ด้วยความดีใจ รู้สึกอบอุ่นใจกับการกระทำที่ผ่านๆ ของบุรุษหนุ่มผู้นี้ ซึ่งไม่เคยมีใครปฏิบัติต่อเธอเช่นนี้มาก่อน เด็กน้อยจึงโผเข้าไปสวมกอดร่างกำยำล่ำสันของกรกฎไว้แน่น พร้อมกับเงยหน้าขึ้นทอดสายตาจ้องมองกรกฎด้วยสายตาชื่นชมบูชาไม่ต่างจากเขาเป็นเทพบุตรของเธอ จากนั้นก็ถามกรกฎในสิ่งที่เธอควรจะถามเขาตั้งแต่แรกพบกันแล้ว
“ข้าวฟ่างขอบคุณคุณน้ามากๆ นะคะ ว่าแต่คุณน้าชื่ออะไรคะ ข้าวฟ่างยังไม่รู้จักชื่อคุณน้าเลยคะ”
“กรกฎครับ ผมชื่อกรกฎครับ”
กรกฎเอ่ยตอบราวกับคนละเมอ การถูกสวมกอดด้วยลำแขนเล็กๆ ของกาญต์พิชชาซึ่งโผเข้ากอดเขาไว้แนบแน่น ทำเอาเขาตัวแข็งทื่อ อารมณ์กำหนัดพุ่งพล่านตีประดังปวดร้าวไปหมด จนต้องขบกรามแน่นบังคับกายให้สงบนิ่งให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเรือนกายและหัวใจไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งจากหัวสมองเอาซะเลย สุดท้ายก็ต้องยกมือทั้งสองขึ้นแล้วจับบ่าเล็กไว้มั่น ก่อนจะดันร่างเล็กของกาญต์พิชชาให้ถอยห่างจากตัวเขาให้ได้มากที่สุด
‘นรก! แกกลายเป็นคนจิตวิตถารหลงรักเด็กๆ ไปตั้งแต่เมื่อไรกัน’
อีกครั้งที่กรกฎต้องก่นด่าตัวเองอยู่ในใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขา ซึ่งความรู้สึกนี้มันไม่ควรเกิดขึ้นกับเด็กน้อยที่มีอายุแค่เพียงไม่กี่สิบขวบ
“แม่ทิพย์ประกาศเรียกอีกครั้งแล้ว ข้าวฟ่างรีบไปหาแม่ทิพย์เถอะครับ”
กรกฎเอ่ยบอกเมื่อได้ยินเสียงประกาศเรียกจากแม่ทิพย์อีกครั้ง และคราวนี้แม่ทิพย์ก็ประกาศเรียกกาญต์พิชชาโดยเฉพาะ
“ข้าวฟ่างกลับก่อนนะคะ คุณน้ากรกฎรอข้าวฟ่างด้วยนะคะ” กาญต์พิชชาเอ่ยบอกเสียงหวาน ไม่รู้เลยว่าคำพูดของตนเองทำให้กรกฎคิดไปไกลมากเพียงใด
“ครับข้าวฟ่าง ผมจะรอข้าวฟ่างนะครับ”
กรกฎรับคำเสียงทุ้มนุ่มนวล และด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจจนล้นปรี่ ทำให้ชายหนุ่มกระทำในสิ่งที่รณกรคาดไม่ถึง และแม้แต่ตัวเขาเองก็คาดไม่ถึงเช่นเดียวกันว่ากำลังทำตามหัวใจเรียกร้อง ทั้งๆ ที่ไม่สมควรกระทำแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มก้มใบหน้าลงต่ำกดจุมพิตหนักๆ ลงไปบนหน้าผากและกระหม่อมบางของกาญต์พิชชาอย่างหนักหน่วง ก่อนจะผละออกแล้วก้าวเท้าถอยหลังห่างจากร่างเล็กของกาญต์พิชชาอีกหลายก้าว ด้วยเกรงว่าตนเองจะหักห้ามใจไม่อยู่และทำในสิ่งอันไม่สมควรไปมากกว่านี้
กาญต์พิชชายังไร้เดียงสาอ่อนต่อโลกยิ่งนัก เด็กน้อยรู้สึกอุ่นวาบทั่วหัวใจดวงน้อย ซึ่งเจ้าตัวคิดว่าหากตนเองถูกผู้เป็นบิดาโอบกอด ก็คงมีความรู้สึกอบอุ่นไม่ต่างจากถูกกรกฎโอบกอดและจุมพิตในขณะนี้
“ข้าวฟ่างกลับแล้วนะคะ บ๊าย บายค่ะ คุณน้ากรกฎอย่าลืมรอข้าวฟ่างนะคะ”
กรกฎพยักหน้ารับ จากนั้นก็ทอดสายตาคมกล้าจ้องมองกาญต์พิชชาค่อยๆ ก้าวเดินจากเขาไปจนลับสายตา โดยไม่ลืมเอ่ยคำมั่นสัญญาตามหลังเด็กน้อยด้วย
“ผมจะรอข้าวฟ่างตลอดไปครับ”
+++++++++++++++++
สิบเอ็ดปีต่อมา...มีนาคม 2555
ภายในห้องทำงานอันกว้างใหญ่หรูหราสมกับฐานะของนักธุรกิจชื่อดัง หล่อ และร่ำรวยติดอันดับของประเทศไทย เต็มไปด้วยความเงียบสงัด คงมีแค่เสียงลมหายใจแผ่วเบาของผู้ที่นั่งอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงานใหญ่เท่านั้น ที่บ่งบอกให้รู้ว่าภายในห้องนี้ยังมีคนนั่งทำงานอยู่
กรกฎวางมือจากงานที่ทำอยู่ตรงหน้า ซึ่งเขาคร่ำเคร่งเร่งสะสางงานกองโตแทบทุกอย่างให้เสร็จสิ้นภายในสัปดาห์นี้ เพราะอาทิตย์หน้าทั้งอาทิตย์เขาจะไม่อยู่ประเทศไทย ต้องออกเดินทางไปต่างประเทศอย่างน้อยๆ ก็เจ็ดวันเต็ม
ชายหนุ่มเอนกายพิงพนักเก้าอี้หนาหนุ่ม พลางยกมือไล่อาการเมื่อยขบตามต้นคอและช่วงไหล่ให้พ้นจากตัว ขณะเดียวกันก็หลับตานิ่งๆ เพื่อไล่อาการปวดลูกตาให้ออกพ้นจากดวงตาคมกริบทั้งคู่
เมื่ออาการเมื่อยขบจากการคร่ำเคร่งทำงานเริ่มมลายออกจากเรือนกายล่ำสันบางแล้ว อีกทั้งงานกองมหึมาถูกสะสางจนเกือบหมดแล้ว กรกฎจึงผุดกายลุกขึ้นยืนเดินตรงไปยังด้านหน้าห้องทำงานซึ่งผนังห้องทำงานใช้กระจกใสกั้นทั้งหมด และการมาหยุดยืนตรงมุมนี้มันช่วยให้เขามองเห็นลานสเก็ตที่อยู่เบื้องล่าง และมองเห็นนักกีฬาที่กำลังซ้อมสเก็ตได้อย่างชัดเจน
ทว่าดวงตาคมกล้าทั้งคู่หาได้จ้องมองนักกีฬาในสังกัดสโมสรเดอะเวิลด์ ออฟ ไอซ์ สเก็ต เกือบสามสิบชีวิตไม่ เพราะดวงตาคมกล้าคู่นี้มีไว้เพื่อมองกาญต์พิชชาแต่เพียงผู้เดียว
“ข้าวฟ่าง...”
กรกฎพึมพำเรียกชื่อของกาญต์พิชชาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา โดยที่ดวงตาทั้งสองยังคงจับจ้องมองทุกการเคลื่อนไหวของกาญต์พิชชาแทบไม่กะพริบตา ขณะเดียวกันหัวใจอันแข็งแกร่งก็นึกถึงถ้อยคำที่กาญต์พิชชาเคยพูดกับตนเองตอนพบเจอกันครั้งแรก
‘คุณน้ากรกฎรอข้าวฟ่างด้วยนะคะ’
‘คุณน้ากรกฎอย่าลืมรอข้าวฟ่างนะคะ’
คำพูดของกาญต์พิชชายังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท ราวกับเธอเพิ่งลั่นวาจาพูดกับเขาไม่กี่นาทีที่ผ่านมา
“ผมยังรอคุณเสมอ ข้าวฟ่าง”
กรกฎกระซิบตอบคำขอร้องของกาญต์พิชชาที่ได้ลั่นวาจาไว้ ซึ่งเขาไม่แน่ใจว่ากาญต์พิชชาจะรู้ไหมว่าเขายังรอเธออยู่เสมอ
สิบเอ็ดปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยมอบหัวใจอันแข็งแกร่งให้กับใคร และไม่เคยปล่อยให้หัวใจหลงรักสาวคนใดแม้แต่ผู้เดียว ไม่ว่าหญิงสาวผู้นั้นจะเป็นถึงสาวไฮโซ หรือนางแบบ ทว่าพวกเธอได้แค่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขาแล้วก็ผ่านเลยไปดุจดั่งสายน้ำไหลผ่านโขดหินเท่านั้น ไม่เคยมีใครได้รับความรักจากเขาแม้แต่เพียงผู้เดียว เพราะหัวใจของผู้ชายที่ชื่อกรกฎถูกวางให้สยบอยู่แทบเท้าของกาญต์พิชชาเป็นเวลานานแล้ว
กรกฎยังคงยืนทอดสายตาจ้องมองกาญต์พิชชาอย่างไม่รู้จักคำว่าเบื่อหน่าย ในยามอ่อนล้า เหน็ดเหนื่อยจากการงานที่ต้องกุมบังเ**ยนรับผิดชอบมากมายจนล้นมือ เขามักจะมายืนทอดสายตาจ้องมองกาญต์พิชชาซ้อมสเก็ตเป็นเวลานาน การได้เห็นลีลาการสเก็ต การหมุน หรือการสเต็บเท้า รวมทั้งการแสดงท่าทางตามจังหวะเสียงเพลง ตามที่ถูกโค้ชสอนมาด้วยท่วงท่าอันพริ้วไหวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับสเก็ตลีลา มันช่วยให้เขาหายจากอาการเหน็ดเหนื่อยในหน้าที่การงานได้ราวกับปลิดทิ้ง
และด้วยเพลิดเพลินกับการทอดสายตาจ้องมองกาญต์พิชชาจนลืมสรรพสิ่งนอกกาย กรกฎจึงไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องซึ่งดังขึ้นหลายครั้งแล้ว
เมื่อผู้เป็นเจ้านาย เป็นเจ้าของห้องทำงานใหญ่โตไม่ขานรับสักที รณกรจึงถือวิสาสะเปิดประตูห้องเข้ามาโดยไม่ต้องรอให้เจ้านายหนุ่มออกปากเอ่ยอนุญาต พอเข้ามาเห็นเจ้านายผู้ชาญฉลาดยืนทอดสายตาจ้องมองนักสเก็ตดาวเด่นของสโมสรซึ่งนั่นก็คือกาญต์พิชชา อย่างไม่ไหวติง ก็ได้แต่ถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจแทนผู้เป็นเจ้านาย
“เจ้านายครับ”
“อะไร...” กรกรฎขานรับคำสั้นๆ โดยไม่ได้หันไปมองรณกรแม้แต่นิดเดียว
อาการของผู้เป็นเจ้านาย ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่สนใจใครนอกจากกาญต์พิชชาแต่เพียงผู้เดียว ทำให้รณกรต้องลอบถอนหายใจยาว พร้อมกับส่ายหน้าด้วยความหนักใจกว่าเดิมอีกหลายเท่า และด้วยความที่เป็นคนปากมาก รณกรจึงตัดสินใจเอ่ยถามเจ้านายในสิ่งที่เขากักเก็บไว้นานนับสิบปีแล้ว