ฉันนั่งรอพี่คริสลงจากเรือจนกระทั่งบนเรือไม่เหลือใครสักคนและคนที่กำลังจะเข้าไปในตัวเมืองก็ทยอยยืนต่อแถวรอเข้าคิวเดินขึ้นเรือโดยสารลำเดียวกับที่เพิ่งจอดเทียบท่า
“เดี๋ยวค่ะเดี๋ยว”
ฉันวิ่งปรู๊ดชะเง้อกวาดสายตามองรอบภายในตัวเรือ
“คนลงมาหมดแล้วเหรอคะลุง?”
“ครับ หมดแล้ว”
“แน่เหรอลุง หมดแน่นะ ไม่ใช่บางคนอาจจะอยู่ในห้องน้ำยังไม่ออกมาก็ได้นะคะ”
ปากพูดไปด้วยแต่สายตากวาดหาพี่คริส
“ไม่มีครับ หนูออกหน่อยผู้โดยสารจะขึ้นแล้ว เดี๋ยวเข้าตัวเมืองสาย”
ลุงลูกเรือปัดมือไล่ฉันให้ออกห่างจากทางเดินขึ้นเรือที่มีแค่ทางเดียวแคบ ๆ
สุดท้ายฉันก็เดินคอตกกลับไปนั่งรอที่เดิม
พี่คริสไม่ได้มารอบแรก แสดงว่าอาจจะมาในรอบถัดไปก็คือประมาณเที่ยงตรงถึงบ่ายหนึ่งไม่เลทเกินเวลานี้
หมู่บ้านเรามีเวลาเข้าออกเดินเรือสามรอบ รอบแรกคือแปดโมงเช้า รอบสองคือช่วงเที่ยงและรอบสุดท้ายคือหกโมงเย็น
สุดท้ายแล้วฉันก็นั่งเหงาหงอยรอเรือรอบต่อไป
“อ่าวหนูไอวายังอยู่อีกเหรอ?”
ป้าแจ้งที่กำลังล็อกห้องจำหน่ายตั๋วโดยสารเพื่อออกไปทำธุระให้เสร็จก่อนเวลาเรือรอบต่อไปทักขึ้นในขณะไขกุญแจล็อก
“ค่ะ พี่คริสยังไม่มาเลย”
“แล้วหนูคริสจะมารอบหน้าหรือรอบสุดท้ายล่ะ”
“คือ… หนูไม่รู้ว่าพี่คริสมารอบกี่โมง รู้แต่ว่ามาวันนี้ค่ะ”
“รอบต่อไปอีกทั้งเที่ยง อ่อวันนี้ทางตัวเมืองจะออกเรือสายนิดหน่อยเพราะกำลังลงสินค้าข้ามมาที่นี่น่ะ หนูไอวาไปหาซื้ออะไรก่อนเถอะ เดี๋ยวหิวเอาเปล่า ๆ”
“ไม่ดีกว่าค่ะป้า หนูนั่งรอตรงนี้แหละ เดี๋ยวถ้าหิวจะอุดหนุนขนมตรงนั้นแล้วกันค่ะ”
ฉันชี้ไปยังชั้นวางของที่วางติดกับห้องขายบัตร
“ตามใจหนูแล้วกัน งั้นป้าไปก่อนนะเดี๋ยวกลับมาทำงานต่อไม่ทัน”
“โอเคค่ะป้า เดี๋ยวแผงขนมหนูเฝ้าให้”
ฉันเห็นป้าไม่ได้เก็บของซื้อของขายไว้ในห้องจึงอาสาเป็นยามรักษาการณ์เฝ้าสิ่งของให้
“ขอบใจมาก เดี๋ยวป้ารีบกลับมา”
ระหว่างที่กำลังหายใจทิ้งรอเวลาอยู่นั้นท้องของฉันก็ร้องโครกครากแทบทุกห้านาที ฉันจึงตัดสินใจลุกไปหยิบขนมขบเคี้ยวห่อเล็กมากินรองท้องไปพลาง ๆ ก่อนก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย
และที่ไม่ไปซื้อข้าวกลางวันก็เพราะว่าร้านอาหารที่ใกล้ท่าเรือมากที่สุดห่างออกไปหลายกิโลเมตร ใช้เวลาเดินเท้าไปกลับก็กลัวว่าจะมาไม่ทันรอบถัดไป ฉันไม่อยากคลาดกับพี่คริสเผื่อว่าพี่เขาจะมาในรอบถัดไป
รู้อย่างนี้ปั่นจักรยานมาก็ดีหรอก แต่ถึงอย่างนั้นฉันต้องทิ้งจักรยานเอาไว้ให้มิราปั่นไปรับและส่งเจเจจากโรงเรียน
เจเจคือน้องชายคนหนึ่งของครอบครัว เจเจเป็นลูกของป้าแท้ ๆ ของบ้านเราซึ่งตอนนี้เขาอยู่ในการดูแลของพวกฉันและมิราเพราะว่าคุณลุงประสบอุบัติเหตุพลัดตกเรือในวันที่พายุโหมกระหน่ำเนื่องจากออกไปหาปลาทะเลมาขาย ซึ่งตอนนั้นเจเจยังเป็นตัวอ่อนนอนเล่นอยู่ในท้องอยู่เลย
ทว่าเหตุร้ายก็เกิดขึ้นกับน้องชายตัวเล็กที่เพิ่งจะลืมตาดูโลกไม่ถึงชั่วโมงหลังจากคุณป้าคลอดเจเจก็เกิดอาการตกเลือดจนกระทั่งช็อก
เรื่องนี้ก็ผ่านมาสองปีกว่าแล้วไงและตอนนี้เจเจกำลังเรียนเตรียมเข้าอนุบาล
เจเจเป็นเด็กร่าเริงสดใส ช่วงนี้กำลังช่างพูดช่างจาถามไม่หยุดหย่อนเลย
หลังจากพี่คริสมาถึงแล้วฉันจะอวดน้องชายคนใหม่กับพี่คริส พี่คริสยังไม่เคยเจอเจเจเลยครั้งเดียว
แต่ฉันเคยเขียนจดหมายไปเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านระหว่างที่พี่คริสข้ามไปเรียนในตัวเมือง แต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่าจดหมายที่ฉันเพียรส่งทุกอาทิตย์นั้นไปถึงมือพี่คริสหรือเปล่า เพราะฉันได้จดหมายตอบกลับของพี่คริสแค่ฉบับเดียว ซึ่งเป็นฉบับแรกที่ฉันส่งไปหาเป็นครั้งแรก
เพราะเป็นฉบับเดียวที่ได้รับในตลอดสองปีที่ผ่านมา ฉันจึงมักเอาจดหมายนั่นขึ้นมาอ่านบ่อย ๆ เวลาคิดถึงพี่คริส
แค่ได้เห็นลายมือกับกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ติดกระดาษมาก็ทำให้ฉันสุขใจแทบบ้า
ทว่าวันหนึ่งวันนั้นเป็นวันฝนตกหนักเพราะพายุเข้าติดต่อกันเกือบหนึ่งอาทิตย์ ฉันหยิบจดหมายขึ้นมาอ่านซ้ำแต่ด้วยลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างมันจึงหอบจดหมายพัดลอยหายไป… วันนั้นทั้งวันทำให้ฉันทะเลาะกับมิรา เพราะเธอลืมปิดหน้าต่าง ฉันโทษธอและเธอก็โทษฉันกลับ
เธอบอกว่าเธอลืมปิดมันแต่ฉันก็ควรช่วยเธอตรวจตรา มิราพูดออกมาอย่างนี้ทำให้ฉันเถียงต่อไปไม่ได้ฉันรู้ว่าตัวเองก็มีส่วนผิดแต่ตอนนั้นมันโกรธและเสียใจนี่นาที่จดหมายสุดรักสุดหวงของฉันลอยหายแถมยังเปียกอีกด้วย
ฉันนั่งเหม่อคิดถึงอดีตวันวานที่ตามติดหยอดคำหวานใส่พี่คริสแทบทุกคนจนกระทั่งเห็นเรือโดยสารเที่ยวสุดท้ายกำลังมุ่งตรงเข้ามา
“มาแล้ว!ในที่สุดเรือก็มาสักที”
ฉันวิ่งไปเกาะรั้วกั้นโบกมือกระโดดหย็องแหย็ง ถ้าจะถามว่าพี่คริสเห็นไหม ตอบเลยว่าไม่แน่นอน
วันนี้เรือรอบสุดท้ายมาสายเป็นพิเศษ ท้องฟ้าสีฟ้ากลายเป็นสีดำและเริ่มเห็นดวงดาวขึ้นประดับแล้ว
เข็มนาฬิกาเข็มสั้นชี้ไปยังเลขเจ็ด สายชั่วโมงกว่าเลยแฮะ
ในที่สุดเรือลำใหญ่ก็เทียบท่าจอดสนิท นักท่องเที่ยวรอบสุดท้ายของวันต่างพากันหลั่งไหลเข้ามายังหมู่บ้านและนั่งพี่ไงคริส!
เพียงแค่ฉันเห็นปลายเส้นผมก็จำได้ทันทีว่านั่นคือพี่คริสคนสวยของฉัน
“พี่คริสสสสส!~ วามารับแล้ว พี่คริสทางนี้”
ฉันแหกปากตะโกนลั่นด้วยความดีใจ วิ่งขึ้นไปยืนโบกไม้โบกมือบนเก้าอี้นั่งจนทุกสายตาหันมาจับจ้องสนใจ…
ยกเว้นพี่คริส พี่คริสเดินก้มหน้ายกมือป้อง
เจอกันในรอบสองปีควรดีใจสิ ไม่ใช่หลบกันอย่างนี้…
ได้พี่คริส เดี๋ยวไอวาคนนี้จัดจะทำให้เงยหน้ามองเอง
“พี่คนที่สวมชุดสีขาว กางเกงสีดำ รองเท้าผ้าใบดำขาวและหิ้วกระเป๋าสองใบหันมามองทางนี้หน่อยค่ะ!!”
เพียงเท่านี้พี่คริสก็เงยหน้าขึ้นมองสบตาก่อนจะส่งสายตาเชิงตำหนิมากลาย ๆ
ฉันกระโดดลงเหยียบพื้นกระโจนโผเข้ากอดพี่คริสที่กำลังจะเดินหนี
มือของฉันจับหมับเข้าควงแขน
“จะหนีไปไหนคะ?”
“หนีคนบ้าค่ะ!”
“พี่คริสสสสสอะ!คนบ้าที่ไหนสวยขนาดนี้ ดูสิคะวันนี้วาเป็นไงบ้าง”
ฉันปล่อยมือออกจากแขนของพี่คริสจากนั้นจึงหมุนตัวเป็นวงกลมโชว์ชุดกระโปรงและผมเปีย
“สวยไหม?ชุดต้อนรับพี่คริสกลับบ้านเลยนะคะ ตั้งใจเลือกมาก ๆ เลย”
“สวยก็ได้”
“สวยก็คือสวย มีคำต่อท้ายมาทำไม แล้วนี่ละ”
คราวนี้ฉันโชว์ฝีมือการถักเปีย
“ทำทรงอะไรน่ะ?”
พี่คริสหรี่ตาพิจารณาผมเปียที่ถักใหญ่บ้างเล็กบ้างปนสลับกันตั้งแต่โคนผมลงมายันปลายผม
“เปียไงคะพี่คริส”
“เหรอ นึกว่าก้อนอะไรติดหัวสักอีก”
“พี่คริส!!”
ฉันเลิ่กคิ้วอมลมแก้มป่องอย่างน้อยใจ คนเขาอุตส่าห์ตั้งใจสุดฝีมือเพื่อมาโชว์
“งั้นวันหลังพี่คริสทำเปียให้วาหน่อยนะ อ่อแล้วก็ไม่ต้องบอกว่าทำไมพี่ต้องทำด้วย วาชอบฝีมือพี่คริส พี่คริสของวาเก่งทุกอย่างเลย”
ฉันรีบพูดขัดก่อนที่จะโดนปฏิเสธ
“ถ้าพี่บอกว่าไม่ เราก็จะดื้อดึงเอาให้ได้”
“อือ ก็รู้นี่”
“กลับบ้านได้ยัง?เดี๋ยวรถเข้าบ้านหมดก่อน”
“กลับค่าาา มาค่ะวาช่วยถือนะ”
“มันหนักนะ”
“จะหนักเท่าไรเชียว พี่ถือตั้งสองใบยังเดินตัวปลิวเลย วาแข็งแรงและทรงพลังกว่าพี่ตั้งเยอะ แค่นี้สบ๊ายยย”
ฉันยกแขนขึ้นโชว์เบ่งกล้ามก่อนจะแย่งกระเป๋าเดินทางแบบหิ้วหูมาไว้ในมือทั้งสองใบ
ตุ๊บ!!!กระเป๋าเดินทางหนังสีน้ำตาลกระแทกวางกับพื้น
“เอ่อ… วาคิดว่าเราช่วยกันคนละใบดีกว่าเนาะ”
“ก็พี่บอกแล้วว่าหนัก”
“ก็วาไม่คิดว่าจะหนักแบบนี้นี่คะ พี่คริสยัดหินกลับมาด้วยเหรอ?”
“เราอะอวดเก่ง”
“เปล่าสักหน่อย ไปกันเถอะค่ะเดี๋ยวค่ำไปมากกว่านี้…”
จู่ ๆ ฉันก็รู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่างกาย ภาพตรงหน้ากลายเป็นสีดำซ่าเหมือนโทรทัศน์ไม่มีสัญญาณและในที่สุดก็ดับมืดไปพร้อมสติสัมปชัญญะที่เลือนหายไป