3
ชีวิตคู่หรือคี่ดี
ตื่นเช้าขึ้นมาก็ไม่พบสามีบนเตียงนอนเสียแล้ว วธุกามองนาฬิกาที่ติดอยู่ข้างผนังห้อง เจ็ดโมงเช้าแล้วเธอเพิ่งตื่นเป็นเรื่องที่ผิดปกติไปจากทุกวัน เพราะหญิงสาวมักจะตื่นขึ้นมาตรวจตราความเรียบร้อยของงานที่รีสอร์ตในช่วงตีห้าครึ่งในแต่ละวัน หญิงสาวถอนหายใจหนักๆ ให้กับห้องนอนที่ไม่คุ้นเคย ผ้าปูสีขาวยับยู่ยี่และมีหลักฐานบางอย่างจากการเข้าหออย่างดุเดือดเลือดพล่าน รีบลุกขึ้นจากเตียงแล้วอาบน้ำชำระร่างกายเพื่อลงไปยังด้านล่างของบ้าน
“คุณวาทหนูชื่อเพลินนะคะ เป็นแม่บ้านของที่นี่ค่ะ” สาวน้อยหน้าตาน่ารักทักวธุกาอย่างยิ้มแย้ม
“แล้วยังไงจ๊ะ” วธุกาถามสาวน้อยที่ถักเปียทั้งสองข้างอย่างชื่นชมในความอ่อนน้อมถ่อมตนของหญิงสาว
“หนูมีหน้าที่มาเก็บกวาดเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้คุณวิเนตย์ทุกเช้า และก็ทำความสะอาดบ้านหลังนี้ค่ะ”
“อ้อ งั้นเหรอ แล้วอาหารเช้าคุณวิเนตย์ของเพลินกินที่ไหนล่ะ”
“กินที่ห้องอาหารของลูกค้าค่ะ”
“ห้องอาหารของลูกค้า?” คิ้วขมวดแน่นเพราะคิดว่าเขาน่าจะรับประทานมื้อเช้าที่บ้านหลังนี้
“ใช่ค่ะ คุณวิเนตย์ให้บอกคุณวาทว่าทุกเช้าก็ให้ไปหาข้าวกินที่ห้องอาหารได้เลย ส่วนคุณวิเนตย์แกจะกินที่นั่นทุกเช้าอยู่แล้วค่ะ วันนี้ก็กินไปแล้วด้วย คุณวาทอาจต้องนั่งกินคนเดียวนะคะ”
“อ้อ เข้าใจแล้วล่ะ เพลินไปทำงานของเธอต่อได้แล้ว” มื้อเช้าแรกในการใช้ชีวิตคู่กลับต้องนั่งรับประทานอาหารเพียงลำพัง คนบ้านั่นไม่คิดจะรอกันบ้างเลย อย่างน้อยปลุกกันบ้างก็ยังดี
บรรยากาศในห้องอาหารช่วงเจ็ดโมงเช้าไม่พลุกพล่านอย่างที่คิด นักท่องเที่ยวที่ขึ้นจากบ้านพักบนแพมาที่นี่ยังน้อยอยู่ วธุกาเลือกนั่งตรงโต๊ะที่มองเห็นแม่น้ำด้านล่างได้อย่างถนัดตา อาหารเช้าประเภทบุฟเฟต์หลากหลายชนิดของลูกค้าก็น่ารับประทานอยู่ไม่น้อย หญิงสาวเลือกที่จะตักข้าวต้มไก่สับและน้ำเปล่าหนึ่งแก้วไปนั่งรับประทานเพียงลำพัง ชมทิวทัศน์ความสวยงามของแมกไม้และสายธารไป ต้องยอมรับว่าทิวทัศน์ของที่นี่สวยงามกว่าที่รีสอร์ตของยายนวลน้อยมากจริงๆ ไม่แปลกที่ลูกค้าของวิเนตย์จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละปี ซ้ำยังมีชื่อติดอันดับรีสอร์ตที่ดีที่สุดของจังหวัดอีกด้วย
มื้อเช้าผ่านพ้นไปแล้วเธอจะทำอย่างไรดีในการเป็นภรรยาของเจ้าของรีสอร์ตแห่งนี้ เพราะสามีไม่ได้จัดแจงหน้าที่ให้ก่อนหน้า ตื่นเช้ามาก็ไม่เห็นเขาเสียแล้ว วธุกาเดินกลับไปยังบ้านหลังใหญ่ของเขาอีกรอบ เสียงดังกุกกักเกิดจากการที่น้ำเพลินกำลังทำความสะอาดบ้านอยู่
“จะเอาอะไรเพิ่มไหมคะคุณวาท เดี๋ยวเพลินหามาให้” น้ำเพลินตะโกนออกมาจากบันไดที่ตนเองกำลังขัดถูอยู่
“ไม่ต้องหรอกเพลิน ฉันไม่อยากได้อะไรแล้ว”
วธุกานั่งอยู่ในบ้านโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลยจนได้เวลาเที่ยง หญิงสาวรู้ว่าที่นี่มีร้านอาหารเปิดให้ลูกค้าได้สั่งอาหารตอนเที่ยงรับประทาน ซึ่งอาจจะหมายรวมถึงตัวเธอด้วย สรุปเช้าเที่ยงเย็นก็คือรับประทานที่ห้องอาหารของรีสอร์ตนั่นเอง
หญิงสาวเดินผ่านจุดบริการลูกค้าก็พบว่ามีพนักงานอยู่เพียงสองคน และลูกค้าที่ทยอยเข้ามาพักก็หลายสิบคน วธุกานึกแปลกใจเพราะว่าเวลาเที่ยงไม่น่าจะเป็นเวลาเข้ามาพักของลูกค้าใหม่ เพราะรีสอร์ตแต่ละแห่งในแถบนี้เข้าพักบ่ายสองและออกตอนเที่ยงเหมือนกันหมด
“มีอะไรให้ช่วยไหมจ๊ะ” เพราะวธุกาเองก็ทำหน้าที่นี้เหมือนกันที่รีสอร์ตของยายนวลน้อย ดูจากสีหน้าของพนักงานก็รู้ได้ในทันทีว่ากำลังมีปัญหา
“คือว่าลูกค้าจะเข้าพักก่อนเวลาแต่ว่าทางเรายังทำความสะอาดห้องพักไม่เรียบร้อยเลยค่ะคุณวาท” พนักงานต้อนรับตอบกลับมาด้วยสีหน้าหนักใจ สายตาก็ชำเลืองไปยังกลุ่มลูกค้าที่จ้องเขม็งกลับมาไม่ลดละ
“แล้วยังไงจ๊ะ”
“คือว่าดาแนะนำให้ลูกค้าไปเที่ยวแถวๆ นี้ก่อนสักสองชั่วโมงค่อยกลับมาใหม่ แต่ลูกค้าโวยวายค่ะบอกว่าไม่อยากไปไหนแล้ว” ท้ายๆ ประโยคถูกเอ่ยออกมาราวกระซิบบอก วธุกาหันมองลูกค้าซึ่งมีราวสิบคนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หญิงสาวเดินเข้าไปหาพร้อมกับยกมือไหว้ทุกคน
“สวัสดีค่ะ คุณลูกค้า”
“ว่าไงครับ” คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าครอบครัวมองวธุกาเหมือนเอาเรื่อง แต่หญิงสาวก็ใช้อาวุธประจำกายคือรอยยิ้มหวานๆ เข้าสู้
“เดินทางมาจากไหนกันคะเนี่ย”
“กรุงเทพฯ” คำตอบก็แข็งๆ กระด้าง แต่คนผ่านงานบริการมาก่อนมีหรือจะหวั่นเกรง
“ทานอาหารกันมาหรือยังคะ” หญิงสาวถามพร้อมกับเหลือบตาไปมองเด็กชายตัวน้อยที่มีอายุราวห้าหกขวบ
“ยังเลยครับ แล้วนี่ผมจะเข้าพักได้หรือยัง”
“คืออย่างนี้นะคะคุณลูกค้า ลูกค้าที่พักก่อนหน้าเพิ่งเช็กเอาต์ออกไปเมื่อกี้นี้เอง แม่บ้านเพิ่งเข้าไปทำความสะอาด ห้องพักก็เลยยังไม่เรียบร้อยดีเลยค่ะ ถ้ายังไงคุณลูกค้าสามารถลงไปทานมื้อเที่ยงรอก่อนที่ห้องอาหารได้นะคะ เกรงว่าเจ้าตัวเล็กจะหิวเสียก่อน เดี๋ยวทางเราจะเร่งให้พนักงานเก็บกวาดห้องให้เร็วที่สุดนะคะ” วธุกาพูดพร้อมยิ้มให้กับเด็กชายตัวน้อย
“ความผิดผมใช่ไหมที่มาเร็วเกินไป” หนุ่มใหญ่ยังคงหน้างอไม่เลิก ไม่ยอมโอนอ่อนลงง่ายๆ
“ใครจะกล้าไปว่าลูกค้าล่ะคะ แค่ให้เกียรติมาพักที่รีสอร์ตเรานี่ก็เป็นพระคุณเหลือหลายแล้ว เชิญที่ห้องอาหารก่อนไหมคะที่นั่นลมเย็นสบายดีนะคะมองเห็นวิวแม่น้ำด้วย แล้วหากว่าทานอิ่มแล้วแม่บ้านยังเก็บห้องไม่เสร็จก็ไม่เป็นไรค่ะ ก็ลงไปชมแม่น้ำก่อนได้ มีแพส่วนกลางให้ลูกค้าเดินเล่นพักผ่อนได้ค่ะ”
“อืม พูดแบบนี้ค่อยโอเคหน่อย นี่อะไรเอะอะก็จะไล่ให้ไปเที่ยวที่อื่นท่าเดียว พนักงานคุณนี่ไม่ไหวเลยจริงๆ” ลูกค้าขี้โมโหหันไปทำตาดุใส่พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ ซึ่งตอนนี้ก็หลบตาหนีลูกค้ากันเป็นพัลวัน
“ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ งั้นเชิญทางนี้เลยค่ะ กระเป๋าเอาลงมาแล้วก็ฝากไว้กับน้องๆ เขาก่อนก็ได้ค่ะ จะได้ไม่ต้องขนกันหลายรอบ” วธุกาเดินนำลูกค้าทั้งสิบคนไปยังห้องอาหาร พร้อมกับนำเมนูมาให้สั่งไปพลางๆ ซึ่งระหว่างนั้นพนักงานก็รีบเร่งให้แม่บ้านทำความสะอาดห้องพักให้เร็วที่สุด
“ไม่ได้คุณวาทนี่แย่เลยนะคะ ดาเผลอปากไปค่ะเผลอไปบอกว่าเชิญลูกค้าเที่ยวน้ำตกละแวกนี้ก่อนก็ได้นะคะสองชั่วโมง คือดาหวังดีค่ะคุณวาทไม่อยากให้เขามานั่งรอเฉยๆ แต่ไม่คิดว่าจะกลายเป็นว่าเราใจดำกับลูกค้าเสียอย่างนั้น คือเคยมีลูกค้าคนอื่นเขาอยากให้ดาแนะนำที่เที่ยว เขาไม่อยากรอตอนที่เราทำความสะอาดห้อง ดาเลยชินที่จะบอกลูกค้าแบบนี้” ศิรดาประชาสัมพันธ์หน้าตาแสนสวยยิ้มแหยๆ อย่างรู้ตัวว่าผิดให้กับภรรยาเจ้าของรีสอร์ต ไม่คิดว่าความปรารถนาดีที่ตนเองเคยบอกลูกค้าท่านอื่นๆ จะใช้ไม่ได้กับครั้งนี้
“ส่วนใหญ่จะมาเป็นคู่หรือวัยรุ่นกันใช่ไหมที่พูดแบบนั้นได้”
“ก็ใช่ค่ะ ดาขอโทษค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ทีหลังก็ระมัดระวังคำพูดให้มากกว่านี้นะ เขามาจากกรุงเทพฯ คงขับรถมาเหนื่อยๆ และเป็นครอบครัวใหญ่มีเด็กคนแก่ด้วย คงไม่อยากไปเที่ยวไหนต่อหรอก แค่สองชั่วโมงเอง กินข้าวเดินเล่นดูแม่น้ำห้องพักไปก็พอดีแหละ เร่งแม่บ้านหน่อย”
“ค่ะ ดาจะระมัดระวังกว่านี้ค่ะคุณวาท” ศิรดาได้รับบทเรียนราคาแพงในครั้งนี้ และคงจะเป็นประสบการณ์เตือนใจในเรื่องนี้ไปอีกนาน
“แล้วใครใช้ให้คุณมายุ่งกับงานของผมไม่ทราบ” เสียงเข้มๆ ของวิเนตย์ดังมาก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาถึงจุดบริการเสียอีก
“คุณวิเนตย์” วธุกาหันไปมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจว่าตนเองทำอะไรผิด ทำไมสามีจะต้องมองมาด้วยสายตาไม่พึงพอใจถึงเพียงนั้น
“ศิรดา”
“คะคุณวิเนตย์” ศิรดาขานรับแบบหงอๆ