พอได้เปิดใจคุยกันแล้วเฉินเฟิ่นอี้ก็ทำอะไรสะดวกมากขึ้น ในทุกวันทุกคนจะตื่นขึ้นมาช่วยกันทำอาหารเช้าทำให้ไม่ต้องตื่นตั้งแต่เช้ามาก และเฉินไห่หลิวยังอาสาคัดลอกภาษาต่างประเทศลงสมุดหลายเล่ม เพราะกลัวว่าทุกคนจะอ่านไม่ออก จึงให้เพียงเฉินไห่หลิวเป็นคนคัดลอก
เฉินเฟิ่นอี้เกริ่นเรื่องการสอนพิเศษกับเพื่อนร่วมห้องไปแล้วว่าเธอต้องสอนน้องด้วยทำให้ไม่สะดวกที่จะสอนทุกคน แต่หลังจากนี้อาจมีการเปิดสอนพิเศษซึ่งไม่ได้บอกราคา
มีหลายคนที่สนใจจะเรียนและเข้ามาสอบถามแต่ยังไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน อย่างที่รู้กันว่าเพิ่งเปิดเทอม การเรียนในตอนนี้คือการปรับพื้นฐาน เฉินเฟิ่นอี้จึงต้องการให้น้องๆ ปรับตัวกันให้ได้ก่อน อีกอย่างเรื่องการทำอาหารขายก็ยังไม่ได้ลงตัวมาก ยิ่งวันนี้ต้องทำอาหารให้เพื่อนร่วมห้องถึงสิบเอ็ดปิ่นโต
อันที่จริงการขายอาหารของเธอย้ำไปหลายรอบว่าห้ามให้ใครรู้เรื่องนี้หากยังอยากรับประทานอาหารฝีมือเธอ แต่เพื่อนร่วมห้องหลายคนก็รู้เรื่องนี้จึงได้มาหาเธอและบางคนก็ซื้อให้น้องบ้างให้พี่บ้าง
วันนี้เห็นว่ามีเรียนถึงบ่ายจะมีกิจกรรม คุณครูจึงจะประชุมกันและปล่อยให้นักเรียนเลิกเรียนก่อนเวลา เฉินเฟิ่นอี้จึงนัดเพื่อนๆ เอาไว้สอนภาษาต่างประเทศตอนเย็น ให้ทุกคนนำอาหารมาเผื่อหิวด้วยเพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุดเรียน
“วันนี้ได้ตั้งสิบห้าหยวน” เฉินตงเอ่ยขึ้นเมื่อกลับมารวมกันหลังส่งปิ่นโตอาหารเสร็จ พร้อมทั้งยื่นเงินให้พี่สาวที่รับเงินจากเฉินไห่หลิวเหมือนกัน
“อืม แต่ก็ไม่ได้ทุกวัน” เฉินเฟิ่นอี้ตอบ เพราะหนึ่งสัปดาห์เรียนแค่ห้าวัน ในแต่ละวันพวกเธอจะมีลูกค้าประจำห้าคน ส่วนวันอื่นๆ ก็มีเพิ่มบ้างแต่หลักๆ ก็มีพวกเว่ยฟ่งและจี้หลัน
“เรื่องการสอนพิเศษพี่จะเอายังไง พวกหม่าเยว่ถามผม พวกเขาอยากให้ผมสอนพิเศษวิชาคณิตศาสตร์ให้” เฉินไห่หลิวเริ่มเดินและถามไปด้วย
“เขาอยากให้นายสอนพิเศษให้เหรอ นายว่ายังไงล่ะ”
ไม่แปลกใจที่พวกเขาอยากให้เฉินไห่หลิวสอนคณิตศาสตร์ให้ เพราะคาบเรียนที่แล้วเฉินไห่หลิวทำคะแนนแบบฝึกหัดได้เต็ม จริงๆ เฉินเฟิ่นอี้ก็ได้เต็มเพียงแต่พวกเขาสนิทกับเฉินไห่หลิวมากกว่า
“ยังไม่ได้ตอบครับ ผมมาถามพี่ก่อน” เนื่องจากหากสอนพิเศษเขาจะได้กลับบ้านช้ากว่าปกติ และกังวลว่าพี่น้องบ้านเฉินจะต้องรอ
“นายอยากสอนก็สอน เงินที่ได้ก็เก็บเอาไว้” เพราะนั่นเป็นเงินที่เขาหามาเองไม่ได้เกี่ยวกับเงินที่จะเก็บไว้เรียนด้วยกัน ในส่วนนี้จะมีเพียงสอนพิเศษด้วยกันและอาหาร
“ไม่ได้สิ ยังไงก็ต้องรวมกับเงินในบ้าน” เฉินไห่หลิวไม่เห็นด้วย เขาอยากรับสอนพิเศษเพราะที่บ้านจะได้รับเงินเพิ่มขึ้น แต่พี่สาวกลับบอกไม่ต้องรวมกัน
เฉินเฟิ่นอี้ส่ายหน้าไม่ได้พูดอะไรต่อ ทุกคนจึงเร่งเดินเพื่อไปโรงเรียน วันนี้มีเรียนภาษาต่างประเทศเป็นวิชาแรก เธอจึงต้องไปรอในห้องก่อนที่คุณครูจะเข้า ครูที่สอนยิ่งชอบเข้าสอนก่อนเวลาและชอบสอนไม่ถูก
หลายวันมานี้อาหารมื้อกลางวันส่วนมากจะเป็นเนื้อหมูที่เฉินเฟิ่นอี้ทำการแลกมาจากระบบ มันสามารถเก็บไว้ได้นาน อยากใช้ค่อยกดออกมาใช้ เฉินเฟิ่นอี้จึงแลกมันออกมาทำอาหารให้บ้านเฉินและคนอื่น ซึ่งมันประหยัดขึ้นมาก หลังบ้านก็ปลูกผัก ตอนนี้เริ่มแตกหน่อขึ้นบ้างแล้ว
ด้วยเงินที่มากขึ้นเฉินเฟิ่นอี้จึงนำเงินสำรองไปฝากที่ธนาคาร ส่วนเงินที่ไว้ใช้จ่ายก็เก็บไว้กับตนเอง และเงินที่เก็บไว้เรียนในอนาคตเฉินเฟิ่นอี้ก็เปิดบัญชีธนาคารร่วมกับเฉินไห่หลิว ตอนนี้ในธนาคารมีเงินถึงหนึ่งร้อยหยวนแล้ว เฉินเฟิ่นอี้เพิ่งเปิดบัญชีธนาคารเมื่อสัปดาห์ก่อนทำให้ยังไม่มีเงินเก็บมากนัก อีกส่วนก็สำรองไว้ใช้จ่ายค่าอาหาร พวกเธอจะนำไปฝากเดือนละครั้งเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต
เฉินเฟิ่นอี้ใช้มือปิดปากตอนกำลังหาว วิชาภาษาต่างประเทศเป็นวิชาที่กินแรงสุดๆ อีกอย่างวิชานี้หากเรียนไม่ดีก็อาจสอบไม่ผ่านได้ แน่นอนว่าถึงเธอจะมั่นใจในวิชานี้แต่ก็เรียนเพื่อไม่ให้ลืม เสียงพูดคุยดังขึ้นหลังคุณครูเดินออกไป
“อีกแล้วเหรอ ทำไมถึงมีการบ้านทุกคาบขนาดนี้”
ไม่แน่ใจว่าใครเป็นคนพูดแต่ทุกคนก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย วิชาภาษาต่างประเทศเป็นวิชาที่นักเรียนสอบตกเยอะที่สุด แต่ว่าคุณครูสอนไม่รู้เรื่องไม่พอยังชอบสั่งงานอีก บางวันก็สั่งงานที่ไม่เคยสอน หากไม่มีพี่น้องบ้านเฉิน ตอนนี้ทุกคนคงทำการบ้านไม่ได้
“สงสัยคุณครูจะกลัวน้อยหน้าห้องเรียนอื่น” เพื่อนอีกคนบ่นออกมา
นักเรียนหลายคนเพิ่งรู้ว่าการเรียนในเทอมนี้ถูกปรับเปลี่ยน ห้องเรียนมัธยมปลายที่เรียนสองปีอย่างพวกเธอเทอมที่สองไม่ต้องย้ายห้องเรียน นั่นหมายความว่าตลอดสองปีทุกคนจะได้เรียนด้วยกัน แต่ว่าจะมีการเรียนรวมสัปดาห์ละสามวัน ซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัด และที่นักเรียนห้องนี้ไม่พอใจก็คือคุณครูจัดอันดับห้องเรียนเองโดยไม่สอบถามนักเรียน ทำให้พวกเธอได้อยู่ห้องเรียนที่สาม หลายคนชอบพูดว่าเป็นห้องเรียนที่โง่ที่สุด
“ได้ยินว่ากิจกรรมที่กำลังจะจัดเป็นกิจกรรมแข่งขันภายในโรงเรียน ฉันว่าถ้าพวกเราแพ้ต้องโดนหัวเราะแน่” จี้หลันเป็นหนึ่งในคนที่ไม่พอใจในเรื่องนี้ หล่อนเรียนที่นี่มาตั้งแต่มัธยมต้นและเรียนห้องอันดับต้นตลอด พออยู่ๆ ได้อยู่ห้องสุดท้ายจึงโดนต่อว่าบ้าง
“เธอได้ยินมาจากไหนเหรอคุณหนูจี้” โจวซิงฉือหนึ่งในเพื่อนสนิทของเว่ยฟ่งเอ่ยถาม เรื่องนี้ยังไม่ได้ถูกพูดถึงในโรงเรียนเขาจึงแปลกใจเป็นอย่างมาก
“นายไม่รู้? ห้องอันดับหนึ่งกับห้องอันดับสองพวกเขาพูดกันตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” จี้หลันหันไปสบตากับซ่งเวยหลานเพื่อนสนิทของหล่อน เรื่องนี้มีหลายคนพูดถึงแต่ห้องของหล่อนกลับไม่รู้
“เป็นไปไม่ได้ ครูต้องแจ้งพวกเราก่อนสิ” เพื่อนอีกคนส่ายหน้า เขาเรียนที่นี่ตั้งแต่มัธยมต้นจึงรู้จักที่นี่ดี
“หรือเพราะการเปลี่ยนระบบต่างๆ พวกเขาจึงใส่ใจอีกสองห้องมากกว่าพวกเรา” เฉินเฟิ่นอี้ออกความคิดเห็นตามที่เธอคิด หากสิ่งนี้เป็นความจริงพวกเธอก็ใช้ชีวิตยากขึ้นแล้ว การแข่งขันมันจะสูงขึ้นมากหากเทียบกับอีกสองห้อง
“ตลกเกินไปแล้ว”
มีหลายคนที่หันไปคุยกันในสิ่งที่เฉินเฟิ่นอี้บอก ข้อสันนิษฐานของเธอแม่นมากกว่าใครและเป็นไปได้ที่สุด อีกทั้งอยู่ๆ ก็มีการเปลี่ยนแปลงระบบห้องเรียนโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้าตั้งแต่แรกสร้างความไม่พอใจให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก ยังไม่รู้เลยว่าในอนาคตจะโดนอะไรอีก
ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปนั่งที่เมื่อถึงเวลาที่ต้องเรียนต่อ ทุกคนปรึกษากันว่าช่วงบ่ายจะมานั่งคุยกันในเรื่องนี้ พวกเขาต้องทำอะไรสักอย่างไม่เช่นนั้นคงโดนเปรียบเทียบกับห้องอื่น
เฉินเฟิ่นอี้วาดรูปภาพประกอบการสอนพิเศษหลังคุณครูปล่อยให้กลับบ้านและไปประชุม การบ้านวันนี้ยากมากสำหรับทุกคน ใครอยู่ที่โรงเรียนจึงได้รับการสอนการบ้านไปด้วย ส่วนใครที่กลับก่อนก็ต้องไปทำเอง
“เจียวซีใช้อักษรตัวเล็กตัวนี้ ส่วนตัวแรกใช้ตัวใหญ่ได้” เธอชี้ไปยังจุดที่ต้องแก้ไข วันนี้เจียวซีขออนุญาตบ้านยายมาเรียนพิเศษแล้วจึงอยู่นานได้
“อืม” เจียวซีพยักหน้าพร้อมแก้ไขในจุดที่เพื่อนบอก การเรียนของหล่อนเริ่มดีขึ้นมากตั้งแต่ได้รับการสอนจากเฉินเฟิ่นอี้ แม้แต่หล่อนยังรู้สึกได้
ไม่ใช่เพียงแค่เจียวซี ยังมีคนอื่นที่คิดแบบนั้น เพราะนอกจากภาษาต่างประเทศที่ได้รับการสอนพิเศษจากเฉินเฟิ่นอี้แล้ว หากมีใครสงสัยวิชาไหนก็สามารถสอบถามได้ในเวลาที่ว่าง ทุกคนจึงเข้ากันได้ดีกับเฉินเฟิ่นอี้ อีกอย่างหากมีเวลาว่างทุกคนก็ชอบใช้เวลาร่วมกันเพราะต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน
“ฉันเขียนผิดหรือเปล่า” ซ่งเวยหลานที่นั่งอยู่ด้านหน้ายื่นสมุดมาให้เฉินเฟิ่นอี้ตรวจให้ ทุกคนเริ่มเขียนชื่อตนเองได้แล้ว แต่ก็มีเขียนผิดบ้างเพราะใช้ตัวอักษรใหญ่และเล็กผสมกัน
“เธอเขียนถูกแล้ว”
ระหว่างที่สอนทุกคนเฉินเฟิ่นอี้ทำการบ้านของตนเองแล้ว เธอจึงว่างมาก อีกอย่างตอนนี้เฉินเหม่ยเย่ เฉินจางก็มานั่งรอพวกเธอสอนพิเศษที่หน้าห้องและทำการบ้านไปด้วย ทำให้เฉินเฟิ่นอี้ไม่ต้องรีบมาก
เฉินเฟิ่นอี้เดินดูการบ้านของทุกคนคร่าวๆ ก่อนเดินกลับมานั่งที่ตนเอง จากที่เดินดูทุกคนเขียนชื่อตนเองได้แล้วแต่การบ้านที่ได้รับยังเขียนไม่ถูก แต่หากพวกเขาไม่ถามเธอก็ไม่ได้บอกเพราะจะทำให้พวกเขาเสียความมั่นใจได้
“เฉินเฟิ่นอี้เธอจะรับสอนพิเศษตอนไหน ลูกพี่ลูกน้องของฉันอยากมานั่งเรียนด้วย” เมื่อทำงานของตัวเองเสร็จแล้วจี้หลันก็หันมาถามเฉินเฟิ่นอี้ที่เขียนบางอย่างลงในสมุด
“เดี๋ยวนะ เธอบอกคนอื่นอีกแล้วเหรอ” เฉินเฟิ่นอี้ถอนหายใจด้วยความปลงตก เธอจะรับสอนจำกัดจำนวนคน แต่ถ้าเป็นคนในห้องอยากเรียนก็สอนได้ แต่ไม่คิดว่าจะได้สอนคนอื่นด้วย
“พอดีบ้านของเขาเคร่งครัดเรื่องการเรียนมาก พี่เขาเห็นว่าช่วงนี้การเรียนฉันดีขึ้นจึงมาถาม” ปกติจี้หลันจะเอาการบ้านกลับไปทำที่บ้าน แต่ตั้งแต่ได้เรียนพิเศษกับเฉินเฟิ่นอี้หล่อนก็ไม่ค่อยกลับไปทำการบ้านที่บ้าน
“รุ่นพี่?”
“อืม เทอมหน้าเขาก็เรียนจบแล้ว ส่วนค่าสอนเธอจะเก็บเท่าไรก็ได้นะ! บ้านของเขารวยมาก” ประโยคสุดท้ายจี้หลันกระซิบเสียงเบา
เฉินเฟิ่นอี้ได้ยินก็อึ้งเล็กน้อย เพราะจี้หลันบอกว่าบ้านของเขารวยมาก ขนาดจี้หลันที่ถูกเรียกว่าคุณหนูยังพูดขนาดนี้ เธออยากรู้จริงๆ ว่าเขาจะรวยจริงหรือเปล่า
“ช่วงนี้คงไม่ได้”
เฉินไห่หลิวจัดการเรื่องหนังสือยังไม่เสร็จ เหลืออีกห้าเล่มจากยี่สิบเล่ม และจากที่ได้ยินว่ามีกิจกรรม เธอคิดว่าเอาไว้หลังจากนี้คงดีกว่า ทุกคนจะได้ไม่เหนื่อยและมีเวลาเตรียมตัว
การสอนพิเศษวันนี้ล่วงเลยไปถึงสามชั่วโมงเต็ม เฉินเฟิ่นอี้จึงปล่อยกลับบ้าน ต้องบอกว่าวันนี้ทุกคนพากันจำตัวอักษรแต่ละตัวได้แทบจะทั้งหมด และเธอยังให้พวกเขากลับไปท่องพร้อมเขียนมาให้เธอดูหนึ่งจบ
“รอกันนานมากเลย หิวไหม” เฉินเฟิ่นอี้ถามเฉินเหม่ยเย่กับเฉินจางที่นั่งเล่นรออยู่
“ไม่หิวค่ะ ฉันกินขนมรองท้องไปแล้ว” เฉินเหม่ยเย่ปฏิเสธ หล่อนชี้ไปยังถุงขนมที่เพิ่งไปซื้อมา
“อืม เก็บของเถอะ กลับไปบ้านพี่จะทำอาหารให้”
เฉินเฟิ่นอี้ช่วยน้องสาวเก็บหนังสือที่วางเอาไว้ วันนี้นักเรียนมัธยมต้นมีการแจกหนังสือเรียน ทั้งสองจึงนั่งอ่านและยังไม่ได้เก็บ ส่วนของมัธยมปลายไม่ได้แจกให้นำกลับบ้าน แต่แจกให้เป็นคู่มือประกอบการเรียน เรียนเสร็จก็เก็บใส่ตู้เอาไว้เหมือนเดิม