“สายลมเหนือ โลเล ไร้เยื่อใย
เหตุไฉน ขุนเขา รักคงมั่น
พันราตรี ไร้คู่เคียง เตียงเปลี่ยวร้าง
หมื่นทิวา อ้างว้าง เหน็บหนาวใจ”
ถนนหน้าลานวัดหลวงฝั่งตรงข้ามท่าด่านหลังวังมีร้านรวงใหญ่น้อยตั้งแผงค้าขายผ้าแพรเครื่องประดับของมีค่าขนาบทั้งสองข้าง เป็นแนวยาวไปจนถึงตลาดการค้าในเมืองหลวง ผู้คนที่มาชมการแข่งขันคัดเลือกหัวหน้านายกองในวันฉลองชัยการรบก็มีโอกาสเดินเลือกซื้อผ้าแพรเครื่องประดับไว้สวมใส่ในเทศกาลนุ่งผ้าใหม่ซึ่งจะจัดขึ้นต่อเนื่องอีกไม่กี่วัน ถือเป็นโอกาสให้ผู้ทำการขายได้ค้ากำไรเช่นกัน
หงกุ้ยฟางขอขึ้นเรือล่องมาพร้อมแม่ทัพจางหลี่หมิง เพื่อไปเดินเที่ยวชมตลาด เขากำชับให้นางนั่งเรือข้ามฟากที่ทางทหารจัดเตรียมไว้เป็นพิเศษกลับมาทันทีหลังจากเสร็จพิธีการแข่งขันคัดเลือกหัวหน้านายกอง ถึงแม้ว่างานเฉลิมฉลองจะยาวนานไปจนถึงช่วงหัวค่ำที่มีแผนการจุดพลุดอกไม้ไฟปิดงาน
“เชิญคุณชายแวะดื่มน้ำชา ร้านเรายังมีที่นั่งอยู่ตอนนี้ หากไม่รีบตัดสินใจประเดี๋ยวจบการแข่งขันคัดเลือกหัวหน้านายกองจะไม่เหลือที่ว่าง”
เสี่ยวเอ้อโรงเตี๊ยมกุลีกุจอเข้ามาเชิญชวน เห็นว่าหงกุ้ยฟางแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่มองผาดเดียวก็รู้ว่าราคาแพง ผิวพรรณขาวเนียนสะอาดสะอ้านดูมีราศีเช่นนี้อย่างไรก็ต้องเป็นผู้เกิดในตระกูลชั้นสูงที่ฐานะ
“มีเกาลัดคั่วด้วยหรือ”
กลิ่นหอมกรุ่นของเกาลัดคั่วโชยมาแตะจมูก น้ำลายที่สอในปากเปลี่ยนใจให้หงกุ้ยฟางหันหน้าเดินเข้าร้าน แม้ความตั้งใจแรกคืออยากจะเดินชมตลาดให้ทั่วเท่านั้น
“มีขอรับ เชิญคุณชายชั้นบน ที่นั่งตรงนั้นเหมาะสำหรับผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลแบบคุณชายมากกว่าชั้นล่างขอรับ”
เสี่ยวเอ้อกุลีกุจอเชื้อเชิญ เดินนำหงกุ้ยฟางเดินขึ้นชั้นบนซึ่งยกสูงคล้ายระเบียงและสามารถมองเห็นทิวทัศน์ด้านนอกอย่างชัดเจน
“ขอบใจ”
หงกุ้ยฟางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรงใจ ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่เสี่ยวเอ้อใช้ผ้าแพรที่เหน็บตรงเอวเช็ดให้นั่งด้วยความนอบน้อม เวลานี้ทั้งชั้นมีเพียงหงกุ้ยฟาง เพราะราคาและรายการอาหารแตกต่างกับชั้นล่าง
หลังจากสั่งอาหารเสร็จเพียงไม่นานเสี่ยวเอ้อผู้นั้นก็นำเกาลัดคั่วร้อนๆโชยกลิ่นหอมยั่วน้ำลายมาเสริฟพร้อมชุดดื่มน้ำชากรุ่นควันร้อนที่หอมชวนติดใจไม่แพ้กัน หงกุ้ยฟางแกะเกาลัดคั่วใส่ปากคำแล้วคำเล่าทานอย่างเอร็ดอร่อย พลางจิบชาร้อนดื่มกลั้วคอด้วยความสุข
“คุณชาย มีคนฝากของขวัญมาให้ขอรับ”
เสี่ยวเอ้อคนเดิมมาพร้อมกับม้วนกระดาษสีขาวแผ่นหนาผูกด้วยเชือกถักสีทองดูล้ำค่าจนผู้รับไม่กล้าปฏิเสธ
รอจนเสี่ยวเอ้อเดินจากไปหย่งฟางจึงแก้เชือกและคลี่ม้วนกระดาษออกดู หัวกระดาษเขียนคำว่า แด่ ‘เหม่ยเหลียน’ ที่แปลว่า ดอกบัวแสนสวย ดวงตาหงกุ้ยฟางเบิกกว้างเมื่อเห็นภาพวาดเต็มแผ่นกระดาษ นางรีบขยำกระดาษแผ่นนั้นจนยับเป็นก้อนกลมแล้วสอดเก็บเข้าอกเสื้อด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะหยิบเบี้ยออกมาวาง
ยังไม่ทันลุกขึ้นจากเก้าอี้ร่างสูงสง่าของชายหนุ่มรูปงามที่หงกุ้ยฟางจำได้อย่างแม่นยำแม้เคยเห็นเพียงผ่านตา พลันมาปรากฏอยู่ต่อหน้าโดยที่นางไม่ทันระวัง
“ในที่สุดข้าก็หาเจ้าเจอ”
ชายหนุ่มผู้นั้นยอบตัวนั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามหงกุ้ยฟางโดยไม่เสียเวลากล่าวขออนุญาต มุมปากที่ยกโค้งขึ้นเพียงเล็กน้อยเสริมให้เขามีเสน่ห์ดึงดูสายตาผู้คน รวมถึงหงกุ้ยฟางที่ไม่อาจถอนสายตาจากใบหน้าหล่อเหลา
กระทั่งเขาคลี่พัดกระดาษจันทร์หอมลวดลายวิจิตรและขยับพัดไปมา นางจึงรู้สึกตัวว่าเผลอไผลจ้องชายหนุ่มผู้นี้อยู่สองนาน
“ข้าชื่อหลี่หยางเฟย แล้วเจ้าชื่ออะไร”
เขาเอียงคอมองนางอย่างรอคอยคำตอบ
“ข้า... ข้าชื่อ หย่งฟาง” เสียงของหงกุ้ยฟางตะกุกตะกัก ทั้งที่ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงยังคงนั่งเสวนากับเขาอยู่
“ข้าอยากรู้ชื่อจริงของเจ้า ไม่ใช่ชื่อกำมะลอ”
เขาทำเสียงขบขันในลำคอ ดวงตาเรียวยาวนัยน์ตาสีนิลเลื่อมระยับยามพินิจมองวงหน้าเรียวสวยของสตรีในคราบเด็กหนุ่ม หนวดเทียมกับจอนผมจอมปลอมที่นางใช้อำพรางความงามไม่สามารถหลอกสายตาคนอย่างเขา
“นั่นคือชื่อจริงของข้า” หงกุ้ยฟางยืนกรานด้วยความดื้อรั้น แม้รู้แน่ว่าหลี่หยางเฟยจดจำนางได้
“ข้าจะเรียกเจ้าว่า ‘เหม่ยเหลียน’ ดอกบัวสีขาวแสนพิสุทธิ์ของข้า” หลี่หยางเฟยทำเสียงทุ้มต่ำยั่วเย้า
ใบหน้าขาวผ่องของหงกุ้ยฟางร้อนวูบวาบขึ้นอย่างกระทันหันเมื่อนึกถึงเหตุที่ทำให้มีภาพวาดเสมือนจริงของหญิงสาวเปลือยกายท่ามกลางสระบัว
“ข้าไม่ได้ชื่อ ‘เหม่ยเหนียน’ และไม่ได้เป็นดอกบัวของเจ้า”
หงกุ้ยฟางตะวาดใส่หน้าของหลี่หยางเฟยด้วยความกราดเกรี้ยว นางอยากจะลุกขึ้นและเดินหนีออกไปจากที่ตรงนั้น
“สวรรค์ลิขิตให้เจ้าเป็นของข้า เราทั้งสองมีสายเลือดแห่งเผ่าพันธุ์เดียวกัน”
เขาหุบพัดในมือและพูดกับหงกุ้ยฟางด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เหลวไหล!”
หัวใจหล่นวูบไปอยู่ที่ปลายเท้า จิตวิญญาณของนางถูกดึงดูดด้วยนัยน์ตาสีนิลที่ดำสนิทราวหุบเหวลึกของเขา สัญชาตญาณบอกว่าชายผู้นี้ไม่ได้กล่าวปดและเขาก็ล่วงรู้ว่านางไม่ใช่คนธรรมดา
“ที่เราได้พบกันไม่ใช่เรื่องเหลวไหล ทุกสิ่งในโลกล้วนเป็นไปตามลิขิตสวรรค์”
หงกุ้ยฟางกำหมัดแน่น เลือดในกายของนางวิ่งพล่าน ทว่าขาทั้งสองข้างแข็งชาไม่อาจขยับเขยื้อน
อารมณ์รื่นเริงของหลี่หยางเฟยขุ่นมัวทันทีที่รู้ว่านางถึงขนาดทุบขาตัวเองเพราะไม่ต้องการเผชิญหน้ากับเขา ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างไม่เต็มใจ
“ข้าจะต้องได้เห็นเจ้าสวมเสื้อผ้าสตรี ในคืนวันเพ็ญของเทศกาลนุ่งผ้าใหม่”
หงกุ้ยฟางปิดปากสนิทไม่ยอมกล่าวสิ่งใด กระทั่งร่างสูงใหญ่ของหลี่หยางเฟยเดินลับหายไปในกลุ่มฝูงชนซึ่งกรูกันเข้ามาในโรงเตี๊ยม
ตั้งแต่นั่งเรือข้ามฟากกลับมาที่ฝั่งท่าด่านหลังวัง หงกุ้ยฟางก็มีท่าทางอิดโรยเซื่องซึม แววตาเหม่อลอยครุ่นคิดถึงแต่เรื่องที่หลี่หยางเฟยกล่าว
“เหนื่อยหรือ สีหน้าเจ้าเหมือนคนไม่ค่อยสบาย” จางหลี่หมิงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
หงกุ้ยฟางมองเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามสิ่งที่รบกวนจิตใจนาง “ท่านไม่อยากเห็นข้าใส่เสื้อผ้าของสตรีบ้างหรือ”
สีหน้าของจางหลี่หมิงแสดงความประหลาดใจ แต่เพียงชั่วพริบตาเขาก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“เจ้ายังเดินไหวหรือไม่” ความหวังของนางวูบดับไปพร้อมกับคำถาม ทว่าหงกุ้ยฟางรีบกลบเกลื่อนด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“ข้าสามารถวิ่งร้อยลี้ได้สบายมาก ทำไมหรือ”
“ข้าอยากมีเพื่อนเดินเที่ยวตลาด”
นางเหลือบมองไปทางเหล่าทหารที่ได้รับคัดเลือกเป็นหัวหน้านายกองยังคงดื่มสุราสังสรรค์กันอยู่กับรองแม่ทัพหลิวและทหารองครักษ์อีกหลายนายด้วยความสรวลเสเฮฮา
“วันนี้ท่านไม่ต้องทำงานอีกแล้วหรือ”
“หน้าที่ทางทหารสำหรับวันนี้เสร็จสิ้นทุกอย่างแล้ว แต่ข้ายังมีหน้าที่อื่นซึ่งสำคัญกว่าต้องทำ”
ร่างสูงใหญ่ที่สวมชุดเครื่องแบบแม่ทัพเต็มยศลูกขึ้นอย่างกระปรี้กระเปร่า กลิ่นเหล้าหมักระเหยออกมาจากกายของเขาและใบหน้าแดงก่ำทำให้จางหลี่หมิงดูคล้ายหนุ่มเจ้าสำราญ
“หน้าที่อะไร”
เขายื่นมือมาให้หงกุ้ยฟางจับเพื่อลุกขึ้นจากเก้าอี้ รอจนกระทั่งร่างเล็กขยับเข้าใกล้จึงโน้มใบหน้าลงมากระซิบบอกนางพร้อมคลี่ยิ้มบางเบา
“ดูแลว่าที่ฮูหยินของข้า”
ราวกับว่าสายลมที่พัดมาจากแม่น้ำรั่วซี่ได้หอบเอาหัวใจซึ่งกองหล่นอยู่บนปลายเท้าคืนกลับมา