ตลอดหนึ่งสัปดาห์ก่อนเปิดเทอมเฉินเฟิ่นอี้ยุ่งมาก เธอกำลังคิดว่าจะทำอะไรระหว่างเรียน จะให้ขายของในตลาดมืดไปตลอดก็ไม่ได้ มันสามารถขายได้ก็จริงแต่ค่าใช้จ่ายก็ยังไม่พออยู่ดี
ที่บ้านคงให้เงินพวกเธอเดือนละสิบหยวนต่อเดือน ทั้งค่าอาหารมื้อกลางวันและค่าใช้จ่ายอื่นๆ สำหรับเฉินเฟิ่นอี้ที่คิดจะทำอาหารไปรับประทานระหว่างวันแค่นี้มันไม่พอ ถึงค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นแต่ถ้าได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนย่อมดีกว่า
ในหนึ่งเดือนเธอต้องทำเงินให้ได้ไม่ต่ำกว่าสองร้อยหยวน ได้มากเท่าไรยิ่งดี เพราะจากที่คำนวณคร่าวๆ ทั้งเงินไปโรงเรียน ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายยิบย่อยแต่ละคน เฉินเฟิ่นอี้ตั้งไว้คนละสิบหยวน ไม่มากและไม่น้อยเกินไป
วันนี้โรงเรียนเปิดเทอม เฉินเฟิ่นอี้จึงลุกมาทำอาหารตั้งแต่เช้ามืด ต้องไปถึงโรงเรียนก่อนเจ็ดโมงเช้า และเวลากลับบ้านคือห้าโมงเย็น ข้าวกล่องวันนี้เฉินเฟิ่นอี้ผัดหมูใส่หัวหอมและแครอท รับประทานคู่กับข้าวขาวและไข่หนึ่งฟอง ไม่พอยังมีสาลี่และแอปเปิลอย่างละสองซีก ซึ่งเธอทำให้แต่ละคนไม่เท่ากัน
เฉินไห่หลิว เฉินตง เป็นบุรุษที่ถึงจะไม่ได้ออกแรงแต่พวกเขากระเพาะใหญ่มาก เฉินเฟิ่นอี้จึงเพิ่มปริมาณให้พวกเขาเป็นพิเศษ ส่วนของเธอ เฉินเหม่ยเย่ และเฉินจาง เฉินเฟิ่นอี้ทำให้ในปริมานที่เท่ากัน จะมีเฉินจางที่เพิ่มเข้าไปอีกนิดหน่อย
นอกจากกล่องข้าวแล้วยังมีขวดน้ำที่เฉินเฟิ่นอี้แลกออกมาไว้ใช้งาน พอใส่รวมกับกล่องข้าวในกระเป๋าผ้ามันก็พอดี ก่อนหน้านี้เธอได้ถามทุกคนแล้วว่าสะดวกจะเอาไปหรือเปล่า เธอกลัวพวกเขาจะอายและไม่ได้บังคับเพราะทุกคนจะได้เงินไปโรงเรียน
แต่ทุกคนไม่ได้ปฏิเสธทั้งยังบอกว่าดีกว่าไปซื้อรับประทานอีก เพราะบางทีก็มีเพียงผัดผักให้รับประทาน อีกอย่างทุกคนบอกว่าจะได้ประหยัดเงินเก็บไว้ เฉินเฟิ่นอี้จึงลุกมาจัดเตรียมตั้งแต่เช้า โดยมีเฉินเหม่ยเย่ตื่นขึ้นมาช่วยระหว่างผัดหมู
ข้าวกล่องทั้งห้าถูกบรรจุใส่กระเป๋าผ้าพร้อมกับขวดน้ำ เฉินเฟิ่นอี้กับเฉินเหม่ยเย่จึงช่วยกันถือเข้าไปในบ้าน ตอนนี้เหล่าเด็กชายกำลังอาบน้ำและแต่งตัวกันอยู่ จากนั้นจึงแยกย้ายกันไปอาบน้ำและแต่งตัวจะได้รับประทานอาหารเช้า
หกโมงเช้าทุกคนแต่งตัวกันเสร็จเฉินเหม่ยเย่รับหน้าที่ตักข้าวให้ทุกคน เฉินเฟิ่นอี้เป็นคนตักกับข้าว ต้องบอกว่าด้วยการคำนวนปริมาณของเธอ ทั้งมื้อเช้าและมื้อกลางวันทุกคนรับประทานหมดพอดี
เฉินเฟิ่นอี้มองเสื้อผ้าที่เธอใส่ก่อนถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก มันเป็นชุดที่นักเรียนทุกคนในอำเภอใส่ แต่ไม่ใช่ชุดประจำโรงเรียน ก็คล้ายๆ กับการที่เห็นคนอื่นใส่เลยใส่ตาม มันเป็นเสื้อแขนยาวกางเกงขายาวที่บอกได้ว่าร้อนสุดๆ แต่จะให้ใส่ชุดแปลกแยกคนเดียวในวันเปิดเรียนก็ไม่กล้า
ไหล่ข้างหนึ่งสะพายกระเป๋าผ้าที่ซื้อมา มืออีกข้างหิ้วกระเป๋าอาหารกลางวัน ด้านหลังของเฉินเฟิ่นอี้มีน้องชายและน้องสาวเดินตามมา
โชคดีที่พี่น้องบ้านเฉินได้เรียนห้องเดียวกัน เฉินเฟิ่นอี้จึงไม่ได้กังวลมาก แต่ยังไงมันก็ต้องแยกกันอยู่ดี เฉินไห่หลิว เฉินตงเป็นผู้ชาย ส่วนเธอเป็นผู้หญิง จะมีกังวลก็เฉินจางกับเฉินเหม่ยเย่ ลำพังเด็กมัธยมปลายอย่างพวกเธอสามารถเอาตัวรอดได้ แต่ปีนี้เด็กทั้งสองเพิ่งขึ้นมัธยมต้น
“ใกล้เข้าห้องเรียนแล้วไปส่องน้องๆ ก่อนเถอะ” เฉินเฟิ่นอี้บอกเฉินไห่หลิวกับเฉินตงที่ยืนอยู่ข้างกัน ด้านหน้ามีนักเรียนเดินผ่านไปมา ซึ่งก็ไม่ได้แปลก นักเรียนมีเป็นร้อยคน
ทั้งหมดตกลงกันว่าจะไปส่งน้องเข้าห้องเรียนก่อนถึงจะพากันเข้าห้องเรียน ส่วนมื้อกลางวันค่อยออกมาเจอกันอีกทีบริเวณม้านั่ง ซึ่งครั้งก่อนเฉินไห่หลิวเคยพาน้องๆ มาแล้ว ทั้งคู่ย่อมจำทางได้
ส่งน้องชายน้องสาวเสร็จเฉินไห่หลิวก็เป็นคนเดินนำไปห้องเรียน ระหว่างทางก็มีคนมองดูเพราะเฉินเฟิ่นอี้มีผู้ชายประกบข้าง ซึ่งเธอไม่ได้สนใจ พวกเธอไม่ได้ทำอะไรผิดกันนี่ อีกอย่างภายในโรงเรียนก็เห็นว่าผู้ชายกับผู้หญิงสามารถเป็นเพื่อนกันได้แต่อย่าให้เกินงาม
“อี้เหม่ยเฟิ่งกับหมิงหลานฮุ่ยไม่ได้เรียนห้องเดียวกันกับพวกเราใช่ไหม” เฉินเฟิ่นอี้ถามเมื่อเห็นว่าใกล้ถึงห้องเรียนแล้ว เพราะเห็นคนเดินเข้าออกประตูห้อง
“ใช่ครับ แต่มีเพื่อนของหมิงหลานฮุ่ยคนหนึ่งที่เรียนห้องเดียวกันกับพวกเรา อ้อ มีพี่เจียวซีด้วยครับถ้าจำไม่ผิด” เฉินไห่หลิวพยักหน้า วันนั้นที่มาประชุมที่โรงเรียน ทางคุณครูพาเดินชมห้องเรียน และมีรายชื่อติดประกาศเอาไว้ว่านักเรียนอยู่ห้องไหน
การศึกษาเทอมแรกไม่ได้แบ่งแยกห้องว่าใครเก่งไม่เก่ง จะเป็นการเรียนรวมที่จะแยกกันอีกทีคือเทอมหน้า แต่ด้วยจำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้นทำให้ต้องแบ่งห้องกันก่อน เพื่อจะได้เรียนทั่วถึง อีกทั้งนักเรียนตำบลซื่อหลานของพวกเธอยังเข้าเรียนที่นี่หลายคน
เจียวซีเป็นคนที่เธอเข้าไปช่วยและหล่อนก็อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกับเธอ ไม่รู้ว่าหล่อนพักที่บ้านหรือเข้ามาพักในอำเภอ แต่เฉินเฟิ่นอี้นับถือใจบ้านเจียวจริงๆ ที่ยังยอมกัดฟันส่งเจียวซีเรียน แต่ก็อย่างว่าแหละ เจียวซีเป็นหลานคนเดียวของบ้าน
เฉินเฟิ่นอี้พยักหน้าพร้อมเข้าไปในห้องเรียนที่มีโต๊ะแบ่งแยกเป็นแถว เธอเลือกที่จะนั่งใกล้ๆ เฉินไห่หลิวและเฉินตง กระเป๋าผ้าที่ใส่อุปกรณ์การเรียนและกล่องข้าวถูกวางลงใต้โต๊ะไม่ให้กีดขวางทางเดิน เสียงพูดคุยยังดังต่อเนื่อง
เฉินไห่หลิวเล่าว่าห้องเรียนนี้มีสมาชิกทั้งหมดสี่สิบเจ็ดคน ผู้หญิงสิบแปดคนส่วนเหลือจะเป็นผู้ชาย ซึ่งจำนวนผู้หญิงที่กำลังเรียนถือว่าเยอะมากแล้วในปีนี้ ยังไม่รวมนักเรียนห้องอื่นอีกสองห้อง
“ฉันขอนั่งโต๊ะนี้ได้ไหม”
เฉินเฟิ่นอี้กำลังหยิบของออกจากกระเป๋า เงยหน้าขึ้นมองเสียงที่ถาม ด้วยโต๊ะถูกจัดเป็นคู่ทำให้เฉินเฟิ่นอี้นั่งคนเดียว ใจจริงก็อยากนั่งรวมกับน้องชายแต่ให้พวกเขานั่งด้วยกันจะดีกว่า และในความทรงจำเธอก็ไม่เห็นผู้ชายและผู้หญิงนั่งเรียนข้างกัน เธอพยักหน้าและขยับให้หล่อนนั่ง อย่างน้อยพวกเธอก็เป็นคนในหมู่บ้านและมาจากโรงเรียนเดียวกัน คงจะพูดคุยกันง่ายหน่อย
“นั่งสิ”
ปากเอ่ยกับเจียวซีแต่มือกลับยื่นปากกาไปให้น้องชายทั้งสอง เธอเพิ่งแลกมันออกมาจากระบบและลืมให้เขา ระหว่างพักรับประทานอาหารกลางวันจะต้องเอาให้เฉินเหม่ยเย่กับเฉินจางด้วย ซึ่งมันเป็นปากกาที่เธอเคยใช้และมันใช้ดีมาก อีกทั้งยังใช้ได้นานด้วย หากไม่หายก็ใช้ได้หลายเดือนเลย
“ขอบคุณ”
เจียวซีนั่งลงข้างๆ เฉินเฟิ่นอี้ หล่อนหันมองเพื่อนในห้องเงียบๆ หล่อนไม่เคยมีเพื่อนมาก่อนจึงไม่รู้ว่าจะเข้าหาเพื่อนคนอื่นยังไง ขนาดเพื่อนในโรงเรียนประจำตำบลหล่อนก็พูดคุยด้วยแค่ไม่กี่ครั้ง
“เธอพักที่ไหนเหรอ? คงไม่ใช่ว่าพักที่บ้านนะ” เฉินเฟิ่นอี้ใช้โอกาสนี้ถามหล่อน
“ไม่ ฉันพักที่บ้านยายน่ะ” เจียวซีส่ายหน้า ยังดีที่บ้านยายของหล่อนไม่ได้ใจร้ายถึงขั้นไม่ให้พักด้วย แต่หล่อนก็ต้องทำงานบ้านช่วยบ้านยาย
“ฉันนึกว่าเธอจะพักที่บ้าน” ด้วยสถานการณ์บ้านเจียว ถึงจะส่งเจียวซีเรียนแต่คงไม่ได้ทุ่มเทกับหล่อนทั้งหมด ได้ยินว่าตอนนี้สะใภ้บ้านเจียวกำลังตั้งท้องแล้ว
“ที่บ้านกลัวว่าฉันจะกลับดึกจึงมาคุยกับบ้านยายให้”
“อ้อ แนะนำตัวอย่างเป็นทางการก็แล้วกัน ฉันเฉินเฟิ่นอี้ น้องชายรองของฉันเฉินไห่หลิว และนั่นเฉินตงน้องชายสาม” นิ้วถูกชี้ไปตามชื่อที่เรียกเพื่อเอ่ยแนะนำ ถึงแม้ว่าหล่อนน่าจะรู้จักแล้วก็ตาม
“ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันเจียวซี พวกเธอคงรู้จักแล้ว” เจียวซีพยักหน้าและกล่าวแนะนำตัวบ้าง หล่อนรู้จักพี่น้องบ้านเฉิน แต่วันนี้เป็นวันแรกที่ได้ใกล้ชิดกันขนาดนี้ น่าอิจฉาพวกเขามากที่มีพี่น้องเล่นด้วย หล่อนเป็นลูกสาวและหลานคนเดียวของบ้านในตอนนี้จึงไม่ค่อยได้รู้จักพูดคุยกับใคร
เฉินเฟิ่นอี้กำลังจะกล่าวบางอย่างแต่มีคุณครูประจำชั้นเดินเข้ามาในห้อง ห้องเรียนที่เคยเสียงดังกลับเงียบสงบเมื่อครูเดินเข้ามาในห้อง ทุกคนรีบเดินเข้าไปนั่งโต๊ะประจำของตนเองที่จองเอาไว้ รวมถึงเธอที่นั่งหลังตรง
“เอาล่ะ…”
เวลาผ่านไปเร็วมากจริงๆ เรียนถึงวิชาที่สามก็มีเสียงตีระฆังดังขึ้น นั่นหมายความว่าถึงเวลารับประทานอาหารมื้อกลางวันแล้ว คุณครูจึงฝากการบ้านให้ไปฝึกในวิชานี้ก่อนจะปล่อยให้ไปรับประทานอาหาร ตอนบ่ายต้องกลับมาเรียนอีกหลายวิชา
นักเรียนทยอยเดินออกจากห้องเพื่อไปโรงอาหาร หากไปช้าก็ต้องต่อแถวและมีเวลารับประทานไม่นาน ยกเว้นสามพี่น้องบ้านเฉินที่รอทุกคนเดินออกจากห้องไปก่อนและเจียวซีที่ยังไม่ลุกออกไป
“เธอไม่ไปเหรอ” เวลานี้ทุกคนคงจองโต๊ะรับประทานอาหารกันหมดแล้ว บางคนอาจออกไปรับประทานข้างนอกโรงเรียน แต่ส่วนมากจะเป็นนักเรียนระดับมัธยมปลาย
“ฉันเตรียมอาหารมาด้วย” เจียวซีส่ายหน้า ที่บ้านของหล่อนให้ธัญพืชมาเยอะพอสมควรกับบ้านยาย หล่อนจึงทำอาหารมารับประทานที่โรงเรียน
“ดีเลย ไปนั่งรับประทานอาหารกับพวกฉันไหม แต่จะมีเฉินเหม่ยเย่กับเฉินจางด้วย” ตอนนี้เด็กๆ คงไปนั่งรอบริเวณม้านั่งแล้ว พวกเธอเลิกเรียนช้ากว่าห้องอื่น
“จะดีเหรอ” เจียวซีลังเล เพราะอาหารที่หล่อนนำมาค่อนข้างไม่น่ากิน ได้ยินว่าบ้านเฉินรับประทานข้าวขาวจึงไม่กล้าเข้าไปนั่งด้วย แต่ถ้าหล่อนไม่ตามพวกเขาไปก็ต้องนั่งคนเดียว
“ดีสิ ไปเถอะ”
พอเห็นว่าทุกคนในห้องเดินออกไปกันหมดแล้วเฉินเฟิ่นอี้เลยชวนทุกคนออกไปบ้าง ทั้งหมดที่เก็บของรอแล้วจึงลุกขึ้นคว้ากระเป๋าพร้อมเดินออกจากห้อง เฉินเฟิ่นอี้เดินนำพร้อมเจียวซี ส่วนเฉินไห่หลิวกับเฉินตงถูกทิ้งไว้ด้านหลัง
เฉินเฟิ่นอี้เห็นม้านั่งแล้วเธอจึงไม่ต้องรอให้เฉินไห่หลิวบอกทาง อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ทักหมายความว่าเธอเดินถูกทางแล้ว เดินไปไม่นานก็ถึงม้านั่งที่มีคนต่างมาจับจอง บางคนกำลังรับประทานอาหารที่เตรียมมาซึ่งมีหลายคนมาก มันไม่ได้แปลกเลยเพราะต้องประหยัดเท่าที่จะประหยัดได้
“เหม่ยเย่ เฉินจาง” เฉินเฟิ่นอี้เอ่ยทักพร้อมนั่งลงตรงที่ว่าง ทั้งคู่กำลังสนทนาเรื่องบางอย่างกัน กล่องข้าวยังไม่ถูกหยิบออกจากกระเป๋าผ้าที่เธอเตรียมให้
“พวกพี่มาแล้วเหรอ เอ๊ะ! นั่นพี่เจียวซีนี่” เฉินเหม่ยเย่เอ่ยทักพลางชี้ไปยังเจียวซีที่ยืนอยู่ด้านหลังของเฉินเฟิ่นอี้ที่นั่งลงแล้ว หล่อนหันมามองพี่สาวอย่างสงสัย
“อืม พี่เจียวซีจะมารับประทานอาหารกับพวกเราด้วย” เธอพยักหน้าและขยับให้คนอื่นได้นั่ง โชคดีที่โต๊ะนี้นั่งได้หกคนพวกเธอจึงไม่ได้แยกกันนั่ง