“แต่เราก็เอาจากพ่อเลี้ยงมาเยอะแล้วนะ” พงศ์ศักดิ์พูดขึ้น
“พ่อเลี้ยงรวยจะตายเงินแค่สิบยี่สิบล้านขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอกค่ะ น่าจะได้อีกสักสิบหรือยี่สิบล้านเป็นเงินสดค่าสินสอดนังจันทร์เจ้ามัน คิดแล้วเจ็บใจจริงๆ” วารีเองก็เจ็บใจแต่ทำอะไรไม่ได้เพราะตอนนี้สถานะของครอบครัวคือลูกหนี้ของหิรัญดีๆ นี่เอง
“แขไม่ยอมหรอกค่ะ”
“ไม่ยอมแล้วจะทำยังไง แกหาผู้ชายคนใหม่เถอะ อ่อยพ่อเลี้ยงมาหลายปีเขายังไม่เอาแกเลย โน่น...เขาเอายายจันทร์เจ้าโน่น”
“ก็เพราะมันแผนสูงไงคะ”
“แกก็หน้าตาดี ผู้ชายก็มารุมชอบเยอะแยะ เลิกสนใจคนที่ไม่สนใจเราเถอะ” วารีถอนใจพรืดใหญ่
“ทำไมคุณแม่พูดแบบนี้ล่ะคะ”
“ก็เขาไม่เอาแกไง โง่จริง” วารีพูดอย่างหงุดหงิด
“คุณแม่!”
“แกเลิกเสียงดังใส่ฉันสักทีได้ไหม เสียงแกทำฉันแสบแก้วหูไปหมดแล้วนะ”
“คุณแม่น่ะ” รัศมีแขมีท่าทีขัดใจมารดาไม่น้อย
“เสี่ยสมปองก็ชอบลูกนะ”
“แหวะ! ไอ้เสี่ยงอ้วนลงพุงนั่นเหรอคะ”
“แต่เขารวยนะ”
“ไม่เอา แขจะเอาพ่อเลี้ยงหิรัญ” ได้ยินแบบนั้นวารีก็ถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะนึกถึงก่อนหน้านี้ ตอนที่เธอจะกลับได้ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ แล้วได้คุยกับหิรัญด้วยความจงใจของเขา
‘ผมจะให้เงินสดอีกก้อนสำหรับคุณวารีเพื่อไม่ให้มายุ่งเกี่ยวกับจันทร์เจ้าอีก ถ้าคุณตกลงผมจะเซ็นเช็กให้คุณทันทีหลังจากงานแต่งงานเสร็จสิ้น’
‘แล้วถ้าฉันไม่ตกลงล่ะคะ”
‘ผมจะคิดทั้งดอกเบี้ยและเงินต้นที่คุณและสามีกู้ยืมไปทบต้นทบดอกตามสัญญาที่ได้เซ็นกันเอาไว้ครับ’
ประโยคนั้นยังก้องอยู่ในหู ที่หิรัญเจรจากับเธอเช่นนี้เป็นเพราะว่าเธอมีอิทธิพลกับสามีและบุตรสาว จะเรียกว่าเธอพูด เช่นไรพงศ์ศักดิ์กับรัศมีแขก็ต้องทำตามนั่นเอง
วารีคิดว่าก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย หนี้สินก็มากมายใครมันจะไปทำงานใช้หนี้ไหวกัน ยิ่งรัศมีแขด้วยแล้ววันๆ ไม่ได้คิดจะทำงานทำการอะไร ได้เงินมาก็ยังดีกว่าไม่ได้ ซึ่งเธอก็รับปากหิรัญไปแล้วว่าจะไม่ไปยุ่งวุ่นวายกับจันทร์เจ้าอีก
“พี่ดินคะ จันทร์เจ้ามีเรื่องจะถามพี่ดินหน่อยค่ะ” ทางด้านจันทร์เจ้า เธอได้รับรู้เรื่องหนี้สินของครอบครัวลุงกับป้าสะใภ้ก็ร้อนใจไม่น้อย เพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าทางบ้านเป็นหนี้เป็นสินหิรัญมากมายขนาดนี้
“เรื่องอะไรครับ”
“เรื่องหนี้สินที่บ้านจันทร์เจ้าน่ะค่ะ”
“เรื่องนั้นเหรอครับ ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ อาของพี่ให้การช่วยเหลือครอบครัวของจันทร์เจ้ามาโดยตลอดเพราะทางบ้านของจันทร์เจ้ามีเงินไม่พอใช้ รวมถึงส่งจันทร์เจ้าเรียนด้วย”
“เกรงใจคุณอาจัง”
“ถ้าเกรงใจก็ต้องเอาใจคุณอามากๆ นะครับเพื่อตอบแทนคุณอา” หัสดินพูดแล้วอมยิ้ม
“ค่ะ”
“จันทร์เจ้าจะทำงานใช้หนี้ให้ที่บ้านค่ะ”
“เด็กโง่ ไม่ใช่แบบนั้นครับ พี่หมายถึงเป็นภรรยาที่ดีของคุณอาพี่ครับ”
“พี่ดินไม่โกรธเหรอคะที่เราสองคนเอ่อ เอ่อ...”
“ถ้าเรื่องจันทร์เจ้ากับอาหิน พี่ไม่โกรธครับ อาหินเป็นคนดีต้องดูแลจันทร์เจ้าได้ดีกว่าพี่แน่นอน พี่เองก็อยากท่องเที่ยวไปบนโลกกว้าง ยังไม่อยากมีครอบครัวตอนนี้ พี่รักและเอ็นดูจันทร์เจ้าเหมือนน้องสาวมากกว่าคนรัก จันทร์เจ้าก็รู้ดีว่าเราหมั้นกันเพราะอะไร” หัสดินวางมือบนไหล่บอบบางของหญิงสาวที่เขารักและเอ็นดูเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง
“จันทร์เจ้ารู้ดีค่ะ ขอบคุณพี่ดินมากนะคะที่ดูแลจันทร์เจ้ามาโดยตลอด”
“พี่ยินดีและเต็มใจ อาของพี่เป็นคนดี พี่ขออวยพรให้จันทร์เจ้ามีความสุขมากๆ” เขาโยกศีรษะของเธอไปมา นึกโล่งใจที่เธอไม่ได้ถามถึงคืนก่อนหน้านั้น ไม่อย่างนั้นคนที่โดนโกรธก็คือเขานี่แหละ
จันทร์เจ้าคุยกับหัสดินอีกครู่ใหญ่ก่อนจะขอตัว เธออยากจะขอบคุณหิรัญที่คอยช่วยเหลือครอบครัวของเธอมาโดยตลอด หญิงสาวจัดขนมและเครื่องดื่มร้อนๆ เพื่อนำไปให้หิรัญในห้องทำงาน เคาะประตูแล้วเธอก็ได้ยินคำเอ่ยอนุญาตเสียงขรึมๆ ดังออกมา
ใจของจันทร์เจ้าสั่นระริกเมื่อได้ยินเสียงของเขา จะว่าเธอทั้งกลัวและเกรงใจเขาก็ว่าได้ แต่ลึกๆ แล้วความรู้สึกที่เธอมีให้เขานั้นมันลึกซึ้งมากกว่านั้น ความทรงจำเมื่อครั้นวัยเด็กทำให้เธออดที่จะนึกถึงมันไม่ได้
‘โอ๊ย!’ จันทร์เจ้าร้องด้วยความเจ็บเพราะว่าเผลอสะดุดจนหกล้ม คนที่เข้ามาช่วยคืออาหิรัญที่หมั่นแวะเวียนมาที่บ้านของเธอบ่อยครั้ง
‘เป็นยังไงบ้างครับ’
‘เจ็บค่ะ’ จันทร์เจ้าทำหน้าเบ้เพราะรู้สึกเจ็บเข่า
‘เดี๋ยวอาเป่าให้นะคนดี เพี้ยง! รับรองว่าหายแน่นอน’ คนพูดก้มลงไปเป่าเบาๆ ให้ตรงแผล ก่อนจะช้อนอุ้มร่างน้อยขึ้นสู่อ้อมแขน
‘อาหินจะพาจันทร์เจ้าไปไหนคะ’
‘ไปทำแผลครับ อาน่ะเป็นมือวางอันดับหนึ่งในการทำแผลให้เด็กซุ่มซ่ามเลยนะ’ น้ำเสียงอ่อนโยนและสัมผัสบางเบาของหิรัญทำให้เด็กน้อยเลิกร้องไห้ด้วยความเจ็บไปโดยปริยาย แล้วหิรัญก็คือแขกคนสำคัญของบ้านที่มักซื้อขนมและของเล่นมาฝากเธอบ่อยๆ
“ขนมค่ะอาหิน” จันทร์เจ้าวางของว่างลงตรงหน้าของหิรัญด้วยรอยยิ้ม แต่พอเห็นหน้าดุๆ ของเขาเธอก็ก้มงุด พยายามนึกว่าตัวเองทำอะไรผิดเขาถึงดูหน้าบึ้งขนาดนี้
“ถ้าไม่เผลอมานอนกับอาคงไม่ต้องมารับผิดชอบอา ตอนนี้คงคิดเรื่องแต่งงานแต่งการไปกับนายดินแล้วสินะ” ประโยคของหิรัญทำให้จันทร์เจ้าเงยหน้าขึ้นมองแล้วกะพริบตาปริบๆ
“อาหินหมายความว่ายังไงคะ”
“ก็เห็นอาลัยอาวรณ์กันเหลือเกิน แตะเนื้อต้องตัวกันขนาดนั้น ไม่กอดกันเลยล่ะ”
หือ... จันทร์เจ้าครางในใจ ก่อนจะตาโต นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นหิรัญมีท่าทีหึงหวงเธอ หญิงสาวเลยเผลอยิ้มจนแก้มพอง
“ยิ้มอะไร”
“จันทร์เจ้ากับพี่ดินนับถือกันเหมือนพี่ชายกับน้องสาวค่ะ ไม่มีอะไรเกินเลยกว่านั้นเลยนะคะ”
“ใครเขาอยากรู้กันล่ะ” หิรัญเดินหนีแอบยิ้มกับประโยคของสาวน้อย
“ขอบคุณอาหินมากนะคะ” จันทร์เจ้าเอ่ยขึ้น มองแผ่นหลังบึกบึนของหิรัญแล้วยิ้มกว้างในน้ำใจของเขาที่มีให้เธอมาโดยตลอด
“ขอบคุณอาเรื่องอะไร” หิรัญหันมามองสาวน้อย เธอกำลังยิ้มหวานให้เขา พอได้สบตากัน เธอก็ต้องหลบสายตาอย่างเขินอาย
“ขอบคุณที่อาหินคอยดูแลและช่วยเหลือครอบครัวของจันทร์เจ้ามาโดยตลอด โดยเฉพาะเรื่องทุนการศึกษาของ จันทร์เจ้าน่ะค่ะ พี่ดินเล่าทุกอย่างให้จันทร์เจ้าฟังหมดแล้ว”
“อาไม่ได้อยากพูดเรื่องนี้หรอกนะ” เขาหมายถึงก่อนหน้านี้ที่ลุงกับป้าสะใภ้ของเธอพูดเรื่องสินสอดเพราะเขาคิดว่าอีกฝ่ายขอมากเกินไป สองสามีภรรยาได้คืบจะเอาศอก ถ้าเขาให้อีก ต่อไปก็คงต้องมาขออีกไม่มีวันจบสิ้น
“จันทร์เจ้าเข้าใจค่ะ ไม่ได้คิดว่าอาหินจะทวงเงินอะไรจากคุณลุงกับคุณป้านะคะ แต่ที่ให้มาก็มากเกินไปแล้วค่ะ” เธอไม่ได้โง่พอที่จะไม่รู้อะไร แต่ที่ไม่มีปากเสียงเพราะไม่ชอบมีปัญหาอะไรกับใคร
“แต่งานแต่งงานของเรา อาจะไม่ให้จันทร์เจ้าน้อยหน้าใครหรอกนะ” เขาเดินเข้าหา ปัดปอยผมนุ่มสลวยของเธอไปทัดกับ ใบเล็กๆ อย่างอ่อนโยน มองสบตาหวานของเธออย่างมีความหมาย
“จันทร์เจ้าแล้วแต่อาหินค่ะ”
“แล้วแต่อาจริงๆ เหรอ” เขาเอ่ยถามซ้ำ เธอก็พยักหน้าให้เขาด้วยรอยยิ้ม
“อุ๊ย! อาหินจะทำอะไรเหรอคะ” เธอตกใจที่โดนเขาอุ้มขึ้นสู่อ้อมแขน
“ก็จันทร์เจ้าบอกว่าตามใจอา”
“จันทร์เจ้าตามใจเรื่องแต่งงานค่ะ”
“ไม่ได้ ต้องตามใจเรื่องอื่นด้วย” เขาพูดอย่างออดอ้อน ทำเอาเธอต้องค้อนให้เสียวงใหญ่ หลังจากโอบรอบคอหนาของเขาเอาไว้เพราะกลัวตก
“อาหินไม่รับประทานของว่างที่จันทร์เจ้าเอามาให้ก่อนเหรอคะ” เธออยากถ่วงเวลาแต่เขารู้ทัน
“ก็นี่ไง อากำลังจะกินของว่าง” เขาอุ้มเธอเข้าห้องนอนในเวลาอันรวดเร็ว
“อาหินคะ นี่มันยังกลางวันอยู่เลยนะคะ”
“ก็อาหิวนี่นา”
“หิวก็กินของว่างค่ะ” เธอดันใบหน้าของเขาเอาไว้