“กาลเวลาโบยบิน ผ่านหมื่นอรุณรุ่ง
เด็ดเดี่ยวดั่งขุนเขา ท่ามกลางหมอกขาว
เบื้องหน้างามเด่น เคียงสายธารทอดยาว
เบื้องหลังมีเพียงเงา เปลี่ยวเหงาเดียวดาย”
ยามซวี่ ขึ้นสิบห้าค่ำปักษ์ต้าสู เดือนแปดปีจอ นับเป็นคืนที่หงกุ้ยฟางมีอายุครบ 18ปีบริบูรณ์
รุ่มร้อนเหลือเกิน...
รู้สึกเหมือนมีถ่านไฟคุโชนอยู่ในกายและเริ่มลุกไหม้แรงร้อนขึ้นเรื่อยๆ จู่ๆ เนื้อตัวของนางก็เริ่มส่งกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นดอกกล้วยไม้ป่าโดยไม่มีสาเหตุ ทั้งที่โผล่ขึ้นมาจากแอ่งน้ำหินดาดได้เพียงไม่นาน
ในช่วงที่ฝนตกชุกจนเกิดน้ำหลาก บริเวณแอ่งน้ำหินดาดต้นลำธารแห่งนี้จะมีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นจนท่วมลานทางเดินขึ้นสู่หน้าบ้านหลังน้อยของหงกุ้ยฟางซึ่งปลูกอยู่บนโขดหินขนาดใหญ่สูงกว่าลานหินดาด หลังบ้านก่ออิฐเชื่อมติดเขาจึงดูคล้ายถ้ำมากกว่าบ้านคน
หงกุ้ยฟางหันไปมองเพื่อนรักเพียงตัวเดียวที่กำลังเอียงหัวจ้องตอบนางอย่างแคลงใจ ราวกับว่าหากนางถ้าเล่าความนัยสู่ฟังแล้วมันจะสามารถช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาเรื่องทุกข์ร้อนของนางได้
“คืนวันเพ็ญเช่นนี้ พวกคนตาขาวที่บุกรุกป่าคงไม่กล้าขึ้นมาบนหุบเขาจิ้งจอกหรอกนะเจ้าขาว บินกลับรังเจ้าไปเถิดข้าก็ง่วงนอนเต็มทนแล้ว”
นางรู้สึกแปลกใจตนเองเช่นกันที่เอ่ยปากไล่เจ้าขาวเช่นนั้น ทว่าหงกุ้ยฟางรุ่มร้อนกระวนกระวายและมีความปรารถนาจะสัมผัสเนื้อตัวของตนเอง นางรู้สึกละอายใจถ้าหากมีสายตาพญาเหยี่ยวของเจ้าขาวจ้องมอง
‘พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! ’
พญาอินทรีขาวยอบตัวลงเล็กน้อย ก่อนเขย่งขาคู่แข็งแรงส่งตัวมันเองตอนกระพือปีกบินคืนสู่ท้องฟ้ามุ่งหน้ากลับรัง ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของหุบเขาจิ้งจอก ซึ่งอาณาเขตใจกลางวงแหวนแห่งขุนเขาคือแอ่งทะเลสาบอุดมสมบูรณ์ด้วยอาหารของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดและเป็นเขตปกครองของราชันย์แห่งมวลวิหค
“ขอโทษนะเจ้าขาว”
หงกุ้ยฟางพึมพำบอกเพื่อนรักเพียงตัวเดียวด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยปลอดโปร่งนัก ขณะมองเจ้าขาวบินห่างออกไปจนลับสายตา
นางหันมาจัดการปลดเปลื้องเสื้อผ้าที่พึ่งสวมใส่ได้ไม่นานออกจากตัวจนเปลือยเปล่า พาดเอาไว้กับโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ที่ยามค่ำคืนหงกุ้ยฟางจะขึ้นไปนอนดูดาวบนนั้น
ร่างบางระหงที่เปล่าเปลือยเดินเยื้องย่างลงไปยังแอ่งน้ำคล้ายอ่างขนาดเกือบเท่าสระน้ำเล็กๆที่อยู่เหนือน้ำตกซึ่งไหลทอดยาวออกไปกลายเป็นลำธารสายใหญ่หล่อเลี้ยงสัตว์ทุกตัวและต้นไม้ทุกต้นในผืนป่า รวมถึงมนุษย์ทุกชีวิตบนผืนแผ่นดินกว้างขวางไร้ขอบเขต
“เกิดอะไรขึ้นกับข้า”
หงกุ้ยฟางแหงนเงยใบหน้างามมองพระจันทร์เต็มดวงอย่างวิงวอน ภายในกายสาวรุ่มร้อนด้วยความรู้สึกหวามรัญจวน มือน้อยลูบถูเนื้อตัวอย่างรุนแรง บางครั้งนางถึงกับต้องลงมือตบหน้าตนเองด้วยความหงุดหงิดไม่ถูกใจกับความผิดปกติที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ
‘บรูววววว...’
มือแข็งแรงซึ่งถือตะเกียบคีบเนื้อปลาที่กำลังจะส่งเข้าปากของแม่ทัพหนุ่มรูปงามชะงักงัน เสียงหอนอันโหยหวนเหมือนสุนัขเรียกหาคู่ดังชัดเจนสะท้อนก้องไปทั้งผืนป่า ไม่ใช่เสียงที่ฟังแล้ววังเวงน่าหวาดกลัวอย่างเมื่อตอนพลบค่ำ
แต่เพียงชั่วครู่เสียงชวนขนลุกนั้นก็เงียบหายไป
ภายใต้ท่าทางเงียบขรึมจางหลี่หมิงได้ลอบสังเกตปฏิกิริยาเหล่านายทหารของตนซึ่งต่างพยายามเก็บอาการระแวงวิตก แต่ไม่มีผู้ใดกล้าปริปากทักท้วงสิ่งที่ได้ยินในป่าเขายามค่ำคืน
โดยเฉพาะคืนที่มีพระจันทร์เต็มดวงเช่นนี้ด้วยแล้ว คงไม่อาจจะคิดเป็นอื่นได้ ถ้าหากไม่ใช่เสียงของนางจิ้งจอกที่หอนเรียกคู่และไม่มีผู้ใดสามารถบอกได้ว่ามันมีกันทั้งหมดกี่ตัว
“เรียนท่านแม่ทัพ ฮองเฮาขอเชิญท่านเข้าเฝ้า”
องครักษ์หญิงรักษาพระองค์ปรี่เข้ามาแจ้งจางหลี่หมิงด้วยความรีบร้อน ก่อนจะเดินนำทางพาแม่ทัพหนุ่มไปยังริมลำธารซึ่งผู้เป็นพี่สาวกำลังอาบน้ำอยู่เบื้องหลังผืนผ้าม่านสีทึบอย่างอ้อยอิ่งเป็นครั้งที่สอง หลังจากเหล่านายทหารได้อาบน้ำครบหมดทุกคนแล้ว
“ทรงเรียกหากระหม่อม ฮองเฮาทรงมีเหตุด่วนอันใด”
จางหลี่หมิงหยุดยืนคอมกายอยู่ตรงหน้าผืนผ้าม่านสีทึบ ซึ่งมีสององครักษ์หญิงฝีมือฉกาจยืนคอยอารักขา เขาคาดเดาว่าที่ฮองเฮารับสั่งให้องครักษ์ไปตามมาเข้าเฝ้าคงไม่พ้นเรื่องที่เคยพูดคุยกันเมื่อตอนพลบค่ำ
“แม่ทัพจาง จงไปเอาตัวนางจิ้งจอกที่อยู่ต้นลำธารแห่งนี้มาให้ข้า”
จางหลินหมิงยิ้มสรวล เมื่อนึกถึงสิ่งที่งอกเงยได้จากร่างกายของนางจิ้งจอก ซึ่งสามารถนำไปบดละลายในน้ำโสมพันปี เพื่อดื่มหรือทาบำรุงผิวพรรณ
“ฮองเฮา แน่ใจได้อย่างไรว่ามีนางจิ้งจอกอยู่ที่ต้นลำธาร”
“หูข้าได้ยินเสียงหอนและจมูกข้าก็ได้กลิ่นของนางจิ้งจอกปนมาน้ำในลำธาร หลักฐานเท่านี้เพียงพอที่ท่านจะทำตามคำสั่งของเราได้รึไม่ท่านแม่ทัพ” จางหลินหมิงทำตาเจ้าเล่ห์อยู่หนังม่าน
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”
จางหลี่หมิงถวายความเคารพแล้วก้าวเท้าถอยออกห่างจากริมลำธารบริเวณที่ฮองเฮาสรงน้ำ และหันหลังเดินมุ่งหน้าไปยังกระโจมที่พักเพื่อเตรียมตัวเดินทาง
รองแม่ทัพหลิวไป่ธงถูกเรียกมารับคำสั่งให้นำกองทัพทหารกลับวังหลวงแทนเขาทันทีเมื่อถึงรุ่งเช้า
“ท่านแม่ทัพแน่ใจหรือว่าจะขึ้นไปบนหุบเขาจิ้งจอกเพียงคนเดียว” รองแม่ทัพหลิวไป่ธงเอ่ยด้วยน้ำเสียงวิตกกังวล
“ทหารทุกนายมีหน้าที่รบปราบศัตรูเพื่อปกป้องบ้านเมืองเท่านั้น ท่านรองแม่ทัพโปรดพาพวกเขากลับไปหาครอบครัวโดยไวเถิด ไม่ต้องห่วงว่าข้าจะเอาตัวไม่รอด”
จางหลี่หมิงตอบอย่างไม่อินังขังขอบถึงภัยอันตราย เขาน้อมรับพระเสาวนีย์ฮองเฮาเพราะเชื่อว่า ฟ้าได้ลิขิตให้เขาต้องเผชิญหน้ากับจิ้งจอกตนนี้ มิใช่เพราะยอมก้มศรีษะเพื่อทำตามกิเลสตัณหาของสตรีนางหนึ่ง
“ม้าศึกของท่านแม่ทัพพร้อมเดินทางแล้วขอรับ”
องครักษ์เสี่ยวเป่าสืบเท้าเข้ามาในกระโจมเพื่อรายงานแม่ทัพหนุ่มซึ่งก็เตรียมตัวเสร็จแล้วเช่นกัน
“ขอให้ท่านเดินทางโดยปลอดภัย”
รองแม่ทัพหลิวไป่ธงและเหล่าองครักษ์เดินตามมาส่งจางหลี่หมิงยังริมลำธารที่เป็นหินกรวดทรายทอดยาวขึ้นไปสู่แหล่งต้นน้ำบนหุบเขาจิ้งจอก
“ข้าขอให้พวกท่าเดินทางโดยสวัสดิภาพเช่นกัน”
แม่ทัพหนุ่มกล่าวอวยพรเหล่านายทหารที่ตามมาส่ง ร่างสูงใหญ่แบบบุรุษชาตินักรบกระโดดขึ้นไปนั่งคร่อมบนอานม้า แล้วบังคับอาชานัยสีนิลวิ่งเหยาะไปสู่หนทางกรวดทรายริมลำธารที่เริ่มรกครึ้มด้วยกิ่งไม้ โชคดีที่มีแสงจันทร์สาดส่องลงมาค่อนข้างกระจ่างถ้วนทั่วทุกแห่งหนจึงไม่มีอุปสรรคต่อการขี่ม้าในยามค่ำคืน