แม่ทัพหนุ่มรูปงาม

1862 คำ
“ควบม้าศึกย่ำหนทางอันทอดยาว หลังม่านป่าได้พบเจ้าหลบเร้นกาย ท้องฟ้ากว้างใหญ่ ผืนแผ่นดินไร้ขอบเขต ชีวิต สงคราม ความตาย ล้วนไม่อาจพรากรักจากหัวใจ” กองทัพทหารหลวงจำนวนนับหมื่นเดินทางจากทิศเหนือมุ่งสู่ภาคกลางที่ตั้งของเมืองหลวง โดยการนำทัพของแม่ทัพหนุ่มผู้เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลจางขุนศึกคู่บัลลังก์แห่งราชวงศ์ต้าชิง หลังคว้าชัยชนะอย่างน่าภาคภูมิใจจากการทำศึกกับอ๋องหัวเมืองเหนือที่ปลุกระดมชนกลุ่มน้อยเชื้อสายซ่งก่อการกบฏหวังยึดอำนาจปกครองเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแทนองค์ฮ่องเต้ชิงฟง ฮ่องเต้ผู้ครองบัลลังก์แห่งราชวงศ์ต้าชิงองค์ปัจจุบัน  จางหลี่หมิงคือลูกหลานตระกูลจางรุ่นปัจจุบันที่มีความสามารถเป็นเลิศทุกด้านหากเปรียบเทียบกับผู้สืบทอดตำแหน่งจอมแม่ทัพแห่งต้าชิงทุกรุ่นในอดีตซึ่งล้วนมีชื่อเสียงด้านวรยุทธ์สูงส่งเหนือชาวยุทธในแผ่นดิน ฝีมือทางการรบของขุนศึกตระกูลจางเก่งกาจล้ำเลิศเป็นที่เลื่องลือน่าเกรงขามมาหลายยุคสมัย ในยามรบเพียงแค่เหล่าทหารแนวหน้าตะโกนชื่อแซ่ของแม่ทัพจางหลี่หมิงก็สามารถข่มขวัญศัตรูได้จนสิ้น  ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยของแม่ทัพหนุ่มรูปงามที่ถืออาวุธอันตรายเข่นฆ่าอริศัตรูอย่างเลือดเย็นราวกับไร้หัวใจนั้นเต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึกผิดบาปและสลดหดหู่ยิ่งนัก ทว่าหากเมื่อเสร็จสิ้นการรบแล้ว จางหลี่หมิงไม่เคยสั่งฆ่าเชลยหรือข้าศึกที่ยอมแพ้โดยบริสุทธิ์ใจ  เขาแน่ใจว่าทหารกล้าทุกนายต่างล้วนออกรบเพื่อรักษาความสงบสุขมิใช่ต้องการแผ่ขยายอำนาจหรือประกาศศักดา  แม่ทัพหนุ่มออกคำสั่งให้ทหารหยุดขบวนกองทัพที่ชายป่าดงดิบเขตเมืองหนานชางติดกับแนวชายป่าของหุบเขาจิ้งจอก ซึ่งมีต้นกำเนิดลำธารธรรมชาติไหลผ่าน เพื่อให้เหล่าทหารกล้าของตนได้ดื่มกินน้ำสะอาดและอาบน้ำชำระล้างร่างกายซึ่งยังมีคราบคาวของเลือดกบฏแห้งกรังติดอยู่ตามเกราะ เครื่องแบบทหาร อาวุธ และผิวกายหลังตรากตรำศึกกันมาอย่างหฤโหดเป็นเวลาเนิ่นนานหลายวัน เสียงสายลมโชยพัดแมกไม้เขียวชอุ่ม เสียงสายน้ำหลากไหลกระแทกโขดหินแกร่ง ฟังไพเราะรื่นหูกว่าเสียงอาวุธกระทบกันและเสียงกรีดร้องโหยหวนของผู้บาดเจ็บเสียชีวิตในสนามแห่งเลือดอย่างมากโข “หยุดพักได้แล้วงั้นหรือ? นึกว่าเจ้าจะลืมไปแล้วว่ามีสตรีเดินทางมาด้วย” หญิงงามในเกี้ยวเปิดม่านเพียงเล็กน้อยให้บุรุษร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะนักรบผู้มีลักษณะทรนงเย่อหยิ่งที่นั่งบนหลังม้าศึกพันธุ์เลิศด้วยท่วงท่าองอาจน่ายำเกรง เขาบังคับบังเ**ยนให้ม้าคู่ใจหยุดให้เหยาะย่างเทียบกับข้างเกี้ยวของนาง น้ำเสียงทรงอำนาจของจางหลินมีเจือด้วยถ้อยคำตำหนิในที แม้นางไม่ได้นั่งบนหลังม้าเช่นทหารในขบวน ทว่าการนั่งอยู่ในเกี้ยวเดินทางบนพื้นกรวดหินขรุขระกลางป่าฝ่าดงดิบเป็นเวลานานก็อ่อนล้าไม่น้อย  “กระหม่อมเคยกล่าวเตือนฮองเฮาแล้วว่าไม่ควรเดินทางมาร่วมรบ ทรงควรวางกระบี่ตั้งแต่ยอมนั่งเกี้ยวเข้าวังถวายตัวแก่ฮ่องเต้” แม่ทัพหนุ่มแย้งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าคิดว่ามีเพียงบุรุษเท่านั้นหรือที่สามารถปกป้องแผ่นดินได้” ความเย่อหยิ่งถือดี รักศักดิ์ศรี คือคุณสมบัติของลูกหลานทุกคนในตระกูลจาง แม้ว่าวันนี้ จางหลินหมิง จะเป็นถึงฮองเฮามารดาของแผ่นดิน แต่นางก็หาได้ยินยอมทำตัวเหมือนสตรีในวังหลวงทั่วไป ที่แต่ละวันสนใจเพียงความสวยงาม เพื่อให้ตนโดดเด่นและเป็นที่สนใจขององค์ฮ่องเต้ “ข้อนั้นกระหม่อมรู้ดี แต่ฮองเฮาก็รู้จักเส้นทางขึ้นเหนือดีไม่แพ้ทหารลาดตระเวน มีเพียงชายป่าแห่งนี้ที่ลำธารใสสะอาดและไม่ต้องกังวลว่าในแม่น้ำจะถูกลอบวางยา เราทุกคนสามารถดื่มกินน้ำในลำธารแห่งนี้ได้อย่างสบายใจ” แม่ทัพหนุ่มกล่าวตัดบท กระตุ้นบังเ**ยนบังคับม้าศึกคู่ใจออกเดินสำรวจพื้นที่ซึ่งจะเป็นที่พำนักค้างคืนชั่วคราว  ไม่สนใจคนในรถม้าที่อ้าปากค้างตั้งท่าโต้เถียงแม้แต่น้อย จางหลี่หมิงกวาดสายตาเฉียบคมมองสำรวจต้นไม้ใหญ่ซึ่งแผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมรอบบริเวณลานกรวดหินทรายที่ทอดลงสู่ลำธารจนแน่ใจว่าเหมาะสมจะตั้งกระโจมให้องค์ฮองเฮาสรงน้ำและพักผ่อนค้างแรม แม้จะมีทหารลาดตระเวณมารายงานความเรียบร้อยแล้วก็ตาม ก่อนจะสั่งให้ทหารจัดหาที่ทางแบ่งแยกที่พักในระยะต่ำกว่าราชนิกุลตามแนวกระแสน้ำที่ไหลลงสู่เบื้องล่าง แม่ทัพจางมีความรอบคอบในทุกด้านไม่ว่าจะทำสิ่งใด การรบปราบกบฏเมืองเหนือคราวนี้แม้จะใช้กำลังพลน้อยกว่าคู่ต่อสู้ ทว่ากองทัพทหารหลวงนำทัพโดยจอมแม่ทัพหนุ่มผู้ชาญฉลาด จำนวนทหารหลวงที่เสียชีวิตจากการทำศึกครั้งนี้จึงมีไม่ถึงร้อยศพ  ‘บรูววววว... ฮิ ฮิ’ เสียงหอนอันโหยหวนที่ต่างจากสุนัขทั่วไปในยามที่สิ้นแสงสว่าง ชวนขนหัวลุกยิ่งกว่าบรรยากาศสนามรบที่มีซากศพของทหารนับร้อยนอนตายเกลื่อนกลาดผืนแผ่นดินยามราตรี ปลายน้ำเสียงหอนอันยืดยาวยังมีเสียงหัวเราะของอิสตรีฟังหวานแหลมแและเยือกเย็นจับใจ และซ้ำร้ายไปกว่านั้นยังมีเสียงกระพือปีกก้องผืนป่าคล้ายปีกของพญามัจจุราช “เสี่ยวเป่าๆ เจ้าได้ยินเหมือนที่ข้าได้ยินไหม” องครักษ์มือขวาของจอมแม่ทัพจางหลี่หมิง นามว่า ‘ย่งชิง’ ผู้มีวรยุทรล้ำเลิศแต่กลับขลาดกลัวเรื่องภูติผีปีศาจยิ่งกว่าสิ่ง อื่นใด รีบวิ่งหน้าตั้งหอบฟืนมายังเพื่อนองครักษ์มือซ้ายที่เริ่มทำการก่อกองไฟขึ้นเพื่อไล่สัตว์ร้าย ใกล้กับกระโจมขององค์ฮองเฮาซึ่งมีแม่ทัพหลี่หมิงกำลังร่างสารส่งข่าวการชนะศึกและความคืบหน้าการเดินทางที่นำทัพมาถึงแนวชายป่าดงดิบ ใช้เวลาเดินทางอีกเพียงสองวันสองคืนก็จะเข้าสู่เขตเมืองหลวง เพื่อให้ม้าด่วนนำส่งสารแจ้งไปยังทางพระราชสำนัก “อยู่ในป่าใครให้เจ้าทักอะไรมั่วซั่วกันเล่า! ตบปากเจ้าเดี๋ยวนี้เลย” เสี่ยวเป่าเองก็ปอดแหกไม่แพ้กัน แต่ยังสามารถวางท่าฮึกเหิมเพราะรู้ว่ามีท่านแม่ทัพอยู่ใกล้ๆ ไม่ว่าภูติผีปิศาจแห่งหนตำบลไหน เพียงเอ่ยชื่อจอมแม่ทัพจางหลี่หมิงสิ่งเร้นลับหรือพลังงานเหนือมนุษย์ทั้งหลายก็มีอันต้องแตกกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง “ตบๆๆๆๆ...” ย่งชิงใช้สองมือที่พึ่งเทมัดฟืนกองกับพื้นระดมตบปากตัวเองอุตลุด เชื่อว่าตบซ้ำๆ ลงโทษตนที่ปากพล่อยถือเป็นการขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปในตัว “ตบปากเสร็จก็รีบไปเอาปลาจากพวกทหารกองเสบียงที่กำลังจับอยู่มาสัก 10ตัวโตๆ ข้าจะได้ไปเชิญท่านแม่ทัพกับฮองเฮามานั่งย่างอาหารเย็นทานด้วยกันที่กองไฟ” เสียวเป่าหยิบฟืนมาวางเป็นชั้นเตี้ยๆ ข้างวงล้อมกองไฟที่ทำจากก้อนหินป้องกันการเกิดไฟป่า และผ่าฟืนบางส่วนที่ใหญ่ผิดขนาดให้วางซ้อนกันได้สวยงามเป็นระเบียบ ปากพูดแต่มือยังทำงานเป็นระวิง “อ้าว! มัวยืนซื่อบื้ออยู่ทำไม รีบไปสิ” เสี่ยวเป่าตะวาดไล่เพื่อนทหารองครักษ์ เมื่อหันกลับมาและเจอย่งชิงยืนซ้อนด้านหลังของตน “เจ้าไปเป็นเพื่อนข้าหน่อยไม่ได้รึ” นายทหารร่างยักษ์หมุนตัวซ้ายขวามองดูรอบบริเวณกระโจมขององค์ฮองเฮาซึ่งตั้งอยู่ค่อนข้างห่างจากกระโจมเหล่านายทหารชั้นผู้ใหญ่อื่นๆ ความสงัดอัสดงของผืนป่าซึ่งแม้จะมีทหารกว่าพันนายแบ่งแถวออกเป็นสองตอน นอนพักผ่อนสลับหัวท้ายเหมือนหวีสองด้านไล่เรียงต่อขบวนลงไปด้านล่างเลียบแนวลำธารสายใหญ่ มีเพียงทหารยามทำหน้าที่เฝ้าม้ากับทหารกองเสบียงทำหน้าที่หุงหาอาหาร ที่เหลือยังไม่มีใครกล้าลงอาบน้ำเพราะต้องรอให้ท่านแม่ทัพและฮองเฮาสรงน้ำในลำธารก่อน “ไสหัวไปให้ไกลทั้งสองคนนั่นแหละ ได้เวลาที่ฮองเฮาจะสรงน้ำแล้ว” สององครักษ์หญิงเดินออกมาจากกระโจมพร้อมหอบผืนผ้าม่านสีทึบซึ่งจะใช้กางออกเพื่อบังตาผู้คนอีกชั้น แม้ว่าจะเลือกตั้งกระโจมค่อนข้างห่างจากกองทัพทหารและมีโขดหินบดบังมิดชิด  เมื่อย่งชิงกับเสี่ยวเป่าได้ยินเช่นนั้นองครักษ์หนุ่มทั้งสองก็ยืนยืดอกและเดินมุ่งหน้าไปยังกองเสบียงอย่างสง่าผ่าเผย ไม่หลงเหลืออาการหวาดกลัวลุกลี้ลุกลนให้สตรีเพศได้เห็นกระทั่งคิดว่าลับตาสององครักษ์สาวสวย ทั้งคู่จึงแข่งกันสับขาวิ่งด้วยความเร็วสุดชีวิต ภายในกระโจมขององค์ฮองเฮาเมื่อไม่มีบุคคลที่สามอยู่ด้วย สองพี่น้องตระกูลจางมักจะพูดคุยสนทนากันเช่นอย่างสามัญชนธรรมดา “ไม่คิดว่าแนวชายป่าแห่งนี้จะมีจิ้งจอกหลงเหลืออยู่” จางหลินหลิงยิ้มบางเบาที่มุมปาก ไม่ได้รู้สึกวิตกกังวลต่อสิ่งที่ตนกล่าวถึงแต่อย่างใด เมื่อวัยเยาว์ตอนที่ฝึกฝนวรยุทธ์เหล่าลูกหลานตระกูลจางทุกคนต้องฝ่าด่านทดสอบความเข้มแข็งทุกด้านรวมถึงความกล้าด้วยการปราบเหล่าภูติผีปีศาจ แค่การต้องเผชิญหน้ากับจิ้งจอกซึ่งเป็นเพียงแค่เดรัจฉานสำหรับวีรสตรีเช่นจางหลินหมิงถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร “ที่นี่คือเขตชายป่าดงดิบหุบเขาจิ้งจอก เมื่อหลายปีก่อนมีกลุ่มชาวยุทธ์ร่วมมือกันไล่ล่าสังหารล้างเผ่าพันธ์จิ้งจอกไปจนหมดสิ้นแล้ว เสียงที่เราได้ยินคงเป็นเพียงวิญญาณร้ายที่ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิดเสียมากกว่า” จางหลี่หมิงแย้งด้วยสีหน้าเย็นชาและไม่ยอมคล้อยตามเล่ห์เหลี่ยมของผู้เป็นพี่สาว “น่าเสียดายจริง ถ้าหากนั่นเป็นเสียงของนางจิ้งจอกที่ยังมีชีวิตอยู่แล้วล่ะก็ ทหารที่ได้รับบาดเจ็บในขบวนกองทัพของเราคงจะมีน้ำลายจิ้งจอกมาทารักษาแผล และกระดูกของมันสามารถนำมาต้มดื่มรักษาพิษแทนยาหม้อได้อีกด้วย” “พี่หญิงควรจะรีบไปอาบน้ำได้แล้ว ทหารของเรามีหลายพันคนที่ไม่ได้อาบน้ำมาเป็นสัปดาห์ ตอนนี้พวกเขาคงอยากกระโดนลงเล่นน้ำกันเต็มที” แม่ทัพหนุ่มตัดบทสนทนาด้วยการเดินออกไปจากกระโจมของจางหลินหมิง มุ่งหน้าไปยังกระโจมตนเองเพื่ออาบน้ำชำระร่างกาย เขารู้สึกอึดอัดเต็มทนกับกลิ่นเหม็นคาวเลือด และผิวกายเหนียวหนืดไม่สะอาดตัว อีกทั้งยังนึกเห็นใจทหารจำนวนหมื่นพันนายที่ต้องทนรอตนเองกับจางหลินหมิงให้ชำระร่างกายก่อน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม