วันนี้เป็นวันแรกที่เฉินเฟิ่นอี้ต้องทำอาหารให้กับจี้หลันและเว่ยฟ่ง รวมถึงเพื่อนสนิทของพวกเขา เธอจำเป็นต้องตื่นก่อนเวลาที่ต้องตื่นเพื่อมาเตรียมอาหารให้พร้อม ปิ่นโตทั้งห้าเพื่อนร่วมห้องเรียนของเธอจะเอามาให้วันนี้ตอนเย็น เธอจึงต้องทำใส่กล่องข้าวที่มีในบ้านไปก่อน
เฉินเฟิ่นอี้หั่นเนื้อให้เป็นชิ้นเล็กๆ เธอจะผัดใส่แตงกวาที่เพื่อนลุงสามเอามาให้เมื่อวานตอนเย็น ไม่มีใครแพ้หรือไม่รับประทานอะไร เฉินเฟิ่นอี้จึงทำเมนูเดียวเพื่อประหยัดเวลา ระหว่างเตรียมทำกับข้าวก็หุงข้าวทิ้งเอาไว้
“ทำอะไรครับ” เฉินไห่หลิวที่ลุกมาเข้าห้องน้ำเอ่ยถาม อีกหนึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาที่ควรลุกมาทำอาหารและแต่งตัวไปโรงเรียน แต่วันนี้เฉินเฟิ่นอี้กลับตื่นเช้ากว่าปกติ
“เฉินไห่หลิว” เธอเอ่ยทักเขาพร้อมล้างแตงกวาไปด้วย โชคดีที่ในบ้านมีน้ำประปาให้ใช้ไม่ต้องไปตักเหมือนในหมู่บ้าน เฉินเฟิ่นอี้จึงคิดว่ามันสะดวกมาก
“ทำไมถึงหุงข้าวเยอะขนาดนี้” เขาถามอย่างสงสัย ซึ่งตอนที่จี้หลันและเว่ยฟ่งเข้ามาพูดคุยกับเฉินเฟิ่นอี้เขาไม่ได้อยู่ด้วย
“พวกจี้หลันกับพวกเว่ยฟ่งอยากให้ทำไปให้น่ะ” เฉินเฟิ่นอี้ตอบก่อนหยิบผลไม้ที่เอาออกมาแช่น้ำทิ้งไว้ขึ้นมาหั่นต่อ กล่องข้าวทั้งหมดจะมีผลไม้ด้วย ง่ายๆ ก็คือพวกเธอรับประทานอะไรกล่องข้าวที่ต้องทำก็เหมือนกันหมด
“เดี๋ยวนะ” เฉินไห่หลิวที่กำลังงัวเงียเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เหมือนเริ่มประติดประต่อเรื่องราวได้ พี่สาวของเขาไม่มีทางทำให้ฟรีแน่ยกเว้นพี่เจียวซี
“นายเข้าใจถูกแล้ว ฉันรับทำเพราะพวกเขาจะให้เงินเป็นของแลกเปลี่ยน” เฉินเฟิ่นอี้คลายความสงสัยของน้องชาย ไหนๆ คนที่ต้องนำกล่องข้าวไปส่งก็เป็นเฉินไห่หลิวกับเฉินตงอยู่แล้ว ให้เขารู้เรื่องนี้ไปเลย
อีกอย่างเฉินเฟิ่นอี้ตัดสินใจจะบอกเรื่องระบบแลกของกับน้องๆ ทุกคน เธอเพิ่งได้รับฟังก์ชั่นการเก็บของไว้ในระบบที่สามารถแลกเก็บเอาไว้ได้ อยากใช้หรือจำเป็นที่ต้องใช้เมื่อไหร่ก็กดออกมาได้ไม่จำกัด ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเธอมาก ไม่พอ เฉินเฟิ่นอี้ยังเห็นว่าเธอสามารถแลกแต้มสะสมกับตั๋วเงินได้ด้วย
ทุกวันนี้ภารกิจของเฉินเฟิ่นอี้ง่ายมาก เคยถามระบบดูมันบอกว่าระบบจะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ เช่น มีหลายครั้งที่ภารกิจของเธอต้องสอนภาษาต่างประเทศให้เพื่อนร่วมห้อง จนบางครั้งเธอก็เริ่มอยากจะสอนพิเศษ
ในความทรงจำ การสอนพิเศษแลกกับเงินสามารถทำได้ เฉินเฟิ่นอี้คิดจะนำเรื่องนี้ไปถามคุณครูที่ปรึกษาของห้อง เพียงแต่ว่าเขาเป็นหนึ่งในครูที่สอนพิเศษให้กับทางโรงเรียน เฉินเฟิ่นอี้จึงกลัวว่าจะถูกหมายหัว
“เรื่องนี้มันเสี่ยงมากเลยนะครับ พี่คิดใหม่อีกทีจะดีกว่าไหม” เฉินไห่หลิวไม่เห็นด้วย แค่เงินในบ้านที่ได้รับมาสำหรับพวกเขาก็เพียงพอแล้วนี่ ทำไมต้องทำอะไรให้เสี่ยง อีกอย่างลุงสามกับพี่ชายใหญ่ยังเป็นทหาร
“เฉินไห่หลิวนายคิดว่าแค่เงินที่ย่าให้พวกเรามามันจะเพียงพอเหรอ? แล้วนายคิดว่าลุงสามจะเอาเงินจากไหนมาให้พวกเราถ้าไม่เสี่ยงทำภารกิจอันตรายเพิ่ม นายอยากให้มันเป็นแบบนั้นเหรอ” เฉินเฟิ่นอี้ถาม เหลือเวลาอีกหลายปีลุงสามถึงจะเกษียณอายุราชการ หากปล่อยให้ทำงานอันตรายต่อไปคงอยู่ไม่ถึงแน่
“แล้วที่ผ่านมาไม่ใช่เงินที่ย่าให้เหรอครับ”
“ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว เงินที่พวกนายได้ไปโรงเรียนในแต่ละวันเป็นเงินที่ย่าเฉินให้พวกเรา ส่วนค่าอาหาร ค่าอะไรอื่นๆ เป็นเงินที่ฉันหามา เฉินตงรู้เรื่องนี้ดี พวกนายไม่ได้คุยกันหรือ” ทุกครั้งที่เข้าตลาดมืดเฉินไห่หลิวย่อมรับรู้
เฉินไห่หลิวยืนเงียบเมื่อได้ยินอย่างนั้น สิ่งที่พี่สาวพูดออกมามันถูกทุกอย่าง ลุงสามย่อมเสี่ยงอันตรายเพื่อหาเงินเพิ่มให้พวกเขา อีกอย่างทุกวันนี้อาหารการกินมันดีกว่าแต่ก่อนมากโข
“ทะเลาะอะไรกันตั้งแต่เช้า” เฉินตงยืนกอดอกพิงประตูพร้อมเอ่ยถาม ด้านหลังยังมีเฉินเหม่ยเย่กับเฉินจางที่งัวเงียอยู่
“ฉันทำให้พวกนายตื่นเหรอ” เฉินเฟิ่นอี้ตกใจเพราะทุกคนตื่นก่อนเวลาเป็นชั่วโมง แต่คงทำอะไรต่อไม่ได้แล้ว เด็กพวกนี้หากตื่นแล้วคือตื่นเลย
“ไม่ใช่หรอกค่ะ พวกเราจะมาเข้าห้องน้ำพอดี” เฉินเหม่ยเย่ปฏิเสธ พอเห็นว่าในครัวมีเสียงพูดคุยจึงได้เอ่ยทัก
“ดีเลย เฉินตงพาน้องไปเข้าห้องน้ำก่อนค่อยกลับมาคุยกัน”
“ได้ครับ”
เพราะที่นี่ไม่ใช่บ้านเฉินและในหมู่บ้าน ทุกครั้งที่มีใครอยากเข้าห้องน้ำยกเว้นเฉินไห่หลิวกับเฉินตง ให้ปลุกใครคนใดคนหนึ่งให้พาออกไปด้วย เฉินเฟิ่นอี้ล้างมือเมื่อจัดผลไม้เข้ากล่องระหว่างรอทุกคน โดยมีเฉินไห่หลิวที่ยืนนิ่งไม่ไปไหน
วันนี้จะได้เงินเจ็ดหยวนห้าเหมา ซึ่งถือว่าเยอะมาก เฉินเฟิ่นอี้จะแบ่งแยกเงินส่วนนี้ไว้สำหรับการเรียนในมหาวิทยาลัยหลายปีข้างหน้า ส่วนค่าอาหารของพวกเธอจะหักเงินในส่วนที่เหลือจากย่าเฉินให้ เช่น ย่าเฉินให้เดือนละเจ็ดหยวน เงินไปโรงเรียนเมื่อรวมห้าคนแล้วตกสามหยวน ส่วนที่เหลือจะถูกรวมกับเงินขายอาหาร หลังจากได้รับเงินขายอาหารมา มันก็จะถูกแบ่งเก็บและทำอาหารในวันต่อไป ส่วนเงินที่เฉินเฟิ่นอี้นำของไปขายในตลาดมืดจะถูกแบ่งเก็บไว้เรียน เงินสำรอง และสำหรับใช้จ่ายต่างๆ
เฉินเฟิ่นอี้รอข้าวสุกหลังเตรียมอะไรเสร็จจึงเข้าไปรอในห้องโถง เฉินไห่หลิวเดินมานั่งลงตรงข้าม เธอปล่อยให้เขามองหน้าต่อไป ส่วนตนเองก็หยิบหนังสือมาอ่านไปพลางๆ ที่นี่มีไฟฟ้าใช้ ถึงจะสลัวแต่ก็พออ่านออก
เฉินตง เฉินเหม่ยเย่ และเฉินจางเดินเข้ามานั่งด้วยอย่างงงๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบ เฉินตงเห็นเค้าโครงว่าจะโดนด่าเมื่อเงยหน้ามองพี่ชาย เขาตวัดสายตาไปมองพี่สาวที่ปิดหนังสือลง
“เอาล่ะ ฉันจะบอกความจริงให้ฟัง แต่เรื่องนี้ยกเว้นพวกเรา พี่ชายใหญ่ พี่สาวใหญ่ และพี่สาวรอง คนอื่นห้ามรับรู้ด้วย” เฉินเฟิ่นอี้ทำข้อต่อรอง เรื่องการขายอาหารบ้านเฉินอาจต้องรับรู้แต่ยังไม่ใช่เร็วๆ นี้ รอให้พวกเขาตายใจก่อนเธอถึงจะบอก
“เรื่องอะไร”
“ได้ค่ะ”
“ครับ”
ยกเว้นเฉินตงที่เหงื่อเริ่มไหลทุกคนตอบคำถามของเธอ เฉินเฟิ่นอี้แทบหลุดขำเพราะสีหน้าของเขา มือข้างขวาตวัดไปมาก่อนจะมีกระดานใสเกิดขึ้นเหมือนคราวของเฉินตง ทุกคนเบิกตากว้างและถอยหลังออกไป ไม่เว้นแม้กระทั่งเฉินตงที่เห็นเป็นครั้งที่สอง
“นี่คือกระดานใส มันสามารถแลกของออกมาได้ ก่อนหน้านี้ที่ทุกคนได้รับประทานข้าวขาว เนื้อกระต่าย พวกแป้งหรือไข่ ก็เป็นพี่ที่นำมันออกมา” เฉินเฟิ่นอี้เริ่มพูด เธอยังจัดการค้นหาของต่างๆ ที่ต้องการแลกออกมาให้ทุกคนดู แอบมองเฉินไห่หลิวที่มองอย่างไม่เชื่อสายตาก็ทำได้แค่ถอนหายใจ
“ที่ย่าบอกว่าให้เงินพี่ไปซื้อมา มันไม่ใช่ความจริงงั้นหรือ” เฉินไห่หลิวเพิ่งจะหาน้ำเสียงตนเองเจอ เขามองกระดานใสที่ว่าด้วยความเหลือเชื่อ
“ใช่”
“ฉันบอกแล้วว่าฉันมองไม่ผิด!” เฉินเหม่ยเย่หันไปพูดกับเฉินจางที่มองกระดานใสอย่างตื่นเต้น
“หมายความว่ายังไง” เฉินเฟิ่นอี้ขมวดคิ้ว หรือน้องสาวของเธอจะมองเห็นกระดานใสแต่มันเป็นไปไม่ได้ ระบบบอกว่ามีเพียงเธอและคนที่เธอต้องการให้ดูเท่านั้นถึงจะสามารถมองเห็นได้
“วันนั้นที่พี่ฟื้นจากอาการป่วย ฉันก็เห็นกระดานใสนี่ตามติดพี่ไปตลอด” ไม่ใช่เพียงหล่อนเท่านั้นยังมีเฉินจางอีกคน แต่ที่ไม่ได้ถามก็เพราะคิดว่าตาฝาดและไม่มีใครทักก็คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ
“เรื่องจริงเหรอ!” ทำไมระบบถึงไม่บอกเธอ หรือมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น แล้วคนอื่นๆ ล่ะ จะเห็นเหมือนที่น้องสี่ของเธอเห็นหรือเปล่า เฉินเฟิ่นอี้กังวล
“ครับ”
“พี่มีเจ้ากระดานใสนี่แล้วทำไมยังต้องทำเรื่องที่เสี่ยงอีก” เฉินไห่หลิวไม่เข้าใจ ถึงจะยังไม่หายตกใจเรื่องเจ้ากระดานใส แต่การแลกของออกจากระบบได้มันก็ทำให้มีกินไปสักระยะ
“เรื่องนี้ห้ามนำไปพูดที่ไหน อีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะมีการสอบเข้ามหาวิทยาลัย นายเข้าใจสิ่งที่ฉันพูดใช่ไหม? ต่อให้บ้านเฉินต้องการส่งเรียนแน่นอนว่าคงมีเพียงนาย เฉินตง และเฉินจางที่อาจได้เรียนต่อ หรือไม่ก็มีเพียงคนเดียว เพราะค่าใช้จ่ายมันจะเยอะมาก” เฉินเฟิ่นอี้กระซิบเสียงเบาถึงแม้จะอยู่กันแค่พี่น้องบ้านเฉิน
“อะไรนะ จะมีการสอบเข้ามหาวิทยาลัย พี่ได้ยินมาจากไหน” เฉินตงถามด้วยความสงสัย เขามีเพื่อนหลายคนยังไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน พี่สาวของเขาไปเอาข่าวมาจากไหน
“พี่จึงจะหาเงินเก็บไว้ให้พวกเราได้เรียนใช่ไหมคะ!” เฉินเหม่ยเย่ที่เข้าใจความหมายรีบถาม
“ใช่ พี่อยากให้พวกเราทุกคนได้เรียน ลำพังแค่ของในระบบที่พี่นำไปขายมันก็เพียงพอในการใช้ชีวิตแต่ละวัน แต่ในอนาคตถ้าไม่มีเงินเก็บพวกเราอาจไม่ได้เรียนต่อ” เฉินเฟิ่นอี้พยักหน้าให้กับความหัวไวของน้องสาว ยังดีที่ไม่มีใครตกใจจนวิ่งหนีออกไป คงจะพากันเห็นจนชิน เฉินตงก็เคยเห็น จะมีก็แต่เฉินไห่หลิวที่สวมตัวตนเป็นพ่อนี่แหละที่ใจเย็น
“มหาวิทยาลัยจะเปิดจริงๆ ใช่ไหม” เฉินไห่หลิวถามย้ำ ยิ่งการเรียนสูงเท่าไหร่การหางานก็ง่ายขึ้น ในอนาคตเขาอาจหาเงินส่งที่บ้านได้เดือนละหลายหยวน
“นายคิดว่าฉันพูดเล่น” เฉินเฟิ่นอี้หันไปสบตากับเขาด้วยความจริงจัง
“ได้ พี่จะทำอะไรก็ทำ แต่ต้องระวังด้วย มีอะไรให้ช่วยก็บอก”
เฉินเฟิ่นอี้ยิ้มกว้างพลางบอกเรื่องที่ต้องการจะทำต่อไปนี้ นั่นก็คือการสอนพิเศษภาษาต่างประเทศให้เพื่อนร่วมห้อง เฉินเหม่ยเย่กับเฉินจางจะต้องเรียนเพิ่มอีกไม่เยอะ ต่อจากนี้หากไม่ได้ต้องทำภารกิจเฉินเฟิ่นอี้ก็จะหยุดสอนให้เพื่อนร่วมห้องเรียนไปก่อน
เธอจะสอนทุกคนให้สอนเพื่อนคนอื่นได้ เดือนหน้าเธอจะเปิดการสอนพิเศษแบบจริงจัง และเฉินเฟิ่นอี้คิดว่าจะสอนแค่วันละหนึ่งชั่วโมงในเวลาว่างหรือหลังเลิกเรียน อย่างน้อยก็คงได้ไม่ต่ำกว่าวันละสองหยวน เพราะกลุ่มจี้หลันกับกลุ่มเว่ยฟ่งต้องการให้เธอสอนแน่ๆ
เมื่อคุยกันเสร็จเรียบร้อยจึงรีบไปช่วยกันทำอาหาร จะได้แต่งตัวรับประทานมื้อเช้าและนำอาหารไปส่ง ระหว่างนี้จะได้ทบทวนเนื้อหาการเรียนไปด้วย