อาหารที่เจียวซีห่อมารับประทานที่โรงเรียนมีเพียงแผ่นแป้งแข็งและผักดองลวก เฉินเฟิ่นอี้จึงแบ่งอาหารส่วนของเธอให้หล่อนไปด้วย ถึงแม้เจียวซีจะพยายามปฏิเสธแต่ก็ไม่ได้ผล และต้องรับประทานให้หมดไม่อย่างนั้นเฉินเฟิ่นอี้จะโกรธ
หลังจากวันนั้นเฉินเฟิ่นอี้จึงทำอาหารไปเผื่อเจียวซีทุกวัน ถึงบางวันหล่อนจะรีบแยกตัวออกไปรับประทานคนเดียวแต่ก็ถูกเฉินเฟิ่นอี้ตามจนเจอ ต้องบอกว่าเจียวซีกลายมาเป็นเพื่อนของเธอแล้วก็ได้ เฉินเฟิ่นอี้เห็นว่าเจียวซีรับประทานไม่มากจึงไม่คิดว่ามันจะเสียหายหากทำอาหารเพิ่มขึ้นอีกหน่อย
เฉินเฟิ่นอี้เริ่มเห็นช่องทางของการทำเงินแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ต้องรอให้ทุกคนทนไม่ไหวเข้ามาติดต่อเธอเอง หรือไม่ก็ต้องสอบถามคนที่ดูเหมือนจะสนใจ เฉินเหม่ยเย่กับเฉินจางทั้งคู่ขอไม่รับประทานอาหารร่วมกับพวกเธอ เห็นว่าไปนั่งรวมกับเพื่อนใหม่และเฉินเฟิ่นอี้เคยไปแอบดูแล้วถึงไว้วางใจ
ทุกครั้งที่เธอเปิดกล่องข้าวอาหารกลางวัน เพื่อนร่วมห้องที่เริ่มเข้ามานั่งรอบข้างต่างหันมาสนใจเพราะมันส่งกลิ่นหอม เฉินเฟิ่นอี้ก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่ากล่องข้าวสามช่องที่เธอแลกออกมาสามารถอุ่นอาหารได้ด้วย ไม่เชิงว่าอุ่นอาหารแต่มันเก็บอุณหภูมิที่ร้อนไว้ได้นานมาก ซึ่งรสชาติของอาหารมันจึงคงที่
เริ่มเรียนมาได้สองสัปดาห์เฉินเฟิ่นอี้จึงค้นพบว่ามันเรียนง่ายมาก ทุกวันนี้เวลาว่างเธอจะสอนภาษาต่างประเทศให้น้องชายและเจียวซี หากวันนั้นได้เรียนและบางครั้งเพื่อนร่วมห้องของพวกเธอก็ขอให้ช่วยสอนภาษาต่างประเทศให้ด้วย ส่วนเฉินเหม่ยเย่กับเฉินจางจะสอนหลังเลิกเรียน
ทุกคนในห้องมีแต่คนที่นิสัยและอารมณ์ดี ไม่มีใครขัดแย้งหรือกระทบกระทั่งกัน เห็นว่าส่วนมากเรียนที่นี่ตั้งแต่มัธยมต้นจึงไม่แปลกที่จะสนิทกัน และจากที่เห็นหลายคนมีฐานะปานกลางและมีเงินพอสมควร คงจะมีเพียงพวกเธอที่มาจากหมู่บ้านซื่อหลานที่ค่อนข้างจะขาดแคลน แต่ทุกคนไม่มีใครรังเกียจ
“เฟิ่นอี้พวกเธอจะไปรับประทานอาหารกันแล้วเหรอ”
อยู่ๆ จี้หลัน คุณหนูประจำห้องเรียนก็เดินเข้ามาขวาง หลังครูและเพื่อนร่วมชั้นบางคนเริ่มเดินออกจากห้องไปแล้ว เฉินเฟิ่นอี้หันไปสบตากับสหายก่อนหันมามองจี้หลันอีกรอบ จากที่ได้ยินมาสกุลจี้ของจี้หลันมีโรงงานเย็บผ้าเป็นของตนเอง จึงมีหลายคนที่เรียกหล่อนว่าคุณหนูจี้ แม้หล่อนจะบอกว่าไม่ต้องเรียกก็ตาม อย่างที่เคยกล่าวไว้ เพื่อนร่วมห้องของเธอมีแต่คนนิสัยดี
“อืมใช่ คุณหนูจี้มีอะไรหรือเปล่า” ด้วยความเคยชินเฉินเฟิ่นอี้จึงเรียกหล่อนเหมือนกับคนอื่น แม้หลายคนจะเรียกแบบนี้เพราะต้องการแซวอีกฝ่ายก็ตาม
“ฉันชื่อจี้หลัน เรียกดีๆ กันได้ไหม” จี้หลันเท้าเอวพลางถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่ม แต่ที่แน่ๆ เพื่อนสนิทหล่อนไม่ยอมเรียกจี้หลันแล้ว
“คนอื่นยังเรียก” เฉินเฟิ่นอี้พึมพำ มือของเธอยังเก็บของลงกระเป๋า วิชาสุดท้ายก่อนรับประทานอาหารกลางวันเป็นภาษาต่างประเทศ จึงต้องรีบรับประทานอาหารและมาทบทวนบทเรียนให้เจียวซีด้วย เฉินไห่หลิวกับเฉินตงยังพอสอนนอกรอบได้เนื่องจากอยู่บ้านเดียวกัน แต่เจียวซีหล่อนไม่สามารถไปบ้านของเธอได้
“คนอื่นเรียกเธอก็อย่าเรียกตามสิ!”
“ช่างเถอะๆ แล้วเธอมีอะไร” ในห้องเรียนเฉินเฟิ่นอี้เคยสนทนากับอีกฝ่ายแค่ตอนสอนภาษาต่างประเทศเท่านั้น นอกจากนั้นทุกคนก็จะแยกย้ายกัน
“อะ แฮ่ม ฉันเห็นเธอทำอาหารมาเผื่อเจียวซีทุกวัน พอจะทำให้ฉันได้บ้างหรือเปล่า” จี้หลันเดินเข้าใกล้เฉินเฟิ่นอี้พร้อมกระซิบเสียงเบา สายตาของหล่อนหันไปมองเพื่อนๆ ที่รีบเดินออกจากห้องเหมือนกับทุกวัน
“ฉันทำอาหารให้ตัวเองกับน้องๆ อยู่แล้ว ที่เจียวซีได้รับประทานน่ะเพราะฉันทำเยอะ ฉันไม่สามารถทำให้คนอื่นได้อีกหรอกนะ มันใช้เงินมาก” ต้องจ้างทำอาหารเท่านั้นและใช่ นี่คือช่องทางการทำเงินของเฉินเฟิ่นอี้ เธอจะทำอาหารขายให้ทุกคนแต่มีข้อแม้ว่าต้องมารับก่อนไปโรงเรียนตามสถานที่นัดหมาย เฉินเฟิ่นอี้ไม่ต้องการให้พวกเขามาที่บ้าน แต่จะให้ไปส่งที่โรงเรียนก็ถูกจับตาแน่นอน
“ฉันจ่ายเงินให้เธอก็ได้ นะๆ ฉันให้ปิ่นโตละหนึ่งหยวนเลย!” จี้หลันไม่ลังเล หล่อนยังเสนอราคาให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนอีก สำหรับคนอื่นอาจจะมากไป แต่สำหรับจี้หลันมันก็เป็นเพียงเงินที่เธอใช้จ่ายทุกวัน
เฉินเฟิ่นอี้ตาวาวกับจำนวนเงินที่จะได้หากรับทำอาหารมื้อกลางวัน กล่องข้าวที่เธอทำมาในแต่ละวันหากให้เฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่คนละหนึ่งถึงสองเฟิน บางวันก็ไม่ต้องนับเพราะใช้วัตถุดิบที่มีในบ้าน ถ้าได้เงินนี่มาเธอก็ได้ทั้งเงินไปเรียนให้น้องๆ และค่าใช้จ่ายอื่นอีก
“เธอก็รู้ว่าหากมีคนรู้มันจะเป็นยังไง” ยังไงก็ขอเล่นตัวก่อนเพราะเรื่องนี้ต้องคิดให้ดี เฉินตงกระตุกแขนเสื้อเธอหลายครั้งแต่เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้สนใจ
“เรื่องนี้มันจะไปยากอะไร แค่บอกว่าฉันอยากรับประทานอาหารฝีมือเธอก็เลยฝากทำให้” จี้หลันต่อรองเมื่อทุกคนเดินออกจากห้องไปหมดแล้ว ยกเว้นเพื่อนสนิทของหล่อนที่ยืนมองเล็บอยู่ด้านหลังอย่างเฉยเมย
“หนึ่งหยวนห้าเหมา” เฉินเฟิ่นอี้ต่อรองราคาเพราะดูเหมือนคนข้างหลังก็ต้องการจะให้เธอทำให้ด้วย ต่อจากนี้ก็จะมีคนมาสั่งทำเธอจะได้ไม่ต้องอัพราคา
“นี่มันจะแพงเกินไปแล้วนะ” ซ่งเวยหลานเพื่อนสนิทของจี้หลันกล่าวขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย บ้านของหล่อนก็ค่อนข้างจะมีฐานะพอสมควร เงินเพียงแค่นี้หล่อนจ่ายได้ แต่มันเยอะเกินไปจริงๆ
“คุณหนูซ่งคะ เรื่องนี้มันเสี่ยงมากเลยนะ” เฉินเฟิ่นอี้กล่าวยิ้มๆ ซ่งเวยหลานก็เป็นอีกคนที่ถูกเรียกว่าคุณหนู ถึงสกุลซ่งจะด้อยกว่าสกุลจี้ แต่พวกเขาย่อมจ่ายไหว
“ไม่เอาน่าเวยหลาน หนึ่งหยวนห้าเหมา ใช่ไหม ฉันจ่ายได้ แต่ต้องทำสองปิ่นโตนะ!” แลกกับการรับประทานอาหารที่ส่งกลิ่นหอมก็นับว่าคุ้มแล้ว
“ได้ ฉันจะทำให้ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ก่อนมาเรียนให้ไปรอรับที่ตรอกจันทร์พร้อมเงิน” เฉินเฟิ่นอี้พยักหน้าพร้อมบอกสถานที่นัดหมายที่คิดเอาไว้
ตรอกจันทร์เป็นซอยเปลี่ยวที่ใกล้ตลาดมืด แต่เป็นสถานที่ปลอดภัย มันอยู่ระหว่างทางเดินผ่านไปโรงเรียนพอดีจึงถูกเลือกเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนของ อีกอย่างก็มีคนเดินผ่านไปผ่านมาพอสมควร
พอตกลงราคาและสอบถามถึงสิ่งที่ไม่รับประทานแล้วจึงแยกย้ายกันไป เฉินเฟิ่นอี้เดินนำเจียวซีและน้องชายทั้งสองไปยังโต๊ะประจำที่ชอบไปนั่ง
ภาษาต่างประเทศเป็นวิชาที่ยากมากสำหรับเด็กมัธยมหลายๆ คน ทางโรงเรียนจึงมีการจัดการสอนพิเศษให้สำหรับคนที่อยากเรียนและผู้ปกครองที่ต้องการส่งลูกหลานเรียน แน่นอนว่ามันต้องเสียเงินจึงจะเรียนได้
เฉินเฟิ่นอี้ถอนหายใจพร้อมเริ่มเขียนอักษรแต่ละตัวให้เพื่อนร่วมห้องดู คาบเรียนช่วงบ่ายถูกปล่อยว่างเนื่องจากมีการประชุมของคุณครู หลังจากเข้ามานั่งรอเรียนในห้องเมื่อได้รับคำประกาศทุกคนก็พุ่งมายังเธอให้สอนทันที
เรื่องการสอนมันไม่ใช่ปัญหา แต่จะให้เขียนตลอดเฉินเฟิ่นอี้ทำไม่ได้ เธอจึงมีความคิดที่จะทำหนังสือและคัดลอกมันขึ้นมา ด้วยฝีมือของน้องๆ เฉินเฟิ่นอี้เชื่อว่าในหนึ่งวันเธอจะได้พอประมาณ แต่ก่อนที่เธอจะทำ ต้องลองสอบถามเพื่อนร่วมห้องเรียนก่อน
“ไม่ใช่ เว่ยฟ่งนายต้องเพิ่มตัวนี้ไปด้วย ไม่อย่างนั้นความหมายมันจะเปลี่ยน” เฉินเฟิ่นอี้ส่ายหน้าพร้อมชี้จุดไปด้วย คุณครูใกล้จะมาสอนวิชาต่อไปแล้ว เธอจึงให้เพื่อนๆ ลองทำงานมาส่งตามที่ได้สอนไป
“แต่มันตัวเดียวกันนะ”
“นายต้องดูดีๆ” น่าเสียดายที่มีเวลาไม่มาก เฉินเฺฟิ่นอี้จึงต้องสอนให้มองกว้าง มากกว่าสอนให้เข้าใจ
เหมือนเว่ยฟ่งจะเห็นถึงปัญหา เขารีบแก้ทันที สร้างความพอใจให้กับคนสอนอย่างเฉินเฟิ่นอี้มาก และเธอก็ไม่ได้สอนเขาแค่คนเดียว หลังปล่อยให้เขาจัดการงานของตนเอง เฉินเฟิ่นอี้ก็เดินดูของคนอื่นๆ ไปด้วย ใครที่สงสัยตรงไหนก็สามารถถามได้เพราะเธอดูแลไม่ทั่วถึง การเรียนไม่มีผิดไม่มีถูกหากเรียนรู้ด้วยความตั้งใจ
เฉินเฟิ่นอี้เปิดหนังสือเรียนระหว่างที่เพื่อนๆ กำลังเขียนชื่อตนเองเป็นภาษาต่างประเทศตามที่เธอได้สอน เพราะครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกจึงไม่แปลกที่เธอจะปล่อยพวกเขาให้ทำเอง ใครที่เขียนชื่อตนเองได้แล้วก็ใช่ว่าจะผ่าน ต้องเขียนให้ได้ตลอดจึงจะผ่าน
ถ้าจำไม่ผิดการสอนพิเศษและรับเงินไม่ถือว่าผิดกฎหมาย เฉินเฟิ่นอี้จึงอยากลองทำในส่วนนี้ดู และเธอไม่ห่วงว่าน้องๆ จะสงสัย เพราะว่าตลอดระยะที่ผ่านมาเฉินเฟิ่นอี้ก็จะสอนทุกคนไปด้วย ยิ่งเฉินเหม่ยเย่จะถูกเธอจับตาเป็นพิเศษ
วิชาต่อไปเป็นวิชาคณิตศาสตร์ นักเรียนทุกคนจึงตั้งใจเรียนเป็นพิเศษ หากไม่นับรวมกับวิชาภาษาต่างประเทศ คณิตศาสตร์จึงเป็นตัวเลือกที่หลายคนไม่ชอบ นอกจากเรียนยากแล้วยังต้องปวดหัวกับตัวเลขต่างๆ
เฉินเฟิ่นอี้บิดตัวไปมาด้วยความเมื่อยล้าจากการเรียนทั้งวัน ทุกคนยังทำเหมือนเดิมคือการต่อแถวออกจากห้องและกลับบ้าน แต่สามพี่น้องบ้านเฉินต่างรอกลับหลังสุด
“ฉันได้ยินว่าคุณหนูจี้สั่งทำอาหาร” เว่ยฟ่งเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น เขาก็เป็นหนึ่งในคนที่อยากรับประทานอาหารฝีมือของเฉินเฟิ่นอี้ แต่ที่ไม่ได้เข้าไปทักตั้งแต่แรกเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงหวาดกลัว
“นายได้ยินมาจากไหน”
ยอมรับว่าสิ่งที่เว่ยฟ่งพูดสร้างความตกใจให้กับเฉินเฟิ่นอี้เป็นอย่างมาก ยังไม่ถึงวันจี้หลันก็นำเรื่องนี้ไปพูดแล้วเหรอ? หากเธอยังดึงดันจะทำอาหารขายคุณหนูจี้อยู่ แล้วเกิดซวยขึ้นมาล่ะ
“ไม่ต้องห่วง ผมเป็นลูกพี่ลูกน้องของจี้หลันเองครับ” เหมือนเว่ยฟ่งจะรู้ว่าเธอหวาดกลัวจึงรีบเฉลยออกมา
“อ้อ”
“ผมอยากทำบ้างแต่สามปิ่นโต”
เฉินเฟิ่นอี้ตาโตมองเว่ยฟ่งอีกรอบ พอจะรู้ว่าแต่ละคนมีฐานะกัน แต่เธอไม่คิดว่าจะใช้กันทุกวันขนาดนี้ ขนาดเธอที่หาเงินได้เองยังไม่กล้าใช้มากเลย
“นายรู้รายละเอียดจากหล่อนมาหรือเปล่า” เพราะขี้เกียจอธิบายอีกรอบและอยากกลับบ้านไวๆ จึงรีบถาม
“รู้ครับ”