เสียงตะโกนโหวกเหวกของเหล่าทหารที่วุ่นวายอยู่กับการถอนหญ้าหนามและจัดเตรียมพื้นที่จัดงานฉลองชัยการทำศึกดังเซ็งแซ่ แต่เมื่อเห็นว่าแม่ทัพจางมาถึงทหารทุกคนก็หุบปากสนิทและตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็งกว่าเดิม
“ท่านแม่ทัพ”
รองแม่ทัพหลิวไป่ธง เสี่ยวเป่าและย่งชิงทหารองครักษ์ฝ่ายซ้ายขวาเดินเข้ามาทำความเคารพแม่ทัพหนุ่ม ทหารกล้าทั้งสามเพ่งมองหนุ่มน้อยรูปร่างผอมบาง ผิวพรรณเนียนละเอียดหมดจด ใบหน้างามปานเทวดาตกสวรรค์ที่ยืนเยื้องอยู่ด้านข้างของจางหลี่หมิงด้วยความสนอกสนใจ
“นี่คือ ‘หย่งฟาง’ น้องชายบุญธรรมของข้า หย่งฟางเคารพท่านรองแม่ทัพหลิวไป่ธงเสีย… ส่วนสองคนนี้คือเสี่ยวเป่ากับย่งชิง เป็นทหารองครักษ์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา”
หงกุ้ยฟางโน้มศีรษะทำความเคารพชายผู้อาวุโสกว่าทั้งสามด้วยกิริยานุ่มนวล
“คุณชายสามรูปงามสมคำร่ำลือ”
รองแม่ทัพหลิวไป่ธงเอ่ยชื่นชมเด็กหนุ่มหน้าสวยลักษณะบอบบางแบบบุตรหลานของผู้มีอันจะกิน แม้หย่งฟางจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแสนธรรมดาแต่กลับมีสง่าราศีชวนมอง
“คำร่ำลืออย่างนั้นหรือ”
คิ้วเข้มของจางหลี่หมิงขมวดเข้าหากันด้วยความรู้สึกประหลาดใจ เพราะวันนี้เป็นครั้งแรกที่หงกุ้ยฟางออกมานอกจวนแม่ทัพและเรื่องคุณชายสามเป็นชายหนุ่มรูปงามถูกนำไปร่ำลือได้อย่างไร
“เมื่อหลายวันก่อนข้าไปสำรวจพื้นที่ตลาดหลวง ได้ยินสาวรับใช้จวนแม่ทัพกับสาวรับใช้บ้านตระกูลหลี่พูดจาข่มกันเรื่องความรูปงามของคุณชายสามและคุณชายหลี่หยางเฟย วันนี้ได้เห็นด้วยตาของตัวเอง ข้าเชื่อแล้วว่าพวกนางไม่ได้กล่าวเกินจริง”
หลิวไป่ธงโน้มศีรษะลงเพียงเล็กน้อยเป็นเชิงยอมรับ ใบหน้าเข้มคมดุดันปรากฏรอยยิ้มมีเมตตา เมื่อมองไปยังคุณชายสามแห่งจวนแม่ทัพ หนุ่มน้อยผู้กำลังเป็นที่คลั่งไคล้ของดรุณีแรกรุ่นทั่วเมือง
ต่างกับเสี่ยวเป่า ย่งชิงรวมไปถึงเหล่านายทหารในกรมคนอื่นๆ ซึ่งมองร่างผอมบางด้วยแววตาดูแคลนในความเป็นชายชาตรี
“หญิงสาวเมืองต้าชิงพากันนิยมชมชอบเพียงแค่รูปทองภายนอก ชายชาติทหารอกสามศอกหน้าตากระดำกระด่างเช่นพวกเราไฉนเลยจะเข้าตาพวกนาง”
คำกล่าวเปรียบเปรยแบบลอยลมของย่งชิงไม่ได้เจาะจงถึงชื่อของคุณชายสาม แต่เมื่อเข้าถึงหูของหงกุ้ยฟางแล้วกลับทำให้นางรู้สึกเดือดร้อนจนเลือดขึ้นหน้า ยิ่งหันไปเจอเสี่ยวเป่าทำหน้าพยักพเยิดเห็นด้วยกับเพื่อนคู่ซี้ นางยิ่งโกรธจนลมออกหู
“ท่านเองก็มองคนเพียงรูปกายภายนอก ไม่ได้ต่างกันกับหญิงสาวเหล่านั้น”
วาจาอวดดีของนางทำเอานายทหารทั้งสองสะอึก
จางหลี่หมิงกับรองแม่ทัพหลิวหันไปมองสามคนที่ตั้งท่าเขม่น เห็นว่าเรื่องจะบานปลาย หลิวไป่ธงจึงใช้สายตาดุย่งชิงและทำเสียงกระแอมในลำคอปรามนายทหารร่างใหญ่
“ขออภัยคุณชายสามหากคำพูดของข้าฟังไม่รื่นหู”
ย่งชิงโน้มศีรษะลง แต่คำกล่าวนุ่มนวลนอบน้อมไม่ได้มีกระแสสำเนียงว่าสำนึกผิด ส่วนคนถูกสบประมาณก็ยังไม่รู้สึกพอใจ
“ท่านรองแม่ทัพใช้วิธีใดวัดความสามารถของทหารในกรมหรือ” หงกุ้ยฟางทำท่ากระแอมแบบรองแม่ทัพหลิวและถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใบหน้าเรียวเชิดขึ้นอย่างดื้อรั้น
หลิวไป่ธงตอบอย่างกระอักกระอ่วน เห็นชัดแล้วว่าท่าทางคุณชายสามเป็นคนไม่ยอมใคร เกรงว่าเรื่องนี้อาจจะไม่จบลงง่ายๆ
“นอกจากความเข้มแข็งอดทน ชายชาติทหารต้องมีไหวพริบเฉลียวฉลาดเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ทุกสถานการณ์”
“พรุ่งนี้จะมีการแข่งขันว่ายน้ำทดสอบความแข็งแรงแและไหวพริบ เพื่อคัดเลือกหัวหน้านายกองคนใหม่แทนนายทหารที่เสียชีวิตในสงคราม น่าเสียดายที่คุณชายสามไม่ได้เป็นทหารในกรมจึงอดเข้าร่วมสนุก”
เสี่ยวเป่านึกหมั่นไส้ความจองหองของเด็กหนุ่ม พลันเกิดความคิดอยากกำราบ และคำพูดท้าทายของเสี่ยวเป่าก็ได้ผลทันที
“เพราะข้าไม่ใช่ทหารในกรมจึงไม่จำเป็นต้องรอถึงพรุ่งนี้ มีใครอยากแข่งขันว่ายน้ำกับข้าวันนี้หรือไม่ ? ”
หงกุ้ยฟางกวาดสายตาลองดีไปยังนายทหารทั่วทั้งกรม ไม่เว้นแม้แต่จางหลี่หมิงที่ทำตาดุจ้องนางอยู่ก่อนแล้ว สีหน้าของเขาเหมือนอยากจะจับหญิงสาวหักคอ ทว่านางกลับยักคิ้วให้เขาอย่างไม่ยี่หระ
“ทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมงาน เจ้าเองก็ไม่อยากรบกวนเวลาของข้าด้วย จำไม่ได้หรือ ? ”
จางหลี่หมิงออกโรงขวาง ทว่าความหยิ่งในศักดิ์ศรีกระตุ้นให้นางกระหายอยากพิสูจน์ตัวเองว่าไม่ได้อ่อนแอเช่นที่นายทหารร่างยักษ์สมองกลวงเหล่านี้ดูหมิ่น
“ทหารของท่านไม่มีเวลาพักหรือ ? ” หงกุ้ยฟางตื๊ออย่างไม่ยอมละทิฐิ
“ไม่จำเป็นต้องรอจนถึงเวลาพัก สถานที่จัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วท่านแม่ทัพ” ย่งชิงโน้มตัวลงและเงยหน้าขึ้นมองจางหลี่หมิงด้วยสายตาขออภัย
เขาเองก็นึกสนุกอยากสั่งสอนคุณชายสามหน้าหยกเช่นเดียวกับเสี่ยวเป่า ได้แต่หวังว่าท่านแม่ทัพจะไม่ถือโกรธหากพวกตนล่วงเกินน้องชายบุญธรรม
“เราจะใช้การแข่งขันแบบเดียวกันกับวันพรุ่งนี้ ใครว่ายข้ามแม่น้ำรั่วซีและวิ่งไปเก็บท้อจากต้นท้อที่อยู่หน้าวัดหลวง แล้วว่ายข้ามกลับมาพร้อมลูกท้อได้ก่อนคือผู้ชนะ”
เสี่ยวเป่าอธิบาย นอกจากตัวเขา ย่งชิงและคุณชายสามหน้าหยก ก็มีพลทหารอีกหลายสิบคนร่วมเข้าแข่งขันด้วยเพราะต้องการฝึกซ้อมล่วงหน้าก่อนวันจริงที่แข่งขันคัดเลือกหัวหน้านายกอง
“เมื่อคืนฝนพึ่งตกกระแสน้ำก็ไหลเชี่ยวมากเกินไป คุณชายสามเปลี่ยนใจตอนนี้ยังทัน”
รองแม่ทัพหลิวกล่าวเตือน เมื่อเห็นว่ารูปร่างผอมบางของคุณชายสามตอนถอดเสื้อคลุมนั้นผอมบางยิ่งกว่าเก่า ทำให้เขาอดนึกเป็นห่วงไม่ได้
“ท่านก็เห็นด้วยกับพวกเขาหรือ ? ”
น้ำเสียงของนางแสดงความรู้สึกผิดหวัง หงกุ้ยฟางหันไปทางจางหลี่หมิงพบว่าเขาเองก็ชักสีหน้าเอือมระอา ยิ่งทำให้นางเกิดโทสะและต้องการตอบโต้สายตาสบประมาท
“คุณชายสามไม่ถอดเสื้อออกก่อนรึ”
ย่งชิงเอ่ยถาม แม้ต้องการสั่งสอนคุณชายผู้แสนหยิ่งผยอง แต่ก็นึกเป็นห่วงเด็กหนุ่มวัยกำลังโต
นางตอบแทนความเป็นห่วงของย่งชิงด้วยการทำเสียงหึ ในลำคออย่างถือดี
“หรือคุณชายสามกังวลว่าจะถูกหัวเราะเยาะที่ท่านเอวกิ่วกว่านางรำ เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ ท่านลดทิฐิลงสักนิดเถิด” เสี่ยวเป่าสำทับ
หงกุ้ยฟางยืดไหล่และยกแขนขึ้นกอดอก พลางหันไปมองเสี่ยวเป่าทีหนึ่ง หันไปมองย่งชิงทีหนึ่ง ก่อนจะกล่าวยืนยันเจตนารมณ์เดิม
“เก็บเสียงของพวกเจ้าเอาไว้ร้องขอความช่วยเหลือเถิด ข้ารู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไร”
เสี่ยวเป่าสะอึกเป็นครั้งที่สอง นายทหารร่างยักษ์มองสายน้ำไหลเชี่ยวกรากแล้วโคลงศีรษะตอนมองกลับมาที่ร่างผอมราวจะปลิวไปตามแรงลมของคุณชายสาม
แม้แต่ทหารกล้าที่ผ่านการฝึกฝนต่อสู้มาหย่างโชกโชนยังแอบวิตกว่าจะเอาชีวิตไม่รอด แต่เด็กหนุ่มผู้นี้ยังคงหัวรั้นและแสดงความเขลาด้วยการไม่ยอมถอดเสื้อซึ่งกระแสน้ำอาจถ่วงร่างให้จมหายไปในแม่น้ำรั่วซีได้ทุกเมื่อ
ย่งชิงเดินมายืนขนาบคุณชายสามเมื่อเห็นชัดแล้วว่าเด็กหนุ่มไม่ยอมเปลี่ยนความตั้งใจ หากคุณชายสามว่ายต้านกระแสน้ำไม่ไหว พวกตนจะสามารถช่วยกันพากลับเข้าฝั่งได้ทันการณ์
“ท่านแม่ทัพอย่าได้กังวล ย่งชิงกับเสี่ยวเป่าคงไม่ปล่อยให้คุณชายสามเป็นอันตราย” รองแม่ทัพหลิวกล่าวกับจางหลี่หมิงซึ่งมีสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลา
“ข้าไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
ก่อนจะหัวเราะในลำคอเมื่อนึกถึงสีหน้าของทุกคนหลังจากการแข่งขันจบลง
‘ปัง’ สิ้นเสียงประทัดที่ถูกจุดเพื่อให้สัญญาณดังขึ้น ผู้ร่วมแข่งขันว่ายข้ามแม่น้ำรั่วซีทุกคนต่างพุ่งตัววิ่งตรงไปยังจุดหมาย ท่ามกลางเสียงเชียร์ของเหล่านางสนมกำนัลที่กรูกันออกมาจากรั้ววังเพื่อชมการซ้อมแข่งขัน
ฝุ่นดินบริเวณนั้นตลบฟุ้งจนแทบมองไม่เห็นว่าใครเป็นใคร กระทั่งมีเสียงตูมคล้ายของหนักหล่นลงในแม่น้ำ และแว่วเสียงของย่งชิงกับเสี่ยวเป่าที่ตะโกนดังโหวกเหวก เรียกคุณชายสาม
องครักษ์ทั้งสองมีสีหน้าตื่นตกใจยิ่งกว่าตอนที่ออกตัววิ่งตามเด็กหนุ่มไม่ทัน ต่างเกรงว่าร่างผอมบางจะถูกกระแสน้ำพัดหายไป
ทว่าสิ่งที่ทุกคนเกรงกลัวนั้นตรงกันข้ามกับสิ่งที่เห็น
ร่างผอมบางที่สวมเสื้อผ้าเกือบครบทุกชิ้นแหวกว่ายฝ่ากระแสเชี่ยวกรากของแม่น้ำรั่วซีอย่างปราดเปรียวและว่องไว ในขณะที่ชายอกสามศอกหลายสิบชีวิตพึ่งจะวิ่งมาถึงขอบฝั่ง บ้างหยุดยืนรวบรวมความกล้าก่อนทะยอยกระโดดตามกันลงไปทีละคนสองคน
หงกุ้ยฟางก้าวขึ้นจากน้ำ และหันกลับไปตะโกนเรียกเสี่ยวเป่ากับย่งชิงให้รีบตามมา ด้วยท่วงท่าวางกร่างเย้ยหยัน แล้วเดินเอื่อยเฉื่อยไปหยุดที่ต้นท้อหน้าวัดหลวง
ความสูงของลำต้นที่เกินระดับศีรษะไม่ใช่ปัญหาสำหรับมนุษย์ครึ่งจิ้งจอก แต่ร่างกายที่เปียกลื่นคืออุปสรรคในการปีนป่าย แสดงให้เห็นว่าผู้จัดการแข่งขันไม่เพียงแค่ต้องการผู้ชนะที่แข็งแรง แต่ยังต้องการผู้ที่มีไหวพริบและปัญญา
หงกุ้ยฟางเดินถอยหลังห่างจากต้นท้อแล้วทิ้งตัวลงไปนอนคลุกฝุ่นดินจนทั่ว ก่อนลุกขึ้นวิ่งและกระโดดคว้าก้านต้นท้อที่แข็งแรงพอจะรับแรงเหวี่ยงด้วยท่าทางคล่องแคล่วปราดเปรียว
“เหลือเชื่อจริงๆ คุณชายสามเก่งกาจเช่นนี้เอง ท่านแม่ทัพถึงยอมให้ลงแข่งขัน” แววตาของหลิวไป่ธงฉายความตื่นตะลึง
รอยยิ้มภาคภูมิใจปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาของแม่ทัพหนุ่ม เมื่อหงกุ้ยฟางว่ายน้ำกลับมาถึงฝั่งอย่างปลอดภัยพร้อมลูกท้อผลโต
“ไม่ต้องให้ใครตามมา” จางหลี่หมิงออกคำสั่ง
ชายหนุ่มหันไปหยิบเสื้อคลุมที่หงกุ้ยฟางถอดเอาไว้และเดินตรงไปที่ผู้ชนะคนแรกซึ่งอยู่ในสภาพเปียกปอน
“ท่านคงลืมไปแล้วใช่ไหมว่า ข้าอาศัยอยู่เหนือต้นกำเนิดแม่น้ำรั่วซี ที่นั่นกระแสน้ำไหลเชี่ยวกว่านี้หลายเท่า”
หงกุ้ยฟางยืนลูกท้อให้ชายหนุ่ม ได้ทีพูดจาโอ้อวดความเก่งกาจของตัวเองอย่างเต็มปากเต็มคำ
“ข้อนั้นข้ารู้ดี! สิ่งที่ข้าเป็นห่วงคือหนวดเทียมของเจ้าต่างหาก” เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าหนวดเทียมของนางยังไม่หล่นหายไปไหน
“หนวดข้า! ”
มือน้อยตะปบลงที่เหนือริมฝีปากทันที โชคดีที่หนวดเทียมของนางเลื่อนมาอยู่ด้านข้างเพียงนิดเดียว
“อยู่นิ่งๆ ”
จางหลี่หมิงใช้ร่างสูงใหญ่ยืนบังหญิงสาวจากสายตาทุกคน เขากางเสื้อคลุมร่างกายเปียกปอนให้นางแล้วจับหนวดเทียมขยับมาไว้ตรงตำแหน่งเดิมอย่างเบามือ
“ข้าขอโทษ... ที่ทำตัวดื้อรั้นกับท่าน” นางสำนึกได้ในที่สุด
“จำเอาไว้ว่า ต่อให้เจ้าเก่งกาจแค่ไหนก็ไม่ควรประมาท นอกจากจะเสี่ยงอันตราย วันนี้เจ้ายังอดไปเดินเที่ยวในวังหลวงอีกด้วย”
สีหน้าของหงกุ้ยฟางสลดลงไปอีกเมื่อนึกตามสิ่งที่เขาว่ากล่าว ไม่น่าเลย... นางถอนหายใจออกมาด้วยความนึกเสียดายโอกาส
จางหลี่หมิงยกมือขึ้นแล้วดีดนิ้วบนหน้าผากขาวนวลของนางด้วยความหมั่นเขี้ยว
“โอ้ย! ” หงกุ้ยฟางลูบหน้าผากของตัวเอง พลางร้องโอดโอยเสียงดัง
“ผิวหน้าฝากของเจ้านี่บางจริง ทั้งที่กะโหลกออกจะแข็ง”
เขาหัวเราะร่วนเมื่อเห็นจุดสีแดงบนหน้าผากของนาง กระจายออกและลามไปทั่วครึ่งใบหน้า
“รีบกลับจวนกันเถอะ เดี๋ยวเจ้าจะไม่สบาย”
ความห่วงใยเล็กๆ น้อยๆ ทำให้นางแอบยิ้มปลาบปลื้มกับแผ่นหลังกว้างของบุรุษร่างสูงใหญ่ที่เดินนำหน้า และไม่รู้สึกโกรธที่ถูกเขาดีดหน้าผากทำโทษแม้แต่น้อย