงจังปนดุของเขา ทำให้หงกุ้ยฟางหันกลับมามองคนพูดอย่างนึกไม่ถึง “ท่าน...”
นัยน์ตาคมกริบทรงอำนาจซึ่งใครๆ ต่างล้วนยำเกรงทอดแววอบอุ่นมายังหญิงสาวในคราบเด็กหนุ่ม หัวใจของหงกุ้ยฟางเต้นแรง ผิวแก้มนวลผ่องแดงเรื่อซับสีเลือดเมื่อมองเห็นความหมายบางอย่างที่เขาพยายามเปิดเปลือยความรู้สึกให้นางรับรู้
จางหลี่หมิงไม่ต้องการเพียงแค่รักษาคำสัตย์สัญญาว่าจะดูแลนาง ทว่าเขาปรารถนาในสิ่งที่ลึกซึ้งมากเกินกว่านั้น
เสียงตึงตังของลำเรือล่องที่ชนเข้ากับขอนไม้ท่าเรือ ปลุกทั้งคู่ตื่นจากภวังค์ ต่างเบือนหน้าออกไปคนละฝั่งเพื่อปรับอารมณ์และสีหน้าไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต