หลังทุ่มเทตั้งใจกับการอ่านหนังสือ ในที่สุดโรสลินก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับธาวินได้ ทีแรกเธอลังเลอยู่ว่าจะสอบเข้าคณะเดียวกับพี่ชายคนสนิทแต่โดนคุณสร้อยสุดาขัดไว้เสียก่อนโดยผู้เป็นแม่ให้เหตุผลว่า
“โซ่ควรเลือกสิ่งที่หนูชอบ มากกว่าเลือกเพราะใครคนใดคนหนึ่ง เพราะวิชาการเรียนเหล่านี้ต้องอยู่กับหนูไปอีกนาน แม้แม่อยากให้โซ่ทำใจยอมรับกับทุกสถานการณ์ที่เข้ามาในชีวิต แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ลูกต้องอดทนกับทุกเรื่องนะจ๊ะ”
โรสลินจึงเลือกสอบเข้าคณะอักษรศาสตร์ตามที่ตนใฝ่ฝัน
เด็กสาวรู้อยู่แล้วว่าการเจอธาวินโดยบังเอิญในมหาวิทยาลัยคงไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้อยู่คณะเดียวกันก็เถอะ ครั้นคิดไปคิดมา พลันฉุกนึกขึ้นได้ ถ้าเดินทางไปเรียนด้วยกันแบบเมื่อตอนยังเด็ก เธอก็คงได้เจอเขาทุกวัน โรสลินจึงใช้ข้ออ้างเดิม ๆ อย่างการนำอาหารไปให้ลองชิมในการไปเยี่ยมเยียนคฤหาสน์อรรถเศรษฐากุลอีกหน
ครั้นไปถึงณัฐฐาได้ให้การต้อนรับเธออย่างดี หลังจากทักทายไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันเล็กน้อย ผู้ที่มีศักดิ์เป็นป้าก็ถามถึงการศึกษาเล่าเรียนเนื่องด้วยเป็นช่วงฤดูกาลสอบเข้า เด็กสาวจึงบอกชื่อคณะและมหาวิทยาลัยด้วยน้ำเสียงสุภาพแฝงความภาคภูมิใจ
“อย่างนั้นก็ดีเลยน่ะสิ ถ้าวันไหนที่หนูโซ่มีเรียนก็ให้พี่ภีมเขาไปรับได้”
“จะดีหรือคะคุณป้า จะเป็นการรบกวนพี่ภีมเขาเสียเปล่า ๆ” โรสลินแบ่งรับแบ่งสู้แม้ว่าในใจจะรู้สึกยินดีมากก็ตาม
“รบกวนอะไรกัน เราสองครอบครัวก็นับว่าสนิทสนมกันถึงขนาดนี้ ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ เดี๋ยวป้าบอกพี่ภีมเขาเอง”
เด็กสาวตอบรับเสียงเบาจากนั้นก็พูดคุยกันอีกพักใหญ่ก่อนจะขอตัวกลับ ขณะที่เดินออกจากคฤหาสน์ โรสลินก็ยิ้มหน้าบานอย่างมีความสุข จังหวะที่ขึ้นคร่อมจักรยานกำลังจะออกตัวเพื่อเดินทางกลับ รถยนต์คันหนึ่งได้แล่นเข้ามาจอดในโรงรถ เธอจึงหยุดมองอย่างใคร่รู้ ครั้นเห็นคนขับรถเธอก็ส่งยิ้มหวานให้เขาทันควัน
“พี่ภีม” เธอร้องเรียกเสียงหวาน
“จะกลับแล้วเหรอ ไม่อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนล่ะ”
“ไม่ล่ะค่ะ โซ่อยู่คุยกับคุณป้านานแล้ว พอดีโซ่ทำแกงเทโพเลยเอามาฝาก อย่าลืมทานนะคะ”
“โอ๊ย! พี่ต้องขยันออกกำลังกายอีกแล้วเหรอเนี่ย” เขาแสร้งโอดครวญก่อนเอ่ยอีกว่า “คราวหน้าไม่ต้องมาเองนะ แค่โทรหาพี่ เดี๋ยวพี่ไปหา”
เธอจึงอ้อมแอ้มบอกเสียงเบาว่า “โซ่มีเบอร์พี่ภีมเสียที่ไหนล่ะ” เพราะตอนเด็ก ๆ เจอหน้ากันตลอดจนเป็นเรื่องปกติ โรสลินจึงไม่เห็นความจำเป็นในการติดต่อกันด้วยโทรศัพท์มือถือ กระทั่งอีกฝ่ายเข้ามหาวิทยาลัยเธอถึงนึกขึ้นได้ว่าตนเองไม่มีเบอร์ของเขา ถึงกระนั้นจะให้เอ่ยขอเบอร์ออกไปตรง ๆ เธอกลับไม่กล้า มาคราวนี้เมื่อเขาเอ่ยออกมาเองเธอจึงฉวยโอกาสขอช่องทางติดต่อ
ชายหนุ่มแบมือยื่นมาด้านหน้าเป็นเชิงบอกให้เธอหยิบเครื่องมือสื่อสารส่งมาให้ เด็กสาวจึงล้วงโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋าส่งให้เขา ธาวินรับไปกดเบอร์แล้วส่งคืน มิหนำซ้ำยังเอ่ยเป็นเชิงกระเซ้าอีกว่า “เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าไม่มีเบอร์พี่”
“จะมีได้ยังไงล่ะคะเมื่อก่อนไม่เคยต้องโทรหาสักหน่อย”
“งั้นต่อไปนี้ถ้ามีอะไรก็โทรมานะ”
“พี่ภีมจะว่างรับหรือคะ”
“ถ้าโซ่โทรมาพี่ว่างเสมอนั่นแหละ”
“ก็ให้มันจริงเถอะ” โรสลินบ่นอุบเสียงเบา จู่ ๆ ก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เธอจึงเลี่ยงสถานการณ์ซึ่งทำให้ตนเองขัดเขินด้วยการบอกว่าต้องกลับบ้านแล้ว จากนั้นจึงขึ้นคร่อมจักรยานพลางโบกมือให้พี่ชายคนสนิท หลังรถจักรยานเคลื่อนตัวห่างออกมา เธอก็ยังสัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าวบนใบหน้า กับความอิ่มเอมซึ่งพองฟูอยู่ในอก
เพราะเหตุการณ์ข้างต้น โรสลินจึงได้เดินทางไปเรียนพร้อมกับธาวินเหมือนสมัยที่พวกเขาทั้งสองยังเด็ก อาจจะต่างจากในอดีตเล็กน้อยที่ธาวินเป็นคนขับรถเอง ตั้งแต่ที่พี่ชายมีอายุครบเกณฑ์สอบใบขับขี่ คุณลุงธารินทร์ก็ซื้อรถยนต์คันใหม่ให้ธาวินไว้ใช้งาน แม้โรสลินจะไม่รู้ว่าที่ผ่านมามีหญิงสาวขึ้นมานั่งเบาะหน้าข้างคนขับ กลายเป็นตุ๊กตาหน้ารถมากน้อยแค่ไหน ทว่าเธอก็ดีใจที่ได้เป็นหนึ่งในตุ๊กตาหน้ารถของเขา เด็กสาวอมยิ้มอยู่ตลอดยามรถยนต์เคลื่อนตัวไปตามเส้นทางมุ่งตรงสู่มหาวิทยาลัย จนชายผู้ทำหน้าที่เป็นพลขับต้องเอ่ยทัก
“อารมณ์ดีจัง อยากไปเรียนขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย”
โรสลินอยากตอบว่าที่เธออารมณ์ดีเพราะได้นั่งรถของพี่ภีม แต่กลัวอีกฝ่ายจะไม่ชอบใจ เธอจึงเลี่ยงต่อไปอีกอย่าง “ก็ต้องอยากเรียนสิคะก็โซ่เลือกเข้าคณะนี้นี่นา”